คลังบี้ 3 กรมภาษี เพิ่มรายได้ ระดมเงินปั๊มเศรษฐกิจ 2568 เดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างภาษี

บทความพิเศษ | ศัลยา ประชาชาติ

 

คลังบี้ 3 กรมภาษี เพิ่มรายได้

ระดมเงินปั๊มเศรษฐกิจ 2568

เดินหน้าปฏิรูปโครงสร้างภาษี

 

ปีงบประมาณ 2568 (ตุลาคม 2567-กันยายน 2568) กระทรวงการคลังประมาณการจัดเก็บรายได้รัฐบาลสุทธิไว้ที่ 2.887 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า 3.6% โดยสถานการณ์ล่าสุด ช่วง 2 เดือนแรก (ตุลาคม-พฤศจิกายน 2567) รัฐบาลจัดเก็บรายได้สุทธิ 385,253 ล้านบาท สูงกว่าประมาณการเพียง 1,365 ล้านบาท

ซึ่งเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีที่แล้ว จัดเก็บได้ต่ำลง 6.3%

เมื่อเข้าไปดูไส้ในการจัดเก็บรายได้ของ 3 กรมภาษี พบว่าจัดเก็บรวมกันได้ 391,886 ล้านบาท ต่ำกว่าช่วงเดียวกันของปีก่อน 0.4% แต่ยังสูงกว่าเป้าหมาย 1.3%

โดยกรมสรรพากรเก็บรายได้สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 6,068 ล้านบาท หรือเพิ่มขึ้น 2.1% และสูงกว่าประมาณการ 2,533 ล้านบาท

กรมสรรพสามิตจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 6,678 ล้านบาท หรือลดลง 7.9% แต่สูงกว่าประมาณการ 3,621 ล้านบาท

ส่วนกรมศุลกากรจัดเก็บรายได้ต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 1,156 ล้านบาท หรือลดลง 5.5% และต่ำกว่าประมาณการ 1,273 ล้านบาท

 

นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง กล่าวว่า ได้มอบนโยบายการจัดเก็บภาษีในปี 2568 ให้กับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยยอมรับว่าการจัดเก็บภาษีเริ่มยากขึ้นทุกปี ซึ่งรัฐบาลได้มอบนโยบายการจัดเก็บรายได้ว่าไม่ให้มีปัญหาเกิดขึ้น และไม่ให้เกิดแรงกดดันต่อภาคเอกชนและประชาชนมากเกินไป

ในส่วนของกรมสรรพากร ซึ่งเป็นหน่วยงานหลักในการจัดเก็บรายได้ของรัฐบาลกว่า 80% จะต้องเร่งปฏิรูปภาษีเพื่อเพิ่มรายได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อประเทศไทยอยู่ในกระบวนการเข้าเป็นสมาชิกองค์การเพื่อความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) ซึ่งประเทศที่เป็นสมาชิก OECD ส่วนใหญ่จะมีอัตราการจัดเก็บภาษีเฉลี่ย 34% ต่อ GDP

ส่วนประเทศไทยมีสัดส่วนอยู่ที่ 16.7% เท่านั้น และลดลงอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่รัฐบาลจำเป็นต้องใช้จ่ายเพิ่มมากขึ้น เพื่อการพัฒนาและลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน ควบคู่ไปกับการจัดสวัสดิการให้แก่คนไทย

“หากรัฐบาลไม่สามารถจัดเก็บรายได้ให้เพียงพอต่อรายจ่าย อาจมีความจำเป็นต้องกู้เงินเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งไม่เป็นผลดีกับประเทศไทยในระยะยาว

ดังนั้น จึงต้องสร้างกลไกในหลายๆ อย่าง ทั้งการเพิ่มประสิทธิภาพ และการเข้าถึงที่ง่ายขึ้นในการดำเนินการจ่ายภาษี เช่น การให้บริการ One Portal ซึ่งเรากำลังทำอยู่ ที่จะทำให้คนที่เข้าสู่การจ่ายภาษีเกิดความสะดวกแม่นยำในอนาคต”

ขณะเดียวกันการจัดเก็บภาษีผูกกับการเติบโตทางเศรษฐกิจ ดังนั้น หากการเติบโตเศรษฐกิจดี สุดท้ายการจัดเก็บจะเพิ่มมากขึ้น ซึ่งเชื่อว่าปี 2568 เศรษฐกิจจะดีกว่าปี 2567 โดยคาดว่าจะโตมากกว่า 3%

 

นายจุลพันธ์กล่าวว่า ที่ประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) เมื่อวันที่ 11 ธันวาคม 2567 ได้เห็นชอบพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) 2 ฉบับ คือ 1.พระราชกำหนดภาษีส่วนเพิ่ม และ 2.พระราชกำหนดการแก้ไขพระราชบัญญัติการเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย เป็นไปตามเกณฑ์ของ OECD

ภายใต้แนวทางการดำเนินการจัดเก็บภาษีเพิ่มเติมจากบริษัทที่เข้าตามมาตรการต้องเสียภาษีขั้นต่ำ หรือ Global Minimum Tax (GMT) ในอัตรา 15% และต้องส่งเงินภาษีบางส่วนที่จัดเก็บได้ให้กองทุนเพิ่มขีดความสามารถในการแข่งขันของประเทศสำหรับอุตสาหกรรมเป้าหมาย

