ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 กุมภาพันธ์ 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | รายงานพิเศษ |
เผยแพร่ |
ย้อนกลับไปแค่ไม่กี่ปี ซีรี่ส์จากต่างแดนที่ครองพื้นที่บนจอทีวีบ้านเรา ต้องยกให้ซีรี่ส์เกาหลี ที่ไหลตามคลื่น K Wave เข้ามาเป็นชุด ทั้งเพลง นักร้อง และอื่นๆ
แต่ ณ ปัจจุบัน พื้นที่เหล่านั้น กลับถูกยึดครองด้วยซีรี่ส์ที่หลายคนก็คงเป็นอย่างเรา คือไม่นึกไม่ฝันว่าจะใช่ ด้วยใครจะไปนึกเล่าว่า ซีรี่ส์อินเดียจะมา!!
และต้องบอกว่าไม่ได้มาแบบธรรมดา แต่มาแรง และเรตติ้งแซงละครไทยไปหลายๆ เรื่องด้วยซ้ำ
อันที่จริงจะว่าไป ในหมู่คนดูกลุ่มหนึ่ง พวกเขาติดตามความบันเทิงจากแดนภารตะมากันได้สักระยะ ทั้งจากการซื้อแผ่นดีวีดีภาพยนตร์ที่มีวางขาย จนภายหลังเมื่อตลาดเติบโตขึ้นก็มีผู้นำภาพยนตร์อินเดียเข้ามาฉายในโรง แต่กระนั้นก็ยังเป็นไปแบบจำกัด คือฉายแค่ไม่กี่โรง หากก็ได้รับผลตอบรับเป็นที่น่าพอใจ
ช่อง z หนัง ที่นำหนังอินเดียเข้ามาฉายเป็นหลัก ข่าวว่าผลตอบรับก็เป็นที่น่าพอใจ
อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนจะมาบูมสุดๆ ก็ตอนบริษัท เจเคเอ็น โกลบอล มีเดีย จำกัด (มหาชน) ของแอน จักรพงษ์ จักราจุฑาธิบดิ์ ซึ่งเป็นผู้นำเข้าคอนเทนต์ซีรี่ส์จากต่างแดนบุกทำตลาดในเมืองไทย
อันที่จริงก่อนจะทำตลาดซีรี่ส์อินเดียนั้น เขาก็บุกตลาดซีรี่ส์เกาหลีมาก่อน และก็ไปได้ดี ก่อนที่ตลาดจะค่อยๆ ดาวน์ลง
โดยการดาวน์ดังว่า โด่ง องอาจ สิงห์ลำพอง กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ สถานีโทรทัศน์ช่อง 8 เองก็ให้การตรงกัน
เหตุผลนั้นเท่าที่สำรวจมาจากหลายฝ่าย ทุกคนพูดตรงกันว่าเป็นเพราะตัวงานที่เหมือนเริ่มจะตัน
แต่กระนั้นที่เป็นเหตุผลหลักกว่าก็คือ สู้พวกเว็บไซต์ที่นำมาฉายให้ดูฟรี เพราะไม่มีการจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้ผู้ผลิต แถมมีมาให้ชมแบบเร็วๆ ส่งผลกระทบ
เพราะแม้ก่อนหน้านี้เว็บไซต์ใหญ่ๆ ที่มีชื่อทางนี้ มีแฟนเกาหลีติดตามเป็นจำนวนมาก 2 แห่งจะปิดตัวลงไป หลังมีแรงกระเพื่อมเรื่องกฎหมายลิขสิทธิ์
