ชื่อเรียกวันต่างๆ ในรอบสัปดาห์ของไทย ทำไมจึงผูกโยงอยู่กับชื่อของดวงดาว

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

นักปราชญ์ผู้ล่วงลับอย่าง อ.สมบัติ พลายน้อย เจ้าของนามปากกา “ส. พลายน้อย” เคยอธิบายไว้ในบทความ “ชื่อ ‘วัน-เดือน’ ของไทย” ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับประจำเดือนมกราคม พ.ศ.2535 ว่า ในสมัยโบราณ ไทยกำหนดวันเดือนแบบจันทรคติ อาศัยการโคจรของดวงจันทร์เป็นหลัก โดยนับจำนวนวันตามดวงจันทร์ เริ่มตั้งแต่ดวงจันทร์มีแสงสว่างน้อย ไปจนถึงสว่างเต็มดวง ระยะนี้เรียกว่า “ข้างขึ้น” หรือ “เดือนหงาย” เพราะรูปดวงจันทร์มีลักษณะหงายขึ้น จนกระทั่งโตเต็มดวง เริ่มนับแต่ขึ้น 1 ค่ำไปจนถึง 15 ค่ำ

ต่อจากนั้นดวงจันทร์ก็เริ่มแหว่งมีแสงน้อยลงตามลำดับ ระยะนี้รูปดวงจันทร์ดูเหมือนคว่ำ มีลักษณะเป็นเสี้ยวเล็กลงจนดับมิดดวง เรียกว่า “ข้างแรม” เริ่มนับแต่แรม 1 ค่ำ เรื่อยไปจนถึงแรม 14 ค่ำ และแรม 15 ค่ำ

เดือนหนึ่งจึงมี 20 วันบ้าง 30 วันบ้าง แล้วแต่เดือนขาด เดือนเต็ม (เดือนขาด คือมี 29 วัน เพราะมีเพียง แรม 14 ค่ำ จะมีในเดือน 3, 5, 7, 9 และ 11)

สำหรับชื่อวันที่ใช้ว่า “วันจันทร์” ไปจนถึง “วันอาทิตย์” อ.สมบัติได้อธิบายเอาไว้ในบทความชิ้นเดียวกันนี้ว่า ไทยได้แบบอย่าง “การเรียกชื่อวัน” ทั้ง 7 นี้มาจากอินเดีย คือ วันอาทิตย์ วันจันทร์ วันอังคาร วันพุธ วันพฤหัสบดี วันศุกร์ และวันเสาร์

แต่จะมีแตกต่างกันบ้างบางวัน เพราะในอินเดียเรียกวันทั้ง 7 เป็น รวิวาร-วันอาทิตย์, โสมวาร-วันจันทร์, มงคลวาร-วันอังคาร, พุธวาร-วันพุธ, พฤหัสบดีวาร-วันพฤหัสบดี, ศุกรวาร-วันศุกร์ และศนิวาร-วันเสาร์

สำหรับไทยเรานำแบบอย่างมา และเปลี่ยนคำเรียกให้เหมาะสมกับนามเทวดานพเคราะห์ที่ใช้เรียกในเมืองไทย การเรียกชื่อวันดังกล่าวมีมาเป็นเวลายาวนานแล้ว มีหลักฐานปรากฏในหลักศิลาจารึกหลายแห่ง

ดังนั้น เราจึงอาจจะสรุปง่ายๆ ได้จากคำอธิบายทั้งหมดข้างต้นของ อ.สมบัติ ที่ผมได้ยกมาให้อ่านกันได้ว่า วิธีการนับวันในรอบเดือน ที่แบ่งเป็น “ข้างขึ้น-ข้างแรม” ด้วยการนับจากดวงจันทร์นั้น เป็นของพื้นเมืองอุษาคเนย์ ส่วนระเบียบวิธีการนับวันเป็นชุด 7 วัน รวมเป็นหนึ่งสัปดาห์นั้น เป็นของที่รับอิทธิพลมาจากอินเดียนั่นแหละครับ

 

ถ้าภูมิภาคอุษาคเนย์เราจะรับเอาวิธีการนับรอบสัปดาห์จากอินเดียก็ไม่เห็นแปลก เพราะขนาดคำว่า “สัปดาห์” ในภาษาไทย ยังมีรากมาจากภาษาสันสกฤตว่า “สปฺตาห” ที่แปลว่า “ขวบอาทิตย์” หรือ “รอบเจ็ดวัน” โดยคำสันสกฤตที่ว่านี้ มีรากมาจากคำว่า “สปฺตก” ที่แปลตรงตัวว่า “เจ็ด” หรือ “ที่เจ็ด” อีกทอดหนึ่ง

