ลุ้นผลงาน ‘ศธ.-อว.’ ปี 2568 ปีแห่งการพัฒนาการศึกษา

ผ่านพ้นเทศกาลปีใหม่ 2568 เข้าสู่วิถีชีวิตปกติ แวดวงการศึกษายังคงความคึกคัก

ย้อนกลับไปดูผลงานการศึกษา ตลอดปี 2567 ที่ผ่านมา ของทั้งกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) ภายใต้การนำของ ‘บิ๊กอุ้ม’ พล.ต.อ.เพิ่มพูน ชิดชอบ รัฐมนตรีว่าการ ศธ. และ ‘ครูเอ’ สุรศักดิ์ พันธ์เจริญวรกุล รัฐมนตรีช่วยว่าการ ศธ.

และกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (อว.) ที่มี ‘รมต.ผึ้ง’ น.ส.ศุภมาส อิศรภักดี เป็นรัฐมนตรีว่าการ อว.

หนึ่งในคีย์เวิร์ดสำคัญที่พูดมาตลอดทั้งปี 2567 คือ ‘เรียนดี มีความสุข’ เชื่อมโยงทั้งนโยบาย ศธ.และ อว.

โดยในส่วนของ ศธ. ‘บิ๊กอุ้ม’ พยายามผลักดัน หลายเรื่องเห็นผลเป็นรูปธรรม ทั้งการลดภาระครู นักเรียน

เริ่มต้นปีโดยการเสนอ ครม.ยกเลิกการอยู่เวรของครู ในเดือนมกราคม 2567 ป้องกัน รักษาความเสียหายจากเหตุภัยอันตรายในชีวิตและร่างกายครู จัดสรรงบประมาณจ้างภารโรงเพิ่ม เพื่อให้ครูทำหน้าที่สอนเป็นหลัก สร้างสุขาดี มีความสุข ให้ครูและนักเรียนได้ใช้ห้องน้ำสะอาด มีมาตรฐาน

การนำเทคโนโลยีเข้ามามีส่วนในระบบการศึกษา ทั้งการเรียนการสอน เชื่อมโยงกับนโยบายเรียนได้ทุกที่ทุกเวลา หรือ Anywhere Anytime ซึ่งแม้จะยังไม่เห็นความชัดเจนเนื่องจากข้อจำกัดทางงบประมาณ ส่งผลให้ต้องปรับการดำเนินการ ทั้งเรื่องการจัดทำคอนเทนต์เพื่อนำไปใส่ไว้ในแพลตฟอร์มการเรียนรู้ ซึ่งเดิมจะจัดทำให้ครอบคลุมตั้งแต่ระดับชั้นประถมศึกษา ถึงระดับชั้นมัธยมศึกษาตอนปลาย

แต่เมื่อถูกตัดงบฯ จึงต้องเริ่มนำร่อง จัดทำคอนเทนต์เฉพาะชั้น ม.ปลาย เช่นเดียวกับการจัดหาอุปกรณ์ซึ่งยังไม่มีความชัดเจนว่าจะเป็นโน้ตบุ๊ก หรือแท็บเล็ต ล่าสุด ศธ.ขอกำหนดคุณสมบัติ หรือสเป๊ก จากกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม (ดีอี) เพื่อฟันธงว่าควรจะเป็นโน้ตบุ๊ก หรือแท็บเล็ต

เรื่องนี้คงต้องจับตาความชัดเจนกันต่อเนื่องในปี 2568…

 

ขณะเดียวกันยังมีการนำ ‘เทคโนโลยี’ มาใช้ในการจัดระเบียบต่างๆ ที่เคยยุ่งเหยิง ไม่มีระบบระเบียบ และเคยเป็นช่องทางเรียกรับผลประโยชน์

ที่เห็นกันชัดๆ คือการปรับหลักเกณฑ์และวิธีการประเมินวิทยฐานะข้าราชการครูและบุคลากรทางการศึกษา หรือเกณฑ์ PA (ว9/2564) นำเทคโนโลยีมาช่วยลดระยะเวลาในการประเมินให้แล้วเสร็จภายใน 3 เดือน

