ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
ผู้เขียน | คำ ผกา |
เผยแพร่ |
พรรคประชาชนกำลังตกที่นั่งลำบาก
ฉันเขียนแบบนี้ไม่ได้แปลว่าพรรคประชาชนจะตกต่ำขาลงไปเรื่อยๆ จนสูญพันธุ์ไป เพราะในอนาคตอันใกล้ พรรคประชาชนอาจจะกลายเป็นนกฟินิกซ์ฟื้นคืนชีพขึ้นมาในร่างใหม่ แข็งแกร่งกว่าเดิม มีวุฒิภาวะมากขึ้น สั่งสมประสบการณ์จนกลมกล่อมกว่าเดิม กลับมายิ่งใหญ่ เกรียงไกร โบกธงสีส้มเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้ศิวิไลซ์ได้ดั่งใจหมายก็เป็นไปได้
คำว่าตกที่นั่งลำบากในความหมายของฉันคือในช่วงเวลาที่เพิ่งผ่านการถูกยุบพรรคและมีอีก 44 ส.ส.ลุ้นว่าจะถูกสั่งตัดสิทธิ์ทางการเมืองหรือไม่?
จุดมุ่งหมายของการตั้งพรรคประชาชนที่แต่เดิมคือพรรคอนาคตใหม่ (ต่อไปนี้จะขอเรียกว่าพรรคส้ม เพื่อให้ครอบคลุมทั้งอนาคตใหม่ ก้าวไกล และประชาชน) คือ ต่อสู้กับแนวคิดเผด็จการอำนาจนิยม ประเพณีนิยม ต่อต้านการรัฐประหาร
เรียกได้ว่าเป็นพรรคที่มีจุดยืนเหมือนพรรคเพื่อไทย แต่พรรคอนาคตใหม่มองว่า อยากมีพรรคประชาธิปไตยที่เป็นทางเลือกอื่นนอกจากเพื่อไทยบ้าง ไม่อย่างนั้น เพื่อไทยก็มองประชาชนเป็นของตาย คนไม่เอาเผด็จการ ไม่เอารัฐประหาร ไม่มีทางเลือกอื่นในการเลือก ส.ส. เลือกรัฐบาลเลยหรือนอกจากพรรคเพื่อไทย
ไม่เพียงเท่านั้น พรรคอนาคตใหม่ยังเล็งเห็นว่า มีคนจำนวนมาก “ตาสว่าง” อดีตเคยเป็นสลิ่ม เคยสนับสนุนรัฐประหาร ตอนนี้รู้แล้วว่า รัฐประหารไม่ใช่ทางออก แถมยังซ้ำเติมให้ทุกอย่างเลวร้ายขึ้น
คนเคยเป็นสลิ่ม เคยเป่านกหวีด ตอนนี้เกลียดประยุทธ์ จันทร์โอชา แต่ถามว่าจะให้เลือกเพื่อไทยก็เลือกไม่ลง เพราะยังมองการเมืองแบบ “สลิ่ม”
นั่นคือมองว่า พรรคการเมืองส่วนใหญ่โกง เอื้อพวกพ้อง เอื้อนายทุน ชนะการเลือกตั้งเพราะซื้อเสียงประชาชน ชีวิตมันเศร้าจัง ไม่เชียร์รัฐประหารแต่ก็เกลียดเพื่อไทย ชีวิตฉันมีอะไรให้เลือกบ้าง
พรรคอนาคตใหม่จึงถือกำเนิดมาเพื่อตอบสนองโหวตเตอร์กลุ่มนี้
และปฏิเสธไม่ได้ว่า ผู้ก่อตั้งพรรคอนาคตใหม่ก็ล้วนแต่เป็นนักกิจกรรมทางการเมืองที่หลายคนก็ร่วมต่อสู้กับคนเสื้อแดง คนเหล่านี้มีความอึดอัดที่พรรคเพื่อไทย “สู้น้อยไป” ไม่กล้า ป๊อด ทำการเมืองแบบเดิมๆ อนุรักษนิยม เป็นพรรคนายทุน พรรคนายใหญ่
อย่ากระนั้นเลย เราก็ไพร่หมื่นล้าน ตั้งพรรคเองดีกว่า รวบรวมผู้คนหัวก้าวหน้ามาเปลี่ยนแปลงประเทศด้วยกัน
พวกเขาจึงประกาศทำ “การเมืองใหม่” การเมืองของคนหนุ่มสาว ต่อไปนี้ไม่มีบ้านใหญ่ ไม่มีการใช้เงิน ไม่มีการซื้อเสียง การเมืองสีขาว การเมืองแบบปัญญาชน การเมืองแบบประเทศโลกที่หนึ่ง
