ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
“ในปี 2568 รับรองได้ว่าการเมืองไม่ดีขึ้นกว่าปี 2567 เพราะเป็นสถานการณ์บ้านเมืองที่ไม่ปกติ ฉะนั้น พอลากไปปี 2568 มันก็จะไม่เป็นปกติ มันก็จะกลับไปเป็นแบบเดิม และคำถามว่าความไม่เป็นปกติมันน่ากลัวตรงไหน ให้เราย้อนไปที่การเกิดรัฐบาลจะเห็นชัดว่ารัฐบาลที่เกิดขึ้นไม่ปกติ เพราะไม่ปฏิบัติตามเสียงของประชาชน” คือความเห็นของ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร อดีตเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) ที่ให้สัมภาษณ์ในรายการ MatiTalk
พล.ท.ภราดร วิเคราะห์ภาพความไม่ลงรอยและการกระทบกระทั่งกันของพรรคร่วมรัฐบาลในปี 2568 ว่าการทำงานร่วมกันจะเป็นสถานการณ์ที่ต้องต่อรองอยู่ตลอด เพราะไม่มีใครเป็นตัวนำที่แท้จริง พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ถือว่ามีคะแนนสูงสุดในรัฐบาล แต่ไม่ได้เป็นตัวนำที่แท้จริง เพราะถูกกำกับโดย “ผู้กำกับ” จึงต้องแสดงบทไปตามนั้น และพรรคที่เข้ามาร่วมรัฐบาลก็รู้จุดอ่อนตรงนี้โดยเฉพาะพรรคภูมิใจไทย พรรครวมไทยสร้างชาติ โอกาสที่จะถูกขับออกน้อยมาก เพราะถ้าขับรัฐบาลก็จะล่ม
ฉะนั้น ภาพที่จะเกิดขึ้นจะเป็นความพะอืดพะอม อยู่กันด้วยการต่อรองอยู่ตลอดเวลา แล้วทำให้ความเสียโอกาสของประเทศเกิดขึ้น ซึ่งทุกฝ่ายมีคดีปักหลังไว้ด้วยกันหมด ที่เห็นว่าเหมือนเอาอยู่ไม่หวั่นไหว ไม่มีอะไร เป็นเพียงแค่การแสดง ทั้งๆ ที่ลึกๆ ท่านอดีตนายกฯ ทักษิณ ชินวัตร ท่านอาจจะกลุ้มใจ แต่พอถึงบทที่ต้องแสดง ท่านก็ต้องแสดงความเข้มแข็งออกมา
อดีตเลขาฯ สมช.ย้ำอีกว่า เพราะทุกคนเป็นแค่ผู้แสดงตัวละคร ภาพที่เราเห็นเป็นเหมือนภาพลวงตา ฉะนั้น ทุกคนเป็นเพียงแค่ผู้แสดง ขึ้นอยู่ที่ผู้กำกับจะปล่อยคิวให้เดินหน้าได้บ้าง ให้หยุดบ้าง
แต่สุดท้ายทั้งหมดทั้งมวลจะเป็นตัวสะท้อนว่าประเทศจะเดินหน้ายาก
: การประคองสถานภาพรัฐบาลให้ครบเทอม ทำอย่างไร
ต้องดูองค์ประกอบและเงื่อนไขของตัวอดีตนายกฯ ทักษิณ มันยากต่อการปรับ เพราะท่านก็ต้องยึดจุดหลักว่าจะไม่มีคำว่ากลับออกนอกประเทศอีกแล้ว จะต้องอยู่ ฉะนั้น ท่านจะติดเงื่อนไขตัวเอง กลายเป็นว่าสิ่งที่ท่านต้องทำต้องเน้นไปที่การจัดการพรรคประชาชน