ลดค่าใช้จ่ายในการผลิตเอกสาร ซึ่งมีต้นทุนเฉลี่ยกว่า 20,000 บาทต่อคน

ที่สำคัญเป็นระบบที่มีความโปร่งใส ลดปัญหาทุจริต กดปุ่มย้ายครูคืนถิ่นด้วยระบบ TMS หรือ Teacher Matching System ตามด้วยระบบการย้ายครูภาพรวม TRS หรือ Teacher Rotation System ลดการเรียกรับผลประโยชน์แล้ว

อีกเรื่องสำคัญ คือการแก้ปัญหาเด็กหลุดออกจากระบบ ซึ่งปีนี้ ถูกหยิบยกเป็นปัญหาระดับชาติ หลังนักวิชาการออกมาเปิดเผยตัวเลขเด็กดร็อปเอาต์ ที่พุ่งสูงขึ้นกว่า 1,025,514 คน ในจำนวนนี้เป็นเด็กไทย 767,304 คน และเด็กต่างชาติ 258,210 คน รัฐบาลประกาศนโยบาย Thailand Zero Dropout ตั้งเป้าดร็อปเอาต์เป็นศูนย์

ตามมาด้วยปัญหาโลกแตก อย่างการแก้ปัญหา ‘หนี้สินครู’ ซึ่งงานนี้ต้องขอยกเครดิตให้เสมา 2 อย่างนายสุรศักดิ์ ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการขับเคลื่อนนโยบายแก้ไขปัญหาหนี้ครูและบุคลากรทางการศึกษาของ ศธ. ที่ผลักดันหลายๆ เรื่อง

แม้วันนี้ยอดหนี้ในภาพรวมจะยังไม่ลดลง อยู่ที่ตัวเลขเดิม คือกว่า 1 ล้านล้านบาท แต่ก็เรียกว่าได้เห็นแนวทางและความชัดเจนมากขึ้น

 

ข้ามฟากมาทางด้าน ‘อุดมศึกษา’ ไตรมาสแรกของปี 2567 ‘รมต.ผึ้ง-ศุภมาส’ วางแนวทาง ขับเคลื่อนแผนงาน โดยแบ่งเป็น 3 ด้านคือ ด้านอุดมศึกษา, ด้านวิทยาศาสตร์ วิจัย นวัตกรรม และการแก้ปัญหาประเทศด้วยนวัตกรรม

มีการผลักดันร่างกฎหมายจัดตั้ง ‘กองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา’ รวม 4 ฉบับ

คือ ร่าง พ.ร.บ.การอุดมศึกษา (ฉบับที่…) พ.ศ….

ร่าง พ.ร.บ.การส่งเสริมวิทยาศาสตร์ การวิจัยและนวัตกรรม (ฉบับที่…) พ.ศ….

ร่าง พ.ร.บ.ระเบียบบริหารราชการกระทรวงการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรม (ฉบับที่…) พ.ศ….

และร่าง พ.ร.บ.สภานโยบายการอุดมศึกษา วิทยาศาสตร์ วิจัยและนวัตกรรมแห่งชาติ (ฉบับที่…) พ.ศ….

สาระสำคัญอยู่ที่การจัดตั้ง ‘กองทุนเพื่อพัฒนาการอุดมศึกษา’ ที่จะถูกนำมาใช้เป็นกลไกหลักในการพัฒนาความเป็นเลิศของสถาบันอุดมศึกษา

และผลิตกำลังคนระดับสูงเฉพาะทางตามความต้องการของประเทศ

 

นายสมพงษ์ จิตระดับ นักวิชาการด้านการศึกษา ตัดเกรดผลงาน อว.ปี 2567 ให้คะแนน อยู่ที่ 5.5 เต็ม 10 ถือว่าสอบผ่าน