สำหรับฉัน ณ วันนั้นมันเป็นเรื่องที่ดีมาก และฉันก็พูดครั้งที่ล้านว่าฉันเชียร์เต็มที่ ประเทศไทยจะได้เหมือนสากลโลกคือมีพรรคฝ่ายประชาธิปไตยที่เป็นขวาหน่อยคือเพื่อไทย แล้วก็พรรคประชาธิปไตยที่เป็นซ้ายหน่อยคืออนาคตใหม่
และแน่นอนว่าเป้าหมายที่มีร่วมกันคือค่อยๆ สร้างความเข้มแข็งให้ระบบการเลือกตั้ง ค่อยๆ ลบล้างกำจัดมรดกของระบอบเผด็จการ รัฐประหารที่ฝังรากลึกในสังคมไทย ที่เผด็จการอำนาจนิยม ไม่ใช่แค่การเมือง แต่หลอมรวมกลายเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นไทยและวัฒนธรรมไทยด้วยซ้ำ
อีกทั้งพรรคเพื่อไทยก็ไม่ได้มองเห็นพรรคอนาคตใหม่เป็นคู่แข่งเลย มองว่าเป็นพันธมิตร หรือเป็นพรรคของน้องๆ ที่ต้องช่วยกันด้วยซ้ำ
พิสูจน์ได้จากการที่พรรคเพื่อไทยมีมติเสนอชื่อธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ เป็นนายกฯ ทั้งๆ ที่พรรคเพื่อไทยเป็นพรรคที่ได้ ส.ส.มากเป็นอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งปี 2562 เพราะมองว่าจะทำให้ภาพของพรรคการเมืองฝั่งประชาธิปไตยดูมีความเป็นปึกแผ่น
และด้วยความที่เห็นว่าเป็นพรรค “น้องๆ” นี่แหละ เมื่อนักการเมืองเพื่อไทยเตือนพรรคอนาคตใหม่เรื่องระวังจะโดนเรื่องยุบพรรค แล้วทำให้แกนนำพรรคอนาคตใหม่ออกมาฟาดงวงฟาดงา เช็กพาดหัวข่าววันที่ 26 สิงหาคม 2562 เว็บไซต์ข่าวสดได้เลยว่า “ดราม่า! หมอชลน่าน ชี้เคสไพบูลย์ ยุบอนาคตใหม่ ช่อโต้เพื่อไทย เอาเวลาไปตรวจสอบพฤติกรรมต่างๆ ของ ครม. และงานใหญ่อย่างอภิปรายตู่ดีกว่า”
มองในอีกแง่หนึ่งก็เป็นความไร้เดียงสาของพรรคบูมเมอร์แบบเพื่อไทยเองนั่นแหละ ที่ไปมองว่าอนาคตใหม่เป็น “น้อง” เพราะฝ่ายพรรคอนาคตใหม่ เขามองแบบคนเจนวาย มองแบบคนรุ่นใหม่ว่า “คนเท่ากัน” ไม่มีพี่ไม่มีน้อง พรรคการเมืองก็คือพรรคการเมือง ตั้งพรรคมาแล้วก็ต้องแข่งกันเต็มที่ ไม่มีลดราวาศอก
“อย่ามาห่วง อย่ามาน้อง”
เมื่อต้องแข่งกัน ในขณะที่เพื่อไทยมองว่าอนาคตใหม่น่าจะไปหาลูกค้าหรือโหวตเตอร์จากฝั่ง “สลิ่ม” แต่พรรคส้มไม่ได้คิดเช่นนั้น ซึ่งก็ไม่ผิดเพราะเขามองว่า “ใครดีใครได้” สิ่งที่เกิดขึ้นคือ พรรคอนาคตใหม่ และพรรคก้าวไกลเริ่มมีจุดขายของตัวเองว่า เป็นพรรคการเมืองที่กระดูกสันหลังเหยียดตรง กล้าหาญ กล้าพูดในเรื่องที่เพื่อไทยไม่กล้า
จนนำมาสู่สำนวน “ตกปลาในบ่อเพื่อน” อันเป็นการตัดพ้อจากฝ่ายเพื่อไทย
ฉันคิดว่าจากจุดนั้นแหละ ที่ทำให้ถึงทางแยกระหว่างเพื่อไทยกับพรรคส้มว่า เราคือคู่แข่ง ไม่ใช่พรรคพี่พรรคน้อง