แต่สุดท้ายก็ยังมีเว็บไซต์ใหม่ๆ มากมายเกิดขึ้น ชนิดตามจับ ตามปิดยังไงก็ไม่ทัน
ขณะที่ซีรี่ส์อินเดียไม่ประสบปัญหานี้ เพราะนอกจากจะมีคนเรียนภาษาสันสกฤตน้อย ตัวซีรี่ส์ยังมีความยาวขนาด 300-2,500 ตอนเป็นส่วนใหญ่ คนจะอาสามาแปลให้ฟรีๆ อย่างแปลให้ซีรี่ส์เกาหลีตามเว็บจึงไม่มี
ขณะเดียวกัน เนื้อหาของซีรี่ส์ที่หลากหลาย ใช้เงินลงทุนมหาศาล และที่สำคัญก่อนนำมาลงจอทีวี ยังมีการนำมาตัดต่อใหม่ให้ต้องรสนิยมคนไทย ก็ทำให้สามารถลบภาพการวิ่งข้ามเขา ร้องเพลงจีบกัน หลบหลังต้นไม้ ที่ฝังใจคนบ้านเรามานานนับสิบๆ ปีได้เกลี้ยง
ลองดูสักครั้งแล้วจะรู้ แล้วจะติด คนเคยดูว่ากันว่ามาอย่างนั้น
และก็น่าจะจริง เพราะล่าสุดในช่วงสัปดาห์หลังๆ มานี่ ซีรี่ส์ “หนุมาน สงครามมหาเทพ 2” ที่ช่อง 8 นำมาฉาย ก็คว้าอันดับ 2 ครองความนิยมในหมู่ผู้ชมโทรทัศน์ช่วงเวลา 20.00-22.30 น.
เป็นรองก็เฉพาะละครช่อง 7 เท่านั้น
ขณะเดียวกัน ในหมู่ผู้ที่ยังไม่เคยดู ผู้พยายามบุกให้ซีรี่ส์อินเดียเข้ามาอยู่ในใจคนก็ยังใช้กลยุทธ์สตาร์มาร์เก็ตติ้ง นำทั้งดาราไทยมาช่วยโปรโมต ด้วยการร้องเพลงประกอบเรื่อง การจัดงานแถลงข่าวใหญ่โต ที่ทำมาแล้วทั้งกับซีรี่ส์ “นาคิน” ช่อง 3 รวมถึงการให้นักแสดงตัวจริงของเรื่องมาเดินสาย อย่างล่าสุดก็คือ อิซาน บานุชาลี นักแสดงผู้รับบทเป็น “มารุติ” จากซีรี่ส์ “หนุมาน สงครามมหาเทพ” ที่เพิ่งมาพบแฟนๆ ไป
ถามว่าการฉายซีรี่ส์เรื่องหนึ่ง แต่ต้องทุ่มทุนทำโปรโมตขนาดนี้ จะคุ้มไหม?
คำตอบที่ได้มาจากคนในแวดวงคือคุ้มแสนจะคุ้ม เพราะหากตัดสินใจนำซีรี่ส์อินเดียมาฉายแล้ว แต่ละเรื่องจะต้องใช้เวลาออกอากาศไม่ต่ำกว่า 6 เดือน ดังนั้น ถ้าฉายแล้ว แป้กไป ไม่ได้รับความนิยมในหมู่คนดู งานนี้ก็มีแต่ตายกับตาย
ดังนั้น แม้การทุ่มเทลงทุนเลือกเรื่องดีๆ จะหมายถึงการทุ่มเทเม็ดเงินก้อนใหญ่จ่ายค่าลิขสิทธิ์ แถมยังต้องควักเพิ่มเพื่อการโปรโมต ซึ่งในส่วนนี้ก็ถือว่าเป็นจำนวนไม่น้อย แต่ถ้าทำแล้วได้ผลก็สามารถเก็บเกี่ยวกำไรจากกลยุทธ์นี้ได้ยาว ได้ทั้งในแง่เงินจากการโฆษณาที่มาลง และจากตัวเลขเรตติ้ง ที่สุดท้ายแล้วจะส่งผลดีต่อสถานีโดยภาพรวม
อย่างที่เห็นๆ กันอยู่