แต่พอจะไปจัดการพรรคประชาชน ท่านลืมนึก หรือท่านไม่ตระหนัก หรือท่านตระหนัก แต่ว่าท่านจะทุรังทำ มันไม่ใช่แค่พรรคประชาชน มันคือ 14 ล้านเสียงของพี่น้องประชาชน แล้วมันมีแต่โอกาสจะเพิ่มขึ้น
ฉะนั้น เมื่อคุณยิ่งจะไปจัดการมัน ก็จะกระแทกแรงกลับมา และคุณก็เจอแต่อุปสรรคตลอด แต่ยังเชื่อมั่นว่าท่านก็ยังหวังลึกๆ สิ่งที่สำคัญที่สุดตอนนี้คืออยากให้ได้น้องสาวกลับมา แต่สุดท้ายแล้วเมื่อกลับมาคงจะต้องดูไปอีกที เพราะลักษณะของท่านทักษิณต้องยอมรับนะว่าถึงเวลาหนึ่งท่านก็พร้อมที่จะหันหลังทันทีเหมือนกัน อาจจะมีโอกาสได้เห็นผู้การเรือสละเรือก่อนลูกเรือก็ได้ ถ้าท่านอยู่รอดปลอดภัย
ฉะนั้น ไม่ใช่เป็นประเด็นของเรื่องการมาแก้ไขบริหารราชการแผ่นดิน เพราะประเด็นที่เสนอนโยบายแก้ไขตอนนี้มันเห็นชัดแล้วว่าพรรคเพื่อไทยไม่ได้เฉียบคมเฉกเช่นอดีต บริบทแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป ชี้ให้เห็นเลยว่าประเทศกำลังเข้าสู่วิกฤต เศรษฐกิจไม่มีทางที่จะดีขึ้น เงินดิจิทัลที่จะหมุน 3-4 รอบก็ไม่เกิดแล้ว
การขายนโยบายหลักต่างๆ ไม่ได้มีการทำเลย และยากที่จะสัมฤทธิผล เพราะว่าพรรคร่วมรัฐบาลก็มีโอกาสที่จะคัดค้าน เกิดการต่อรองตลอดเวลา
: ในปี 2568 มีโอกาสที่อดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์กลับประเทศ?
นี่เป็นเป้าหมายที่อดีตนายกฯ ทักษิณพึงประสงค์และน่าจะอยู่ในเงื่อนไขของดีล (Deal) ด้วย แต่อาจจะเป็นความโชคร้ายของท่านทักษิณ เพราะศัตรูเก่าทั้งหลายของท่านไม่ได้หายไปเลย แถมยังมีศัตรูใหม่เพิ่มขึ้น แล้วศัตรูเหล่านี้ถือว่ามีพลัง มีอิทธิฤทธิ์ที่จะก่อความเคลื่อนไหวและทำให้เกิดอุปสรรคได้
แต่เงื่อนไขการเจรจาเชื่อว่าก็พึงประสงค์ไม่ให้มีการติดคุก ฉะนั้น ไม่ใช่เรื่องง่าย ระยะเวลาที่กำหนดไว้เมษายนคิดว่าเป็นไปได้ยาก และประกอบกับยังมีกระแสข่าวเรื่องคดีอื่นๆ ของอดีตนายกฯ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อีกจึงเป็นสิ่งบอกเหตุว่าเป็นความยากลำบาก เพราะตอนนี้พรรคเพื่อไทยไม่ได้คุมเบ็ดเสร็จเหมือนในอดีต เสียงก็ไม่มากเหมือนยุค 10 ปีก่อน
ดังนั้น เป้าประสงค์การที่ดีลกันหรือคุยกันเป็นไปได้ แต่ตอนนี้ปัญหาคือ “รัฐพันลึก” ที่เป็นคนชี้เข็มทิศที่พึงประสงค์ให้อดีตนายกฯ ทักษิณเข้ามาแล้วเพื่อจะมาสกัดกั้นพรรคสีส้ม ในขณะเดียวกันก็ประสงค์ให้เกิดความปรองดองของประเทศ แต่ปรากฏว่าความปรองดองเริ่มเห็นชัดแล้วว่ามันไม่เกิด