“มาตรการภาษี GMT ถือว่าเป็นมาตรการที่ดี เพราะนอกจากเกิดความชัดเจนในการดึงการลงทุนแล้ว กระทรวงการคลังคาดว่าจะสามารถสร้างรายได้เพิ่มให้กับประเทศมากกว่า 1 หมื่นล้านบาทต่อปี”

นายปิ่นสาย สุรัสวดี อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ได้มอบนโยบายสรรพากรพื้นที่ทั่วประเทศ โดยกำชับให้จัดเก็บรายได้ภาษีให้เป็นไปตามเป้าหมาย โดยเฉพาะในช่วงสถานการณ์เศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวดี

ทั้งนี้ กรมสรรพากรให้ความสำคัญกับผู้ประกอบการรายใหม่ที่ประกอบธุรกิจในรูปแบบของบุคคลธรรมดา โดยเฉพาะการขายสินค้าออนไลน์ (e-Commerce) เมื่อมีรายได้ถึงเกณฑ์ตามที่กฎหมายกำหนด มีหน้าที่ยื่นแบบซึ่งเป็นการปฏิบัติหน้าที่ทางภาษีให้ถูกต้อง ไม่เพียงช่วยลดภาระค่าปรับและเงินเพิ่ม แต่ยังเป็นการสนับสนุนการพัฒนาประเทศ

นายพันธ์ทอง ลอยกุลนันท์ ที่ปรึกษาด้านการพัฒนาและบริหารการจัดเก็บภาษี ในฐานะโฆษกกรมศุลกากร กล่าวว่า ในปีงบประมาณ 2568 กรมศุลกากรยังคงเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ โดยนโยบายของนายธีรัชย์ อัตนวานิช อธิบดีกรมศุลกากร ได้ให้ตรวจสอบเข้มงวดในการสําแดงพิกัด รวมถึงราคาที่ใช้ในการเป็นฐานในการคํานวณค่าภาษีอากร รวมถึงติดตามตรวจสอบหลังจากการปล่อยสินค้า ว่าสําแดงพิกัดถูกต้องเต็มพิกัดที่ได้รับการยกเว้นอากรและลดอัตราอากรหรือไม่

พร้อมกันนั้นยังเข้มงวดกวดขันในเรื่องการนําเข้าและส่งออกสินค้าผิดกฎหมาย สินค้าที่ไม่ได้มาตรฐาน (สมอ.) สินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา สินค้าเกษตร อาทิ ยางพารา

สำหรับการจัดเก็บรายได้ของกรมศุลกากรในช่วง 2 เดือนแรก ต่ำกว่าเป้าหมายเล็กน้อย เนื่องจากกรมศุลกากรได้รับประมาณการจัดเก็บอยู่ที่ 1.22 แสนล้านบาท ค่อนข้างสูงกว่าปี 2567 โดยเพิ่มขึ้นถึง 7% ในขณะที่อัตราอากรลดต่ำลง ตามข้อตกลงระหว่างประเทศ

 

ด้านนางสาวกุลยา ตันติเตมิท อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า เป้าหมายการจัดเก็บรายได้ของกรมสรรพสามิตในปีงบประมาณ 2568 อยู่ที่ 609,000 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปี 2567 ที่ 16% ถือว่าเป็นความท้าทายอย่างยิ่ง ซึ่งการสนับสนุนอุตสาหกรรมรถยนต์ ที่มีแนวโน้มที่คนจะใช้รถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้น ทำให้สูญเสียเม็ดเงินภาษีผ่านมาตรการ EV 3.0 และ EV 3.5 โดยต้องยอมแลก เพื่อดึงเม็ดเงินลงทุนเข้าประเทศ

อย่างไรก็ดี กรมสรรพสามิตเตรียมเสนอเก็บภาษีความเค็ม เพื่อสนับสนุนให้คนไทยบริโภคโซเดียมลดลง โดยอยู่ระหว่างการศึกษาประเภทสินค้าสำเร็จรูปและกำหนดเกณฑ์ปริมาณโซเดียมที่จะจัดเก็บภาษี

“ภายในปี 2568 นี้ กรมสรรพสามิตจะผลักดันการจัดเก็บภาษีโซเดียมให้เห็นเป็นรูปธรรม โดยรูปแบบจะเป็นอัตราภาษีขั้นบันได เช่นเดียวกับภาษีความหวานที่มีผลบังคับใช้แล้ว โดยจะเริ่มจากการเก็บภาษีความเค็มจากขนมขบเคี้ยว ซึ่งไม่ได้จำเป็นต่อการดำรงชีวิต”

ทั้งนี้ ที่ผ่านมา กระทรวงการคลังออกมาโยนหินถามทางเรื่องการปรับโครงสร้างภาษีทั้งระบบ ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาแนวทางในการปรับโครงสร้าง เพื่อแก้ปัญหาภาคการคลัง อันจะนำไปสู่การลดระดับการขาดดุลงบประมาณ และลดระดับหนี้สาธารณะลงให้ได้ต่อไป