เหตุแห่งการไล่รัฐบาล

ในประเทศที่เจริญทางความคิดแล้วนั้น ยามที่ผู้คนจำนวนหนึ่งไม่พอใจรัฐบาลหรือเกลียดขี้หน้าผู้นำ จะมีใครที่จินตนาการว่า ให้ “กองทัพ” เคลื่อนกำลังทหารและอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับการทำสงครามเข้ายึดอำนาจจากรัฐบาล เอาปืนจี้จับตัวผู้นำทางการเมือง แล้วใช้ถุงดำคลุมหัว หิ้วตัวขึ้นรถเอาไปขังไว้ในค่ายทหาร

ภาพนั้นคุ้นชินและเจนตาในไทย บ่อยครั้งผิดฝาผิดฝั่ง “กำลังรบ” ซึ่งสร้างไว้สำหรับป้องปรามหรือทำสงครามกับผู้รุกรานกลับกลายสภาพเป็น “ผู้ปกครอง”

ทั้งยังพิสดาร ผู้บังคับบัญชาสั่งให้ทหารรบกับประชาชน!

ภาพลักษณ์กองทัพไทยไม่ได้สง่างาม เท่ หรือน่าทึ่งในชาญศึกก็เพราะผู้นำกองทัพหลายยุคฝักใฝ่ในอำนาจทะเยอทะยาน ซึ่งมิพักต้องกล่าวถึงด้านผลประโยชน์อันสืบเนื่องจากการได้มาซึ่งอำนาจที่ “ฉ้อฉล” ผิดกฎหมาย เงาแห่งความสุจริต เปิดเผย โปร่งใสและตรวจสอบได้ย่อมจะไม่ปรากฏ

บรรยากาศเช่นนี้จึงมักจะมีคำถาม ชุมชนการเมืองแห่งนี้ใช้กฎเกณฑ์อันใดในการปกครอง

 

ถ้าอ่านจากรัฐธรรมนูญ รัฐประชาธิปไตยในโลกอาศัยหลักแบ่งแยก ถ่วงดุล และคานอำนาจกันระหว่างฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ และตุลาการวิชาชีพ

ตุลาการย่อมมิใช่ผู้พิทักษ์รับใช้ฝ่ายบริหารอย่างแน่นอน และก็ต้องสิ้นสงสัยว่า ฝ่ายบริหารเป็นผู้ยึดครองและครอบงำนิติบัญญัติ จึงได้กล่าวกันชนิดที่มีจริยธรรมเนียมว่า รัฐที่ปกครองด้วยกฎหมายเป็น “นิติรัฐ”

ผู้มีปัญญามิต้องหวาดสะพรึง

ความแตกต่างทางความคิดเห็นหรือการถกเถียงทางปัญญาเป็น “ความปกติ” การคิดต่างกันไม่ใช่ศัตรูซึ่งต้องทำลายกันในสิ้นซาก ฝ่ายตรงข้ามทางการเมืองก็ไม่ใช่อาชญากรที่จะต้องจับเข้าคุก

วิถีธรรมเนียมเราเป็นเช่นนั้นหรือไม่

 

ผู้คนมีความอ่อนไหวกับความเห็นที่แตกต่าง ระบบการเรียนการสอนวัดผลจาก “การเชื่อฟัง” ส่งเสริมให้ “ทำตาม” กิจกรรมที่ก่อให้เกิดความคิดสร้างสรรค์ น่าทึ่ง หรือชวนให้ประหลาดใจไม่ได้รับการสนับสนุน ไม่เปิดพื้นที่ให้กับ “ความเห็นต่าง” เนื่องจากอาจจะนำมาซึ่งการสูญเสียความเคารพยำเกรง หรือสิ่งที่ผู้อื่นยังมองไม่เห็น ผู้คนไม่เชื่อมั่น ไม่ศรัทธาในความมีเหตุผลและวิทยาศาสตร์ หรือแม้แต่ “พุทธ” ที่นับถืออยู่ก็เป็นพุทธที่สุดพิลึกแบบไทยๆ ที่คดงอ ชักชวนให้ชื่นชมลุ่มหลงกับ “หน้าฉาก” ที่แสดงออก มากกว่าการใคร่ครวญพินิจในเนื้อแท้หรือแก่นสาร

บุคคลตัวแบบที่ชื่นชมกันมักจะเป็นคนมีตำแหน่งใหญ่โต มีท่วงท่าอลังการ มีอำนาจมาก มีบริวารมาก หรือรวยมาก อยู่บ้านหลังใหญ่มาก นั่งรถคันใหญ่มาก ใช้สินค้าแบรนด์เนมราคาสูงมาก ใช้ทรัพยากรสิ้นเปลืองมาก หรือผลาญมาก

จะว่าไปแล้ว “ระบบความคิด” ของสังคมเป็นแบบไหน “การเมือง” ก็จะเป็นแบบนั้น

 

กล่าวในด้านการเมือง ช่วงนี้เจอหน้าใครก็ถามกันมากว่า “จะไปไหวมั้ย” หรือ “จะรอดมั้ย”

“น้ำเสียง” ซ่อนเร้นอารมณ์ในการถาม มี 2 ฝ่าย

หนึ่ง “กองเชียร์” อุ๊งอิ๊งและเพื่อไทย รู้สึกเห็นอกเห็นใจ อยากจะให้อยู่เพราะความพึงพอใจ ชอบใจ ถูกใจ

อีกหนึ่งคือ “กองแช่ง” ที่ไม่อยากให้อยู่เพราะไม่ชอบ ไม่ถูกใจ ทั้งแถมยังแอบฝัน อยากจะให้ใครสักคนชักชวนคนออกมาไล่ “รัฐบาลอุ๊งอิ๊ง”

จะไปไหวมั้ย! จะรอดมั้ย!