ดังนั้น จึงไม่น่าแปลกใจอะไรเลยอีกเช่นกันนะครับ ที่ไทยเราจะเอาวิธีการนับวันและจำนวนวันในรอบสัปดาห์มาจากพวกพ่อพราหมณ์อินเดียเขา เพราะแม้แต่คำเรียกรอบเจ็ดวันที่ว่านี้ ก็ยังยืมใช้คำของพ่อพราหมณ์อยู่เลย

แต่ศูนย์กลางวัฒนธรรม และต้นกำเนิดความรู้ต่างๆ สารพัดระดับชมพูทวีปนั้น ก็ดูจะยังไม่ใช่อู่อารยธรรมที่ให้กำเนิดระบบการนับจำนวน 7 วันต่อรอบหนึ่งสัปดาห์อยู่ดี

เพราะโดยทั่วไปแล้ว มักจะเชื่อกันว่า หลักฐานเก่าแก่ที่สุดของการนับรอบสัปดาห์แบบนี้ เพิ่งจะมีปรากฏในอินเดียเมื่อราว พ.ศ.1100 หย่อนๆ ดังปรากฏหลักฐานในชุดตำราการคำนวณทางดาราศาสตร์ที่มีชื่อเรียกรวมๆ กันว่า “ปัญจสิทธานติกา” เท่านั้น

ในขณะที่โลกที่หลุดออกไปทางโพ้นตะวันตกของอินเดียนั้น มีหลักฐานของวิธีการนับรอบสัปดาห์แบบนี้ที่เก่าแก่กว่ากันมาก

อย่างไรก็ตาม ในรอบสหัสวรรษใหม่ คือหลัง ค.ศ.2000 เป็นต้นมานี้ ได้มีนักวิชาการชาวอินเดียบางท่านอ้างว่า อันที่จริงแล้ว ระบบการนับรอบสัปดาห์แบบดังกล่าว ควรจะมีขึ้นในอินเดียตั้งแต่ช่วงราวๆ พ.ศ.550-650 มากกว่า

เพราะมีหลักฐานปรากฏอยู่ในอินเดียตั้งแต่ในหนังสือเก่าแก่ที่มีชื่อว่า “ยุคปุราณะ” (อ่านว่า ยุ-คะ-ปุ-รา-นะ) โดยปรากฏอยู่ในส่วนที่เรียกว่า “ครรคะสังหิตา” ของหนังสือโบราณที่อ้างกันว่า เขียนขึ้นตั้งแต่ช่วงที่ว่า

ถึงแม้ว่า หนังสือยุคปุราณะ จะถูกเรียกว่าเป็นส่วนสุดท้าย ในชุดตำราทางด้านดาราศาสตร์ของอินเดียที่ชื่อ วริทธครรคิยะสังหิตา ก็ตาม แต่เนื้อหาที่เขียนอยู่ภายในก็เป็นเรื่องทำนองกึ่งพงศาวดาร ที่ถูกถ่ายทอดผ่านท่วงทำนองการเขียนแบบทำนายทายทัก ประสมประสานกับเทพปกรณัม มากกว่าที่จะเป็นตำราดาราศาสตร์ ที่เต็มไปด้วยเรื่องราวของการคำนวณและเลขผานาที ที่จะกล่าวถึงการนับจำนวนวันในรอบสัปดาห์อย่างเป็นระบบ

ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ การที่หนังสือที่มีอายุเก่าแก่ราว 2,000 ปีฉบับนี้ เป็นหนังสือร่วมสมัยเพียงฉบับเดียวที่เล่าถึงการรุกรานเข้าสู่แคว้นมคธของพวกกรีก หลังยุคสมัยของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ อย่างมีนัยสำคัญเป็นอย่างยิ่ง

 

มหาราชแห่งมาซิโดเนีย และปวงชนชาวกรีกพระองค์นี้ กรีธาทัพจากประเทศอัฟกานิสถาน โดยรุกข้ามเทือกเขาฮินดูกูษ ผ่านหุบเขากาบูลทางช่องเขาไคเบอร์ จนเสด็จมาถึงบริเวณลุ่มแม่น้ำสินธุ ในเขตประเทศปากีสถานปัจจุบัน เมื่อ พ.ศ.217 ก่อนที่จะทรงรุกลึกเข้าไปยังศูนย์กลางของความเป็นชมพูทวีปในอินเดีย ทางแคว้นปัญจาบ ที่ซึ่งการเมืองในสมัยอาณานิคมได้ทำให้แยกออกจนตกอยู่ในเขตสองประเทศ ได้แก่ ปากีสถาน และอินเดีย