โดยรอบปีที่ผ่านมาการทำงานของ อว.เต็มไปด้วยความมีสีสัน มีการจัดกิจกรรมมากมาย แต่ไม่ได้ลงลึกถึงปัญหา เพื่อทำให้เกิดคุณภาพชีวิตบุคลากรในมหาวิทยาลัยต่างๆ ดีขึ้น เช่น การขึ้นเงินเดือนที่ถกเถียงกันมานาน ที่ยังไม่มีแนวทางที่ชัดเจน ทำให้หลายคนรู้สึกว่า อว.ไม่ได้ทำตามสัญญาที่ให้ไว้

“ส่วนตัวมองว่า อว.ยังไม่ได้จริงจังมากพอในหลายเรื่อง เช่น การนำงานวิจัยไปใช้พัฒนาประเทศ ที่ตอนนี้การวิจัยเป็นลักษณะเกิดประโยชน์กับตัวผู้วิจัย แต่ไม่ก่อให้เกิดประโยชน์กับประเทศและส่วนรวม ถือเป็นปัญหาที่ใหญ่ ที่ไม่ได้ถูกนำมาพูดคุย ส่งผลให้ทิศทางของมหาวิทยาลัยไม่ตอบโจทย์การพัฒนาของประเทศ รวมไปถึงการจัดสรรงบประมาณ มหาวิทยาลัยรัฐบาลขนาดเล็ก และขนาดใหญ่ ที่มีแตกต่างกัน 20-30 เท่า ทำให้เกิดความ เหลื่อมล้ำ” นายสมพงษ์กล่าว

ส่วนการทำงานของ ศธ. นายสมพงษ์ ให้คะแนนอยู่ที่ 6 เต็ม 10 เนื่องจากเห็นการเปลี่ยนแปลงและมีแนวคิดที่สำคัญหลายเรื่อง คือ ท่าทีการทำงานของผู้บริหาร ศธ.ที่สามารถแก้สถานการณ์ได้ทันท่วงที ช่วยลดความขัดแย้งที่เกิดขึ้นได้อย่างมาก ถือว่าสามารถใช้การเมืองมาสยบปัญหาทางการศึกษาได้ในระดับหนึ่ง ขณะเดียวกันยังมีเรื่องที่ต้องปรับปรุง เช่น การปฏิวัติการศึกษา เรียนดีมีความสุข การลดภาระครูและนักเรียน การแก้ปัญหาเด็กนอกระบบตามนโยบาย Thailand Zero Dropout เป็นต้น

“ปัญหาการศึกษามีหลายเรื่องที่หมักหมมมานานกว่า 20 ปี และถูกกดทับไว้ไม่มีการพูดถึงในช่วงที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) บริหารประเทศ ซึ่งพอหมดช่วงเวลา คสช.จนมาถึงรัฐบาลนายเศรษฐา ทวีสิน และ น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เป็นนายกรัฐมนตรี ก็มีการขับเคลื่อนจนมีความหวังมากขึ้น การศึกษาของไทยน่าจะมีการเปลี่ยนแปลงไปในทิศทางที่ดี และมีแนวโน้มที่จะเป็นไปตามนโยบายที่ได้มอบไว้กับรัฐสภาและตามแนวทางของ ศธ. ดังนั้น สำหรับผม ผลงานที่โดดเด่นที่สุดของ ศธ.ในยุคนี้นั้นมีหลายเรื่องไม่ว่าจะเป็นการยกเลิกครูเวร สุขาดีมีความสุข การลดหนี้สินครู ฉะนั้น ในปี 2568 คาดว่าจะได้เห็นร่าง พ.ร.บ.การศึกษาแห่งชาติได้เข้าสู่รัฐสภา ได้เห็นหลักสูตรใหม่ และได้เห็นเรื่องของการนำเด็กที่หลุดออกจากระบบกลับมาเรียนมากขึ้น” นายสมพงษ์กล่าว

จากนี้ คงต้องรอดูว่าปี 2568 “ศธ.-อว.” จะสร้างความเปลี่ยนแปลง ให้เป็นปีแห่งการพัฒนาคุณภาพการศึกษาได้หรือไม่… •

 

| การศึกษา