พูดง่ายๆ ว่า พรรคส้มเขาก็มี pride มีศักดิ์ศรีของเขา พรรคเพื่อไทยไม่ต้องมาถนอมกล่อมเกลี้ยงเลี้ยงดูเป็นพี่เลี้ยง
เผลอๆ เขามองว่าพรรคเพื่อไทยนั่นแหละแก่ โบราณ ไม่ทันโลก ไม่เข้าใจคนรุ่นใหม่
ฉันจึงไม่เคยเชื่อการวิเคราะห์การเมืองสามก๊ก ชนชั้นนำใช้เพื่อไทยมาสกัดพรรคส้ม เพราะมีพรรคส้ม พรรคเพื่อไทยเลยรอด เพราะชนชั้นนำเขาต้องยืมมือเพื่อไทยมาฆ่าส้ม นี่เป็นการวิเคราะห์แบบเพ้อเจ้อทั้งเพ
ทางแยกของแดงกับส้มมันเกิดจากการแย่งโหวตเตอร์กลุ่มเดียวกันเท่านั้นเอง
แย่งกันถึงขั้นต้องช่วงชิงประวัติศาสตร์ของคนเสื้อแดง โดยการสร้างวาทกรรมว่า พรรคเพื่อไทยทรยศต่ออุดมการณ์คนเสื้อแดง
และไปไกลถึงขั้น ส.ส.พรรคส้มที่เคยแช่งให้คนเสื้อแดงตายเป็นหมื่นๆ หรือ ส.ส.พรรคส้มที่เคยโพสต์เฟซบุ๊กว่า “ไม่เอารัฐประหาร จะเอาเพื่อไทยเหรอ อีสัส” กลายมาเป็นคนมีหน้ามีตาในงานรำลึกถึงวีรชนคนเสื้อแดงในแบบที่คนเสื้อแดงหลายคนเหวอไปเลย
ในแง่หนึ่งฉันคิดว่าแบบนี้ก็ดีแล้ว แฟร์เกม พรรคเพื่อไทย พรรคส้ม ไม่มีคำว่าฮั้ว แข่งกันไปเลย ใครดีใครอยู่ และจากตรงนี้แหละที่ฉันคิดว่าพรรคส้มลืมมองไปว่า การอยู่ในการเมืองไทยที่มีบริบท และข้อจำกัดตามประวัติศาสตร์การเมืองสมัยใหม่ในแบบที่ประเทศไทยเป็นนั้น การเมืองเป็นอะไรที่ต้องเล่น “เกมยาว”
เมื่อต้องเล่นเกมยาว อยู่ให้ยาว มันแปลว่า คนเล่นต้องรู้จักผ่อนหนักผ่อนเบา รู้จักออมแรง และรู้อยู่เสมอว่าใครตายก่อนคนนั้นแพ้ สำนวนเชยๆ เขาก็พูดกันไม่ใช่หรือว่า หลายครั้งต้องยอมแพ้ศึกเพื่อชนะในสงครามใหญ่
ตรงนี้เองที่เป็นจุดย้อนแย้งของพรรคส้ม
เมื่อเพื่อไทยเลือกเล่นเกมยาว หมอบได้หมอบ ยอมได้ยอม
จะพูดให้เข้าใจง่ายคือเลือกรักษาชีวิตเพื่อจะทำงานการเมืองให้นานที่สุด
และมองหาจังหวะสร้างความเปลี่ยนแปลง มองว่าคนเปลี่ยนแปลงประเทศนั้นต้องให้ประชาชนนำ ไม่ใช่พรรคการเมืองถือธงนำ พรรคการเมืองไปสร้างเศรษฐกิจ หาเงิน ค้าขาย วันหนึ่งประชาชนรวยขึ้น กินอิ่ม มีแรง ประชาชนจะส่งสัญญาณถึงพรรคการเมืองเองว่า เรื่องนี้ต้องเปลี่ยน
ยกตัวอย่างง่ายๆ 20 ปีที่แล้ว ถ้าพรรคการเมืองไหนบอกว่า มีนโยบายเลิกเครื่องแบบนักเรียน ยกเลิกระเบียบทรงผม รับรองว่า พรรคนั้นโดนทัวร์ลงเละตุ้มเป๊ะ คะแนนนิยมตกฮวบแน่นอน
หรือพรรคการเมืองไหนบอกว่าสนับสนุนการทำแท้ง รับรองเละ พรรคการเมืองไทยจะให้เกย์แต่งงานกันได้ รับรองเละ แพ้เลือกตั้ง
แต่มาถึงวันนี้ เมื่อประชาชนสุกงอม เขาก็จะส่งเสียงไปที่นักการเมืองว่า พรรคไหนไม่ทำเรื่องนี้ มึงแพ้แน่
