ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ผี-พราหมณ์-พุทธ |
ผู้เขียน | คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง |
เผยแพร่ |
เป็นธรรมเนียมที่ผมตั้งขึ้นมาเองว่า ในช่วงสิ้นปี บทความของผมจะเขียนอะไรเบาๆ มีข้อคิดเล็กน้อยมาเล่าให้ฟัง และเป็นช่วงเวลาที่ผมจะได้ขอบคุณและสมาลาโทษท่านผู้อ่านด้วย
ในปีที่ผ่านมาผมมีข้อเขียนที่ดูจะเดือดๆ หลายเรื่อง บางเรื่องแม้ว่าโดยภาพรวมอาจไม่ได้เดือด แต่พอถูกโควตไปบางส่วน คนที่อ่านเพียงแค่นั้นก็เดือดขึ้นมาทันที ก็อยากจะขอให้ใครที่เอาไปโควตช่วยเพลาๆ ลงสักนิดเพราะเริ่มไปเถียงกับเขาไม่ไหวแล้ว (ฮา)
กระนั้น ผมยังเห็นตนเองเป็นผู้หวังดีต่อศาสนาและต่อสังคม หากท่านใดมาอ่านแล้วขุ่นเคืองขอให้ท่านเล็งเห็นเจตนานี้ พิจารณาโดยแยบคาย ให้ถือเป็นเสียงจากภายนอก “ปรโตโฆษะ” ที่มาคอยเตือนคอยบอก แต่ถ้าท่านไม่อยากฟังก็ขอให้ปล่อยผ่านไป ความดันโลหิตจะได้ไม่สูงขึ้น เป็นผลดีต่อสุขภาพของท่านเอง
ที่สำคัญ อยากขอบพระคุณมติชนสุดสัปดาห์ที่ได้ให้พื้นที่มาโดยตลอด และอยากขอบพระคุณท่านผู้อ่านทุกท่าน
ซึ่งกอปรไปด้วยขันติธรรมและเมตตาธรรมแก่ตัวผม
ปีที่ผ่านมาเป็นปีที่เรื่อง “มู” ถือเป็นประเด็นใหญ่มากๆ มีนักคิดนักเขียนก็ออกมาวิเคราะห์ในเรื่องนี้เยอะ ไม่เพียงแต่มูจะเฟื่องฟู แต่ในทางตรงกันข้าม ที่ต้องการปฏิเสธมูก็มีมากขึ้นด้วย
มีชาวพุทธที่พยายามจะยืนยันความเป็น “พุทธแท้” หรือคณาจารย์ในสายนี้ ไม่ว่าพระหรือโยม (ดูเหมือนโยมจะมาแรงกว่า) ต่างก็เทศนาให้ทิ้งไสยศาสตร์หรือมูเสีย เพราะเห็นว่ามิใช่สาระอันควรยึดถือของชาวพุทธ อีกทั้งกระแสของมูในฐานะที่เป็นเครื่องมือต่อสู้ในทางการเมืองก็เงียบหายไปแล้ว ประกอบกับเศรษฐกิจที่ดูเหมือนจะยังไม่ค่อยดีเท่าไหร่ คนก็อาจประหยัดเงินในเรื่องนี้มากขึ้น?