การรุกคืบเข้ามายังชมพูทวีปของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ในครั้งนั้น ก็ได้ทิ้งเอากองทัพและไพร่พลไว้ที่ทั้งในเขตของประเทศอัฟกานิสถาน และปากีสถาน จนกระทั่งกลายเป็นทัพกรีกที่รุกรานเข้ามายังแคว้นมคธ ตามที่มีบันทึกอยู่ในหนังสือยุคปุราณะนั่นเอง

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่สำคัญยิ่งกว่าการรบพุ่งของพระองค์ก็คือ การนำมาซึ่งวัฒนธรรม ความรู้ เทคโนโลยี และอะไรอื่นๆ อีกมากมายที่กองทัพของชาวกรีกได้นำมาทิ้งไว้ให้กับชมพูทวีป

ที่สำคัญคือ ควรจะสังเกตด้วยว่า ถ้าระบบการนับจำนวน 7 วันต่อรอบหนึ่งสัปดาห์จะปรากฏในอินเดียเป็นครั้งแรก ก็จากหนังสือกึ่งพงศาวดารเก่าที่ว่าด้วยสงครามระหว่างชาวกรีกกับอินเดียไม่ใช่หรือครับ?

และในวัฒนธรรมของพวกกรีก ที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ และกองทัพของพระองค์สังกัดอยู่นั้น ก็มีระเบียบการนับชุดจำนวน 7 วัน เท่ากับหนึ่งสัปดาห์อยู่ก่อนแล้วด้วย ดังนั้น จึงเป็นไปได้ว่า ธรรมเนียมการนับวันอย่างนี้เป็นสิ่งที่ชนชาวอินเดียในสมัยนั้น รับเอาวัฒนธรรมของพวกกรีกที่พระเจ้าอเล็กซานเดอร์ทิ้งไว้ให้ปกครองดินแดนต่างๆ ที่พระองค์รบพุ่งเอามาได้ในบริเวณทางตอนเหนือของชนพูทวีป จนมีหลักฐานปรากฏอยู่ในหนังสือยุคปุราณะนั่นเอง

 

ยังมีหลักฐานด้วยว่า ราชวงศ์อาคีเมนิด (Achaemenid) ของเปอร์เซีย ซึ่งก็คืออิหร่าน (ที่ถูกทัพของพระเจ้าอเล็กซานเดอร์บุกเข้าโจมตีจนแตก ก่อนจะนำทัพเข้าสู่อินเดีย) ก็มีวิธีการนับจำนวน 7 วันต่อรอบหนึ่งสัปดาห์อยู่ด้วยเหมือนกัน

และก็เป็นที่แน่นอนด้วยอีกเช่นกันว่า ชนชาวชมพูทวีปเมื่อครั้งกระโน้นก็รู้จักกับพวกเปอร์เซียเป็นอย่างดี (อย่างน้อยก็เป็นบ้านใกล้เรือนเคียงกันมากกว่าพวกกรีก ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไปมาก)

ดังนั้น ระหว่างอินเดียกับเปอร์เซีย จึงมักจะมีการแลกเปลี่ยน และปะทะสังสรรค์อะไรต่อมิอะไรระหว่างกันอยู่เสมอ จึงเป็นไปได้เช่นกันว่า อินเดียจะรับเอาวิธีการนับวันในรอบสัปดาห์อย่างนี้มาจากเปอร์เซีย แต่การณ์กลับกลายเป็นว่า ไม่มีหลักฐานอะไรเลยสักนิดที่จะแสดงให้เห็นว่า ชนชาวชมพูทวีปได้อิมพอร์ตเอาวิธีการนับวันต่อรอบสัปดาห์อย่างนี้ไปจากเปอร์เซียมันเสียอย่างนั้น

อย่างไรก็ตาม หลักฐานของการนับจำนวน 7 วัน เท่ากับหนึ่งสัปดาห์ที่เก่าแก่ที่สุดนั้น มาจากวัฒนธรรมของพวกบาบิโลเนีย ในเมโสโปเตเมีย ซึ่งก็เป็นไปได้มากว่า ราชวงศ์อาคีเมนิด แห่งเปอร์เซีย ก็คงจะได้มรดกตกทอดมาจากวิธีการนับสัปดาห์ของกรุงบาบิโลน ที่แพร่หลายอยู่ในดินแดนเมโสโปเตเมีย คือตอนบนของภูมิภาคตะวันออกกลางนี่เอง