การเมืองแบบเพื่อไทยคือ ดูทิศทางลม ไม่หักหาญเปลี่ยนแปลง
ทีนี้ถ้าพรรคส้มจะเอาชนะเพื่อไทยก็ต้องดิสเครดิตว่า เล่นการเมืองแบบเพื่อไทยเป็นความขี้ขลาด สู้ไปหมอบไป ตระบัดสัตย์ ฮั้วนายทุน เป็นลูกไล่ของชนชั้นนำ เป็นเด็กดีของทหารและกองทัพ แล้วแสดงให้เห็นว่า พรรคส้มสิเหนือว่า ดีกว่า เก่งกว่า มีสัจวาจากว่า กระดูกสันหลังตรงกว่า ถึงขั้นไม่ยอมรับคำท้าของ ชาดา ไทยเศรษฐ์ ที่บอกว่า หากวาง 112 จะโหวตให้พิธา ลิ้มเจริญรัตน์ เป็นนายกฯ เพราะกะว่าจะโชว์ความ “หยัดยืนสง่างาม” ให้โลกเห็น ให้โหวตเตอร์กรี๊ด
สุดท้าย ชวดตำแหน่งนายกฯ จริง กลายเป็นฝ่ายค้าน ก็ตกกระไดพลอยโจน ต้องเล่นตามน้ำไปอีกด้วยการสร้างวาทกรรมตระบัดสัตย์ เพื่อไทยผสมพันธุ์กับเผด็จการ เหลือแต่พรรคส้มเท่านั้นที่เป็นประชาธิปไตยเลือดแท้ เลือดบริสุทธ์ เลือดไม่ผสมอะไรเลย ไม่เคยแปดเปื้อนมลทิน
แรกๆ ก็สนุก ฉันคือฮีโร่ของการต่อสู้ พรรคเพื่อไทยสูญพันธุ์แน่นอน
สื่อทั้งหลายที่อยากมีหน้ามีตาว่ามีอุดมการณ์ก็ต้องมาร่วมเชิดชูพรรคส้ม
พิธาคือสุภาพบุรุษผู้ชนะการเลือกตั้ง แต่ถูกปล้นชัยชนะโดยพวกตระบัดสัตย์
แม้เขาจะไม่ได้เป็นนายกฯ ที่ประเทศไทย แต่โลกทั้งใบก็ยกย่องพิธา เขาไปฮาร์วาร์ด เขาไปทุกที่ โอ้ สงสารประเทศไทยที่ไม่ได้พิธาเป็นนายกฯ
แต่ผ่านไป 1 ปี ชักไม่สนุก เพราะการเป็นฝ่ายค้านมันสร้างผลงานยาก แถมยังต้องมาเจอพิษตุลาการภิวัฒน์ พรรคถูกยุบ กรรมการบริหารพรรคโดนตัดสิทธิ์
และถึงที่สุดแล้ว เราแทบไม่เห็นบทบาทของ ส.ส. 151 คนของพรรคส้มเลย การอภิปรายของธิษณา ชุณหะวัณ กลายเป็นภาพติดลบเรื่องพรรคประชาชนเพื่อพม่า ศิริกัญญา ตันสกุล ไปปลุกระดมเรื่อง leave การบินไทย alone ก็กลายเป็นโจ๊ก เรื่องตากใบก็ไม่แม่นยำในข้อมูล น้ำประปาดื่มได้บนเวทีหาเสียง อบจ. ก็โดนแหกกลางเวทีจนเป็นน้ำประปาจิบได้
มี ส.ส.ตั้ง 151 คน แต่มีคนที่โดดเด่น แอ๊กทีฟ วนๆ อยู่แค่โรม ไอติม ส.ส.แจมบ้าง
หัวหน้าเท้งกำลังอยู่ในระหว่างการปั่นอยู่ว่าจะให้เป็นอะไร ระหว่างหนุ่มเนิร์ดสายเทค หรือหนุ่มน้อยหน้าซื่อรักเดียวใจเดียว
ล่าสุดออกมาพูดว่า ดีจัง ศาลรัฐธรรมนูญสั่งให้เราลบนโยบาย 112 ออก ต่อไปนี้พรรคอื่น ไม่มีข้ออ้างแล้วนะครับว่า มาร่วมรัฐบาลกับเราไม่ได้
เออ เท้งคะ เท้งจะไปร่วมกับพรรคไหนเหรอ? เพราะนอกเหนือจากพรรคประชาชนของเท้ง ทุกพรรคมันสมสู่กันในฐานะคนตระบัดสัตย์
ที่เหลือเป็นลิ่วล้อ นั่งร้านเผด็จการ แล้วจะเหลือพรรคไหนให้เท้งสมสู่ด้วยเหรอ?
