พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ | ภาวะผู้นำที่โลกต้องการในปี 2025 (1/4 ของศตวรรษที่ 21)

พิธา ลิ้มเจริญรัตน์

สวัสดีปีใหม่ 2025 ทุกท่านครับ!

ปีใหม่ปีนี่ก็ปาเข้าไป 1 ใน 4 หรือ 25% ของศตวรรษที่ 21 แล้ว เร็วเหลือเชื่อจริงๆ นะครับ

โลกของเราก็เปลี่ยนแปลงไปอย่างมหาศาล ในช่วง 25 ปีที่ผ่านมา

โลกของเราทั้งต้องเผชิญกับเหตุการณ์ที่เปลี่ยนแปลงประวัติศาสตร์ อย่างวิกฤตการณ์ทางการเงินครั้งใหญ่ อย่างน้อย 3 ครั้ง, สงครามความขัดแย้งระดับใหญ่อย่างน้อย5 ครั้ง และภัยพิบัติทางธรรมชาติที่ร้ายแรงที่สุด 6 ครั้ง

เช่น วิกฤตการเงินปี 2008 สงครามในซีเรียซึ่งในที่สุดก็จบลงในปีที่แล้ว หรือสึนามิในมหาสมุทรอินเดียและญี่ปุ่น แผ่นดินไหวในเฮติ หรือแม้แต่การระบาดของ COVID-19

25 ปีที่ผ่านมา มีหลายเรื่องที่เปลี่ยนวิถีชีวิต ความกังวล ความเสี่ยงและวิธีการทำงานของมนุษยชาติไปอย่างไม่น่าคาดเดาได้

เผลอแป๊บๆ ตอนก่อนปี 2000 ผมนั่งนึกย้อนว่า count down ที่ New York เรายังกังวลเรื่อง millenium bug และใช้ excel 97 กันอย่างขะมักเขม้น

ลองจินตนาการดูเล่นๆ นะครับ หากเรานำผู้นำองค์กรจากปี 2000 มายืนอยู่ในปี 2025 พวกเขาจะรู้สึกเหมือนหลุดมาอยู่ในโลกใหม่ ที่กฎเกณฑ์และเครื่องมือเก่าไม่สามารถใช้งานได้อีกต่อไป โครงสร้างองค์กรแบบลำดับขั้นที่แข็งตัว การวางแผนระยะยาว 5 ปี หรือแม้แต่การตัดสินใจโดยอาศัยอำนาจแบบดั้งเดิม จะดูเหมือนไม่เข้ากันกับโลกที่ซับซ้อนและเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วในวันนี้

ผมว่า พวกเรา คนที่เกิดทัน น่าพอจะสรุปได้ว่านี่คือโลกที่ไม่ได้ต้องการ Commander อีกต่อไป แต่ต้องการ Change Maker-คนที่ไม่เพียงแค่ตามการเปลี่ยนแปลงได้ทัน แต่ยังขับเคลื่อนมันได้ด้วยภาวะผู้นำแบบใหม่ในโลกยุคใหม่

ย้อนกลับไปในช่วงต้นปี 2000 เทคโนโลยียังเป็นเพียงผู้ช่วยที่มีบทบาทรอง เช่น ระบบอีเมลหรือโปรแกรมจัดการข้อมูล แต่ในปี 2025 เทคโนโลยีไม่ได้เป็นเพียงตัวเสริมอีกต่อไป มันกลายเป็นแก่นหลักของทุกการตัดสินใจในองค์กร

ในอดีต หน้าที่หลักของผู้นำคือการสั่งการและบริหารจัดการตามโครงสร้างองค์กร แต่ในปี 2025 ผู้นำต้องเข้าใจการทำงานของ AI รู้จักบล็อกเชน และตัดสินใจว่าองค์กรควรลงทุนในเทคโนโลยีควอนตัมหรือไม่

ความเร็วของการเปลี่ยนแปลงด้านเทคโนโลยีเป็นเพียงส่วนหนึ่ง ยังมีความท้าทายอีกมากมายที่รออยู่ เมื่อทุกวันเหมือนเป็นวันแห่งวิกฤต

ย้อนกลับไปในปี 2000 การจัดการห่วงโซ่อุปทานหรือการบริหารองค์กรในภาวะวิกฤตมักจะเกี่ยวข้องกับปัญหาเฉพาะพื้นที่ แต่ในปี 2025 โลกเชื่อมโยงกันจนทุกปัญหากลายเป็นปัญหาระดับโลก องค์กรต้องเผชิญกับวิกฤตการณ์หลายมิติพร้อมกัน เช่น น้ำท่วมในเอเชียใต้ที่ทำให้โรงงานผลิตหยุดชะงัก การเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่ทำให้เส้นทางขนส่งสินค้าหยุดนิ่ง และความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ที่ทำให้การค้าระหว่างประเทศหยุดชะงัก

ในปี 2025 การจัดการวิกฤตกลายเป็นงานประจำของผู้นำ หลายคนบอกว่าพวกเขาไม่ได้ “แก้ปัญหา” อีกต่อไป แต่เหมือน “ดับไฟ” อย่างต่อเนื่อง