เกี่ยวกับเรื่องนี้ ฟรีดริช เดอลิตซ์ (Friedrich Delitzsch) นักค้นคว้าเกี่ยวกับเรื่องประวัติศาสตร์ และโบราณคดีของเมโสโปเตเมีย (โดยเฉพาะเรื่องของพวกอัสซีเรีย) ชาวเยอรมัน ที่มีชีวิตอยู่ระหว่าง พ.ศ.2393-2465 ดูจะเป็นคนแรกๆ ที่ระบุว่า นักดาราศาสตร์ของบาบิโลนสังเกตดูดวงจันทร์และแบ่งช่วงเวลาปรากฏการณ์เดือนมืดเดือนหงาย ออกเป็น 29 วัน ซึ่งนับเท่ากับ 1 เดือน ก่อนที่จะตัดทอนลงมาเหลือ 28 วันเพื่อให้คำนวณได้ง่ายเข้า เมื่อซอยช่วงเวลาให้ย่อยเข้าไปเป็นเดือนละ 4 สัปดาห์

ส่วนที่สัปดาห์หนึ่งต้องมี 7 วันนั้น เขาสันนิษฐาน (ศัพท์วิชาการของคำว่า เดา) ว่า เป็นเพราะพวกบาบิโลนให้ความสำคัญกับดาวที่พวกเขาสามารถมองเห็นด้วยตาเปล่า คือพระอาทิตย์, พระจันทร์, ดาวอังคาร, ดาวพุธ, ดาวพฤหัสบดี, ดาวศุกร์ และดาวเสาร์

แต่ข้อสันนิษฐานข้างต้นของเดอลิตซ์นั้น จะเป็นจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้นะครับ เพราะไม่มีหลักฐานว่าพวกบาบิโลเนียเรียกชื่อวัน ตามชื่อดาวเหล่านั้นเสียหน่อย เป็นพวกกรีกต่างหากที่มีธรรมเนียมการเรียกชื่อวันทั้ง 7 ด้วยชื่อของเทพเจ้าประจำดวงดาวต่างๆ

 

ชื่อวันของพวกกรีกมีความหมายตามลำดับว่า

วันจันทร์ คือวันของเทพีแห่งดวงจันทร์ที่ชื่อ ซีลีน (Selene)

วันอังคาร ของเทพเจ้าแห่งสงครามและดาวอังคาร ที่เรียก อาเรส (Ares)

วันพุธ ของเทพเจ้าแห่งการสื่อสาร การค้า และดาวพุธ คือ เฮอร์มีส (Hermes)

วันพฤหัสบดี ของเทวราช ซุส (Zeus) ผู้ครองดาวพฤหัสบดี

วันศุกร์ ของอโฟรไดท์ (Aphrodite) ผู้เป็นเทพีแห่งความงาม และความรัก ที่มีดาวศุกร์ครองเรือน

วันเสาร์ ของเทพโครนอส (Cronus) ราชาแห่งคณะเทพไทแทน เทพเจ้าแห่งการเก็บเกี่ยว อายุขัย และดาวเสาร์

และวันอาทิตย์ แห่งเทพเฮลิออส (Helios) เทพเจ้าประจำดวงอาทิตย์

ดังนั้น การที่อินเดียมีธรรมเนียมการนับเวลาเป็นชุด 7 วัน เท่ากับหนึ่งสัปดาห์ โดยที่มีชื่อเรียกประจำแต่ละวันเกี่ยวข้องอยู่กีบดวงดาวจึงใกล้เคียงกับธรรมเนียมของกรีกอยู่มาก โดยเฉพาะเมื่อช่วงเวลาที่ปรากฏหลักฐานว่า อินเดียได้เริ่มใช้ธรรมเนียมการนับวันอย่างนี้ เป็นช่วงเวลาที่อิทธิพลวัฒนธรรมของพวกกรีกนั้นแพร่กระจายอยู่เต็มพื้นที่ทางตอนเหนือของอินเดียอย่างพอดิบพอดี

ภูมิภาคอุษาคเนย์ ซึ่งหมายรวมถึงไทยเรานั้น ก็รับเอาวิธีการนับรอบสัปดาห์หนึ่งว่ามีจำนวนเท่ากับ 7 วันอย่างนี้มาจากอินเดียอีกทอดหนึ่ง และถูกใช้ควบคู่กับวิธีนับวันอย่างเดิม คือ ข้างขึ้น ข้างแรม ที่สังเกตจากปรากฏการณ์ของดวงจันทร์ไปพร้อมกัน จนกระทั่งวิธีการนับอย่างใหม่ที่มาจากอินเดีย ค่อยๆ เป็นที่นิยมมากกว่า โดยเฉพาะในโลกสมัยใหม่ เพราะสอดคล้องกันกับธรรมเนียมสากล ที่มีพื้นฐานมาจากวัฒนธรรมกรีกนั่นแหละครับ •

 

On History | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