หรือเท้งจะเตรียมตระบัดสัตย์ไปสมสู่กับอีพวกคนชั่วในปี 2570?
การเดินเกมการเมืองแบบพรรคส้มที่ใช้พรรคเพื่อไทยเป็นจุดอ้างอิง นั่นคือหากเพื่อไทยไปซ้าย ฉันจะไปขวา หากพรรคเพื่อไทยลงใต้ ฉันจะขึ้นเหนือ โดยเชื่อว่า “ความแตกต่าง” จากพรรคเพื่อไทยคือจุดขาย ถ้าพรรคเพื่อไทยด่าแบงก์ชาติ ฉันจะชมแบงก์ชาติ ถ้าพรรคเพื่อไทยจะทำรถไฟฟ้ายี่สิบบาท ฉันจะด่าพรรคเพื่อไทยว่าทอดทิ้งคนต่างจังหวัด ถ้าพรรคเพื่อไทยส่งเสริมดาต้าเซ็นเตอร์ ฉันจะยืนยันว่าน้ำประปาดื่มได้ยั่งยืนกว่า เป็นเมกะโปรเจ็กต์มากกว่า
แม้ในปริมณฑลที่มีทักษิณ ชินวัตร มาเป็นตัวละคร แทนที่พรรคส้มจะยึดบนหลักการว่า การได้กลับประเทศไทยของทักษิณ เท่ากับการได้คืนมาซึ่งความยุติธรรม แต่พรรคส้มกลับผลักตัวเองไปเล่นในเกมของสลิ่มเฟสหนึ่งคือไปตามจับผิดเรื่องชั้นสิบสี่
และท้ายที่สุดถูกทักษิณลวงให้มาเล่นในเกม “ด่าทักษิณ” รายวันในสนามเลือกตั้ง อบจ. และการหลวมตัวมาเล่นในเกมนี้ของพรรคส้มมันคือการลดเกรดตัวเองจากพรรคคนรุ่นใหม่ การเมืองใหม่ พรรคที่มีแบรนดิ้งเป็นการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตย ทลายโครงสร้าง เปลี่ยนแปลงประเทศ มาอยู่ในเทียร์เดียวกับสื่ออาวุโสทั้งหลาย
นี่คือเกมลวงให้พรรคส้มหลุดจากฐานที่มั่นพรรคประชาธิปไตยมาเป็นสลิ่มเฟสหนึ่งเต็มตัว กลับก็ไม่ได้ ไปต่อก็ไม่ถึง
พรรคส้มกำลังจะสูญเสียแบรนดิ้งของตัวเองอย่างมีนัยสำคัญ
และยิ่งไปคบค้าสมาคมจับมือออกสื่อกับสลิ่มเฟสหนึ่งมากๆ เข้า ปล่อยให้มาถือหางพรรคส้มหนักๆ เข้า ปล่อยให้ปัญญาชนเลอะเทอะ ถามถึงการรัฐประหารบ่อยๆ เข้า โดยที่รัฐบาลยังไม่ได้สร้างผลงานอะไรเลย พรรคส้มก็ชิงทำลายตัวเองก่อนด้วยการหลงกลไปเห็นทักษิณเป็น “ผี”
แล้วเข้าร่วมขบวนหลอนไปกับพวกเฟสหนึ่ง แถมเท้งยังมาปวกเปียกไม่ยอม “สบตา” ประชาชนว่า ยัง “สู้” เรื่อง 112 อยู่หรือเปล่า ก็ยิ่งชัดว่าส้มจะจับแบรนด์ “ประชาธิปไตยกว่าใคร” ไว้ไม่ได้อีกต่อไป
นี่คือเหตุผลที่ฉันบอกว่าส้มกำลังตกที่นั่งลำบาก
ก็หวังว่าจะคิดได้ และแก้เกมทัน ในพรรคยังมีคนเก่งอีกเยอะ ฟังคนที่เก่งที่สุขุมบ้าง
ยังมีเวลามารีแบรนด์ตัวเองใหม่ และช่วยติวเข้มกันเรื่องหลักการประชาธิปไตยให้แม่นยำ
อย่าคิดว่าการตื่นขึ้นมาด่า เผด็จการๆๆๆ ตระบัดสัตย์ๆๆๆ แล้วจะทำให้ดูเป็นคนฉลาด เป็นนักสู้ เป็นนักประชาธิปไตยไปโดยอัตโนมัติ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022