สิ่งที่สำคัญที่สุดการแสดงเริ่มเลยเถิดไปทำให้เกิดความเสียหายของภาพความยุติธรรมของประเทศ ซึ่งตรงนี้เป็นอันตรายต่อตัวอดีตนายกฯ ทักษิณ ถึงเวลาผู้กำกับการแสดงอาจจะบอกว่าต้องเปลี่ยนตัวแสดง
ส่วนเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ เมื่อทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นพรรคภูมิใจไทย พรรคเพื่อไทย อดีตนายกฯ ทักษิณ เป็นเพียงผู้แสดง คนที่ไม่ต้องการให้แก้ไขรัฐธรรมนูญ คือ “รัฐพันลึก” เพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้ร่างมาเพื่อเขาแล้วทำให้เกิดเงื่อนไขที่ทำให้เกิดการกลับขั้วกลับข้าง ขณะเดียวกันได้ ส.ว.สีน้ำเงินก็เป็นเพราะรัฐธรรมนูญฉบับนี้เปิดช่องการเลือกวุฒิสมาชิกที่ค่อนข้างไม่เกิดความชอบธรรม และปรากฏว่ามีอิทธิฤทธิ์ที่ส่งผลกับการขับเคลื่อนนโยบายของประเทศ ถึงแม้ไม่มีโอกาสได้เลือกนายกฯ แต่สามารถทำให้การขับเคลื่อนทุกอย่างของประเทศสะดุดได้
และสิ่งสุดท้ายสำคัญที่สุดคือจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญไม่สำเร็จได้
: ประเมินศึกการต่อสู้รอบด้าน อดีตแกนนำกลุ่มต่างๆ เริ่มกลับมารวมตัวอย่างไร
ภาวะการรวมตัวของกลุ่มอดีตแกนนำกลุ่มต่างๆ มีพลัง อย่าประมาทว่าไม่มีพลัง
คนเหล่านี้เป็นคนที่ล้มอดีตนายกฯ ทักษิณสำเร็จมาแล้ว เพียงแต่วิธีการจะเปลี่ยน คือเมื่อก่อนเป็นเรื่องของพลังมวลชนบวกกับมีอำนาจพิเศษเข้ามาเสริม
แต่ปัจจุบันพลังมวลชนไม่ต้องภาพใหญ่ขนาดนั้น แต่ประเด็นมันต้องได้
ซึ่งตอนนี้กลุ่มอดีตแกนนำมีการนำประเด็น เช่น เรื่องของ MOU 44 ความรักชาติ ความยุติธรรม เรื่องชั้น 14 ความเป็นอภิสิทธิ์ชน
ส่วนวิธีการจะมีการปรับรูปแบบอย่างไรต้องจับตาประเมินต่อไป
: การเลือกตั้ง 2570 ยังมีการต่อสู้กับพรรคประชาชนใช่ไหม
การที่คิดจะว่าไปน็อกพรรคส้มได้นั้นมันยากที่จะเกิดขึ้น และแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย มันเปรียบเหมือนตอนนี้ที่เดินหน้ากันอยู่ คือการชกมวย 10 ยก แต่ 10 ยก คุณไม่สามารถน็อกคู่ต่อสู้ได้ คุณจะต้องชกกับเขาไปเรื่อยจนไปจบยกที่ 10 แต่พอสุดท้ายครบ 10 ยกคะแนนรวมคุณก็จะแพ้ พรรคเพื่อไทยก็จะแพ้อีก เพราะว่าฐานที่มาไม่เกิดความชอบธรรม ที่ให้สัจวาจากับพี่น้องประชาชนไว้แล้วไม่ปฏิบัติตาม