แรงงานยุคใหม่
: ค่าตอบแทนที่เปลี่ยนไป

ลองนึกถึงพนักงานในยุค 2000 ความคาดหวังของพวกเขามักจะอยู่ที่เงินเดือนและผลประโยชน์ แต่ในปี 2025 ทุกอย่างเปลี่ยนไป

แรงงานยุคใหม่ไม่ได้มองแค่ผลตอบแทนทางการเงิน

แต่ให้ความสำคัญกับ ความยืดหยุ่น ในการทำงาน สุขภาพจิต และการทำงานที่มีความหมาย

พวกเขาคาดหวังการสนับสนุนจากองค์กรในด้านสุขภาพจิต และต้องการทำงานกับองค์กรที่มุ่งเป้าหมายด้านความยั่งยืน

องค์กรที่ไม่ปรับตัวตามแรงงานยุคใหม่กำลังเสี่ยงต่อการสูญเสียคนเก่ง

การเปลี่ยนแปลงที่ลึกซึ้ง
: จริยธรรมและความหลากหลาย

ในปี 2025 เทคโนโลยีได้ขยายขอบเขตการใช้งานไปสู่ระดับที่ไม่เคยมีมาก่อน

ความโปร่งใสที่เพิ่มขึ้น พร้อมกับการเข้าถึงข้อมูลอย่างง่ายดาย นำไปสู่การถกเถียงทางสังคมเกี่ยวกับประเด็น จริยธรรม และความหลากหลาย ที่เข้มข้นขึ้นกว่าเดิม

องค์กรและบริษัทในยุคปัจจุบันพบว่าตัวเองถูกจับตามองจากผู้บริโภคและสาธารณชนมากกว่าที่เคย

หากพวกเขาไม่ใส่ใจในด้านจริยธรรม หรือขาดการส่งเสริมความหลากหลายในองค์กร อาจเสี่ยงต่อการถูกมองข้ามหรือสูญเสียความเชื่อมั่นจากผู้บริโภคที่ใส่ใจในคุณค่าเหล่านี้มากขึ้น

 

ตัวอย่างที่จุดประกาย
การถกเถียงด้านจริยธรรม

– การตัดต่อพันธุกรรม (Genetic Editing) เทคโนโลยี CRISPR-Cas9 ทำให้เราสามารถแก้ไข DNA ของมนุษย์และสัตว์ได้ง่ายขึ้น

แต่เส้นแบ่งระหว่างการรักษาโรคกับการ “ปรับแต่งมนุษย์” เพื่อประโยชน์ส่วนบุคคลนั้นอยู่ตรงไหน?

– การใช้ร่างกายสัตว์เพื่อสนับสนุนชีวิตมนุษย์ ตัวอย่างเช่น การทดลองทางวิทยาศาสตร์ที่ใช้ร่างกายหมูเพื่อปลูกถ่ายอวัยวะให้มนุษย์ (Xenotransplantation)

ถูกตั้งคำถามว่าเป็นการละเมิดสิทธิสัตว์หรือไม่

– การใช้ AI ในอาวุธสงคราม โดรนสังหารที่ควบคุมด้วย Machine Learning

ก่อให้เกิดคำถามว่าความรับผิดชอบทางจริยธรรมควรอยู่ที่มนุษย์หรือเครื่องจักร?

 

คุณสมบัติของ Change Maker
ในปี 2025

ในปี 2025 ผู้นำไม่ได้ถูกวัดจากความสามารถในการสั่งการ แต่จากความสามารถในการปรับตัวและสร้างแรงบันดาลใจ นี่คือ 3 คุณสมบัติที่สำคัญ :

1. Empathy-Driven Leadership ผู้นำที่ไม่เพียงแค่ฟังเพื่อโต้ตอบ แต่ฟังเพื่อเข้าใจ

2. Technological Agility ผู้นำที่ไม่กลัวเทคโนโลยี แต่ใช้มันเป็นเครื่องมือในการแก้ปัญหา

3. Inclusive stewardship ผู้นำที่บริหารองค์กรโดยสมดุลระหว่างผลกำไรและความยั่งยืน

 

อนาคตที่รออยู่ : ผู้นำในปี 2050

หากปี 2025 ต้องการ Change Maker ปี 2050 อาจเรียกร้องมากกว่านั้น ผู้นำในยุคนั้นอาจต้อง :

– ใช้ Quantum Leadership เพื่อคาดการณ์อนาคตหลายมิติ

– นำทีมในโลกเสมือนจริงผ่าน Meta-Influencers

– เป็น Planetary Stewards ที่ดูแลทั้งองค์กรและโลกใบนี้

 

บทสรุป

โลกในปี 2025 ชี้ชัดว่าความยืดหยุ่น ความเห็นอกเห็นใจ และความยั่งยืน คือหัวใจของภาวะผู้นำยุคใหม่

และคำถามสำคัญในตอนนี้คือ คุณพร้อมหรือยังที่จะเป็น Change Maker

และร่วมสร้างความเปลี่ยนแปลงในโลกที่ไม่หยุดนิ่งใบนี้?