เปิดเทอม เปิดใจ กับนักศึกษาปี 1 ที่แทบไม่รู้จัก แต่พร้อมเป็น ‘เบาะพิง’ ให้พวกเขา

ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี

อีกสองสัปดาห์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์จะเปิดเทอม เป็นครั้งแรกในรอบหนึ่งปีที่ผมจะได้กลับไปสอนนักศึกษาปริญญาตรีหลังจากได้รับโอกาสให้สลับตารางสอนมาเน้นการสอนในระดับปริญญาเอกเพื่อให้มีเวลาในการดูแลลูกสาวตัวน้อยที่คลอดเมื่อปลายปี 2566

การกลับมาสอนนักศึกษาในระดับปริญญาตรีเป็นเครื่องเตือนตัวเองเสมอว่าโลกและเวลาเปลี่ยนแปลงเร็วเหลือเกิน

นักศึกษาปี 1 รุ่นนี้เกิดปี 2549 พวกเขาเกิดหลังยุคทักษิณ ชินวัตร เป็นนายกฯ และตอนที่พวกเขาหัดอ่านหนังสือ เดวิด เบ็กแฮม ก็แขวนสตั๊ดไปแล้ว

วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ปี 2551 ที่ผมจำได้แม่น กลายเป็นแค่กรณีศึกษาในตำราสำหรับพวกเขา เช่นเดียวกับที่วิกฤตต้มยำกุ้งเป็นเพียงบทเรียนสำหรับคนรุ่นผม

พวกเขาเติบโตมากับสมาร์ตโฟน ไม่เคยรู้จักการรอคิวโทรศัพท์สาธารณะ หรือการส่ง SMS เพื่อเป็นของขวัญในวันสำคัญของเพื่อนที่ทั้งห่างเหินและใกล้ชิด

ไม่เคยรู้จักการอัดเทปเพลงจากวิทยุ สมัยพวกเขาเข้าประถม เฟซบุ๊กกำลังบูม แต่วันนี้มันกลายเป็น “แพลตฟอร์มคนแก่”

TikTok และ Instagram Reels คือพื้นที่แสดงออกของพวกเขา คลิปสั้นและมีมคือภาษาที่พวกเขาใช้สื่อสาร

ช่วงมัธยม โควิด-19 ทำให้พวกเขาคุ้นชินกับการเรียนออนไลน์ พวกเขาปรับตัวได้เร็วกว่าอาจารย์อย่างผมเสียอีก การคุยผ่านจอเป็นเรื่องธรรมดา ไม่ใช่อุปสรรคเหมือนคนรุ่นก่อน

พวกเขาโตมากับ AI ที่กำลังเปลี่ยนโลก ใช้ ChatGPT และ AI Generator อย่างคล่องแคล่ว เหมือนที่ผมเคยใช้ Google ตอนเรียน

การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศไม่ใช่แค่หัวข้อถกเถียง แต่เป็นความจริงที่พวกเขาต้องเผชิญ

 

การเคลื่อนไหวทางสังคมของพวกเขามีเอกลักษณ์ ระดมพลังผ่านโซเชียลมีเดียได้รวดเร็ว สร้างแฮชแท็กติดเทรนด์ได้ในชั่วโมง และเชื่อมโยงประเด็นระดับโลกได้อย่างแยบยล

สำหรับพวกเขา การเมืองไม่ใช่เรื่อง “สี” แต่เป็นเรื่องสิทธิและเสรีภาพ

ไม่ได้มองผ่านความขัดแย้งของกลุ่มอำนาจเก่า แต่มองผ่านความเหลื่อมล้ำในสังคม

การชุมนุมของพวกเขาไม่ยึดติดกับวีรบุรุษหรือผู้นำ แต่เป็นการเคลื่อนไหวแบบกระจายศูนย์ ไร้แกนนำ สะท้อนความคิดที่หลากหลาย

ดังนั้น ไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจ เพราะมันผ่านจากปี 2563 มาถึง ห้าปีแล้วพวกเขามีสิทธิ์ที่จะเลือกจำหรือจะเลือกลืมใคร

ชีวิตของพวกเขาก็มีเรื่องลำบากและหนักอึ้งไม่ต่างกัน

ความทรงจำทางการเมืองของพวกเขาไม่ได้เริ่มที่พฤษภาคม 2535 หรือตุลาคม 2516 แต่เริ่มจากรัฐประหาร 2557 และการยุบพรรคอนาคตใหม่