ทันทีที่ถูกถามก็รู้สึกถึง “ความแปลก” ของคำถามนั้น

ทำไมคำถามแบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นในสมัย “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ที่ถูๆ ไถๆ มาเกือบ 9 ปี

ใช่หรือไม่ว่า ระบบความคิดถูกสอนให้เชื่อฟัง ตั้งมั่นอยู่อย่างสงบภายใต้อำนาจที่คุกคามขู่บังคับ สามารถทำให้ผู้คนจำนน ก้มหน้ารับสภาพด้วยความอดทนอดกลั้น สงบปากสงบคำ

“เสรีภาพ” อันน่าหวงแหนกลายเป็นสิ่งแปลกปลอม ไม่มีคุณค่า

 

จะว่าไปประเทศที่ปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่าพรรคการเมืองที่บริหารประเทศขณะนั้นเราชอบหรือไม่ชอบ “ทาง” ที่พรรคการเมืองหรือรัฐบาลนั้น “จะรอด-ไม่รอด” นั้นมีครรลองอยู่

นั่นคือ ถ้าไม่ยุบสภาให้เลือกตั้งใหม่ ก็ต้องอภิปรายไม่ไว้วางใจ คว่ำรัฐบาล เปลี่ยนผู้บริหารประเทศเสียใหม่ด้วย “อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ”

ทำไมต้องจินตนาการไปถึง “ปืน” หรือการซ่องสุมสมุนบริวารมาขับไล่รัฐบาลที่ผ่านกระบวนการเลือกตั้ง

รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะอยู่ครบเทอม หรือไม่ครบเทอม ยังไม่สำคัญเท่ากับ “ความต่อเนื่อง” ที่นักการเมืองพลเรือนจะได้ใช้ “ความแตกต่าง” มาสร้างสรรค์การเมือง

อาจจะมีคำถามขึ้นอีกว่า “ถ้านักการเมืองพลเรือนโกงจะทำอย่างไร”

คำตอบก็จะกลับไปที่คำถาม!

 

สามารถจินตนาการได้ว่า…

ประเทศไทยที่มีระบบกฎหมายดี มีตำรวจดี มีอัยการดี มีผู้พิพากษาดี และองค์กรอิสระที่ดี ทุกองค์กรมีหน้าที่ “ทำความปกติให้ปรากฏ” ไม่ใช่โมเม ผิดเพี้ยน ทำความพิสดาร หรือปาฏิหาริย์ทางกฎหมาย

“อำนาจ” ก็ได้จัดสรรแบ่งปันทุกฝ่ายให้ถ่วงดุลและคะคานกัน “งาน” ก็แบ่งกันทำตามขอบเขตหน้าที่ “จริยธรรม” ก็เขียนกันขึ้นมาร้อยรัดจนชวนให้ฉุกคิดว่าจะพากันไปไหน

ทุกองค์กรและทุกคนที่เกี่ยวข้องต่างมีบทบาทหน้าที่อันควรประพฤติปฏิบัติ คงเหลือก็แต่การลงมือทำจริงๆ ทำตรงๆ ด้วยระบบความคิดที่ต้องตามกาลสมัย ไม่จำเป็นต้องอวดโอ่ความดี หรือโชว์กิจกรรมบำเพ็ญธรรม แค่ไม่ทำตัวให้โง่งม ไม่เป็นทาสรับใช้ฝ่ายใดเพื่อประโยชน์เฉพาะหน้าและระยะยาว

ทำให้ได้เช่นนี้ความดีก็จะพลันปรากฏเป็นลำแสง ค่อยๆ ไล่สาดความมืดในสังคมไทย

ที่เรียกว่า “วันนี้” พริบตาเดียวก็จะกลายเป็น “เมื่อวาน” หรืออดีต

แต่อดีตไม่ได้ให้หลักประกันอะไรกับอนาคตสักเท่าไหร่นัก ถ้าหากไม่เก็บมาเป็น “บทเรียน” ที่ตอกย้ำว่า จะไม่เป็น และจะไม่ทำ

เช่น พฤติการณ์ที่ผู้นำกองทัพใช้กำลังพลและยุทโธปกรณ์ล้มล้างรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง ถ้าหากกองทัพไม่ใช้ “อดีต” มากำหนดการประพฤติปัจจุบัน เพียงชั่วข้ามคืนก็จะกลับมา “กระทำผิดซ้ำ”!?!!!