เหมือนอดีตที่เขาบอกเสียสัตย์เพื่อชาติแล้วนำมาอ้างกัน นี่เป็นมะเร็งร้าย เปรียบเหมือนกับสงคราม คุณชนะศึกย่อย แพ้บ้างชนะบ้าง แต่พอจบสงคราม ปรากฏว่าคุณแพ้ แล้วตอนนี้มันจะเป็นเช่นนั้น เราจะเห็นการต่อสู้ที่ไม่สามารถน็อกพรรคประชาชนได้ แต่เพียงเรายกนี้ชนะ ยกนี้แพ้ ยกนี้ชนะ อะไรต่างๆ แต่พอจบ 10 ยกนะ คะแนนพรรคประชาชนจะชนะ
ดังนั้น ปี 2570 คงปฏิเสธไม่ได้ว่าจริงๆ แล้วประชาชนก็ไม่มีทางเลือก เพียงแต่ยังไม่เคยเห็นฝีไม้ลายมือ แต่จากเวลาที่ผ่านไปพรรคประชาชนก็มีพัฒนาการและเข้าใจมากขึ้น จากเมื่อก่อนจุดยืนบางเรื่องแข็งตัวไปก็เริ่มมีความอ่อนตัว และสิ่งที่สำคัญที่สุดสมาชิกเราเห็นเลยจากตอนที่เขาเปลี่ยนจากก้าวไกลแล้วมาเป็นพรรคประชาชน สมาชิกต่างๆ เริ่มมีหลากหลายวัย มันเกิดการผสมผสาน ฉะนั้น จากจุดตรงนี้เขาจะสามารถแสวงหาแนวร่วมที่มากลบจุดอ่อน
ยกตัวอย่าง งานความมั่นคง งานบริหารการเมืองบางอย่าง งานที่เกิดมีเขาเรียกว่าสภาพปัญหาของมาตรา 112 สุดท้ายมันจะมีจุดที่เขาเอามาเติมเต็มและหาความลงตัวได้
แต่ส่วนตัวผมยังยืนยันว่าไม่ว่าจะมาเป็นกลุ่มไหนก็ตาม สุดท้ายพวกคุณต้องยืนหลักอยู่ที่ว่าประชาชนต้องอยู่ข้างหลังจำนวนมาก อาจมีบางช่วงที่อาจจะไม่ถูกใจประชาชน แต่สุดท้ายก็ต้องวิ่งกลับไปหาประชาชนต้องมาอยู่หลังเขา ฉะนั้น ถ้าเกิดพรรคประชาชนมีพัฒนาการปรับตัวเพื่อให้เกิดแนวร่วมมาลดจุดอ่อน
สุดท้ายรัฐพันลึกเห็นอย่างนี้พอรับได้ และภาวการณ์แข่งขันของบริบทของโลกที่เปลี่ยนแปลงใหม่ ภัยคุกคามต่างๆ รวมถึงด้านเศรษฐกิจที่เป็นปัญหาใหม่ สุดท้ายมันต้องย้อนกลับมาหาประชาชนอยู่ดี แล้วพรรคประชาชนจะมีประชาชนหนุนหลังมากกว่าพรรคอื่น
สุดท้ายแล้วผู้กำกับก็ต้องยอมให้แสดง ประชาธิปไตยไม่ใช่เรื่องถูกผิด ไม่ใช่เรื่องรักหรือไม่รัก แต่เป็นเรื่องต้องเคารพเสียงประชาชน ถ้าพรรคเพื่อไทยเคารพเสียงประชาชน สุดท้ายทางออกมันมีเสมอ เพราะตัวเองเป็นเสียงส่วนใหญ่ และสิ่งที่สำคัญที่สุดผนังทองแดงกำแพงเหล็ก คือประชาชนอยู่ข้างหลัง
แต่พรรคนี้โชคร้ายไปขึ้นอยู่กับตัวบุคคลคนเดียว ถ้ามันเป็นเรื่องมติพรรคจะไปอีกแนว
แต่ตอนนี้มันไม่ใช่มติของพรรค แต่เป็นมติพรรคสมมุติ มันเป็นไปตามผู้นำคนเดียว
ชมคลิป
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022