พวกเขาไม่ได้ต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยในนาม แต่ต่อสู้เพื่อสิทธิในการกำหนดชีวิตตัวเอง ตั้งแต่เรื่องการแต่งกายในโรงเรียนไปจนถึงโครงสร้างอำนาจในสังคม

พวกเขาเชื่อในพลังของการเปลี่ยนแปลงทีละน้อย การตั้งคำถามกับระบบการศึกษา การท้าทายบรรทัดฐานทางเพศ การพูดถึงสุขภาพจิต ล้วนเป็นส่วนหนึ่งของการต่อสู้ทางการเมือง

พวกเขามองการเมืองไทยเชื่อมโยงกับการเคลื่อนไหวระดับโลก ทั้ง Black Lives Matter, #MeToo, การประท้วงในฮ่องกง และขบวนการเพื่อสภาพภูมิอากาศ ล้วนเป็นแรงบันดาลใจของพวกเขา

 

ผู้ใหญ่หลายคนอาจมองว่าคนรุ่นใหม่ใจร้อน ไม่อดทน และขาดความมุ่งมั่นในการต่อสู้ระยะยาว

แต่ความจริงแล้ว พวกเขามีพลังและความสามารถในการสร้างการเปลี่ยนแปลงที่น่าทึ่ง

ดูได้จากการที่พวกเขาสามารถผลักดันให้โรงเรียนหลายแห่งยกเลิกกฎระเบียบที่ล้าสมัย

การรณรงค์จนมหาวิทยาลัยต้องทบทวนระบบการรับน้อง

การสร้างความตระหนักเรื่องการคุกคามทางเพศในสถาบันการศึกษาจนเกิดการเปลี่ยนแปลงเชิงนโยบาย

หรือแม้แต่การทำให้สังคมหันมาสนใจประเด็นสุขภาพจิตของเยาวชนอย่างจริงจัง

พวกเขาอาจไม่ได้ใช้วิธีประท้วงบนท้องถนนแบบคนรุ่นก่อน แต่พวกเขารู้จักใช้สื่อสังคมออนไลน์ การรณรงค์เชิงความคิด และการสร้างพันธมิตรข้ามกลุ่มข้ามพื้นที่ เพื่อกดดันให้เกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างเป็นระบบ นี่ไม่ใช่ความใจร้อน แต่เป็นยุทธศาสตร์การต่อสู้แบบใหม่ที่สอดคล้องกับยุคสมัยของพวกเขา

แม้โลกจะเปลี่ยนไปเร็วแค่ไหน แต่ความฝัน ความหวัง และความกังวลของพวกเขาก็ไม่ต่างจากนักศึกษารุ่นก่อนมากนัก

พวกเขายังคงค้นหาตัวตน กังวลเรื่องอนาคต และหวังจะเปลี่ยนแปลงสังคม

ในฐานะอาจารย์ สิ่งที่ผมต้องทำคือเข้าใจว่าพวกเขามีประสบการณ์และมุมมองที่ต่างออกไป ไม่บังคับให้เข้าใจโลกแบบที่ผมเคยเข้าใจ แต่เปิดพื้นที่ให้พวกเขาได้เรียนรู้และเติบโตในแบบของตัวเอง เพราะทุกยุคสมัยล้วนมีเรื่องราวและบทเรียนเป็นของตัวเอง ไม่มีใครผิดที่จะไม่เข้าใจหรือไม่ซาบซึ้งกับเรื่องราวก่อนที่พวกเขาจะเกิด

เอาเข้าจริงผมแทบไม่รู้จักพวกเขา ไม่รู้ว่าพวกเขาหัวเราะกับเรื่องอะไร ร้องไห้กับเรื่องอะไร ใช้เวลาว่างกับใคร อะไรคือแรงบันดาลใจของพวกเขา จังหวะดนตรีของพวกเขา มันก็เริ่มแตกต่างห่างไกลจากคนยุคผม

แต่ผมยังคิดว่าเราเองก็ยังคงมีความปรารถนาแบบเดียวกันเมื่อพูดถึงสังคมที่ยุติธรรมที่ทุกคนสามารถวิ่งตามความฝันได้

และตัวผมเองก็คงทำหน้าที่เหมือนคนรุ่นก่อนหน้าที่เคยทำแก่คนรุ่นผมมาก่อน คือการเป็นเบาะพิงทางความคิดให้แก่พวกเขา

เพื่อบอกว่า ถึงแม้ว่าในอดีตการเปลี่ยนแปลงใดๆ อาจไม่สำเร็จในยุคของผม

แต่ไม่ได้มีข้อห้ามที่โลกที่ยุติธรรมจะไม่เกิดขึ้นในยุคของพวกเขา