ผมจึงรู้สึกเอาเองว่า ความนิยมมูอาจลดลงนิดหน่อย (ซึ่งเป็นข้อสังเกตที่ไม่มีอะไรยืนยัน) หรืออาจลดลงจากพื้นที่ออนไลน์ ทั้งนี้ พอกระแสความเป็นพุทธมาแรงโดยเฉพาะในช่วงไตรมาสท้ายของปี
กระนั้น มูยังคงไม่หายไปไหนดอก เดี๋ยวก็มีอะไรผุดขึ้นมาใหม่ๆ อีก สำหรับผมแล้ว ใครใคร่มูก็มูไปเถิด ดูแลตัวเองกันไป
ส่วนผมขอนำข้อคิดเล็กๆ จากวัตรปฏิบัติของครูบาอาจารย์มาเสนอ เผื่อเป็นข้อคิดแด่ชาวมูทั้งหลาย ว่าเมื่อจะใช้มู เราควรเอามูไว้ตรงไหน อย่างไร
เคยมีมิตรสหายท่านหนึ่งเปิดบ้านเก่าของตนให้คนเช่า ผู้เช่าเขาจะไปเจออะไรไม่ทราบได้ จึงมาโวยวายว่าบ้านนั้นมีผีสิง บ่นเสียจนกระทั่งขอเลิกเช่าไป
มิตรสหายของผมท่านก็ไม่ค่อยจะปักใจเชื่อสักเท่าไหร่ว่าบ้านขอตนมีผีสางนางไม้มาสิงสู่ เพราะเท่าที่อยู่มาก็สงบร่มเย็นดี
แต่จะด้วยเพื่อความสบายของตนเองและผู้ที่จะมาเช่าต่อไปจึงได้มาปรึกษาผม
ผมเห็นว่า มิตรสหายท่านนี้อยู่ภูเก็ตพอดีและงานนี้น่าจะเกินกำลังของผมจึงได้ไปปรึกษาอาจารย์ณัฐนนท์ ปานคง หรือเต็กซือหูของผม เลยได้โอกาสในการศึกษาหาความรู้เรื่องนี้ด้วย
ประจวบกับมีอีกเคสที่เจ้าตัวฝันร้ายและมักวูบหรือมือเท้าเย็นในบางเวลา ก็คิดว่าตนเองน่าจะโดนลมเพลมพัดคือสิ่งที่มองไม่เห็นกระทำเข้าก็มาปรึกษาเช่นกัน
อาจารย์ท่านว่า เวลามีคนมาขอความช่วยเหลือในด้านความเชื่อ เช่นว่าผีหลอก หรือมีคนกระทำย่ำยีกฤตยาคุณต่างๆ อย่าเพิ่งปลงใจว่าจะเกิดจากเหตุเหนือธรรมชาติหรือเทพผีกระทำเท่านั้น ผู้ใช้ไสยเวทให้พึงตรวจสอบด้วยเกณฑ์หลายๆ อย่างเสียก่อน
เป็นต้นว่า ต้องซักถามให้ดีว่าเหตุนั้นเกิดเวลาไหน ที่ไหน มีลักษณะรายละเอียดอย่างไร เจ้าตัวเองมีความรู้สึกหรือมีความเปลี่ยนแปลงในร่างกายอย่างไรบ้าง ฯลฯ
ที่ต้องซักประวัตินั้น เพราะไสยศาสตร์เองก็ใช้ศาสตร์อื่นเข้ามาประกอบวินิจฉัย เช่น โหราศาสตร์ การแพทย์ ชัยภูมิศาสตร์ อี้จิง ฯลฯ หรือต้องตรวจสอบกับเกณฑ์ในวิชาของตนเสียก่อน
เช่น ที่ต้องซักเวลา ก็เพราะการมีเหตุนั้น หากเกิดนอกเวลาที่กำหนดไว้ เช่น ฝันแต่มิใช่ฝันในเวลาที่จะเป็นเทพสังหรณ์ ก็ต้องวินิจฉัยไปในทางอื่นเสีย
หรือเจ้าตัวคิดว่าตนโดนลมเพลมพัด แต่เวลาที่เกิดขึ้นยังไม่ใช่เวลาที่เป็นไปตามเกณฑ์ ก็ต้องพิจารณาเหตุอื่นๆ ประกอบ ทั้งนี้เพราะเรื่องเวลาสัมพันธ์กับเรื่องพลังงานในวันนั้นตามระบบหยินหยางของจีน
นอกจากนี้ ก็ไม่พึงลืมสาเหตุที่เป็นไปได้อื่นๆ ประกอบด้วย เช่น ดวงชะตาของเจ้าชะตาเพื่อดูว่าสาเหตุ (ตามความเชื่อ) เกิดจากอะไรกันแน่ หรือแม้แต่เกณฑ์ทางการแพทย์หรือจิตวิทยาเบื้องต้นก็ควรถูกนำมาใช้
เมื่อได้พิจารณาแล้ว หากเห็นว่ามิได้เกิดจากเหตุเหนือธรรมชาติ ก็ต้องยืนยันให้เขาแก้ไขด้วยวิธีการอื่น อย่าไปดึงดันจะเอาแต่ประกอบพิธีลูกเดียว หรือหากยังไม่แน่ใจ ในขั้นตอนสุดท้ายก็มักเป็นการเสี่ยงทายเพื่อขอให้เทวาจารย์ชี้แนะลงมาเป็นที่ยุติ
อันนี้ผมเล่าจากมุมไสยศาสตร์จีนนะครับ ซึ่งก็มีความจี๊นจีนอยู่ (คือมีระบบระเบียบ ขั้นตอน) แต่คิดว่า ไสยศาสตร์พื้นเมืองของเราก็คล้ายๆ กัน
จากนั้นจึงเป็นขั้นตอนของการแก้ไข ซึ่งผู้ใช้ไสยเวทก็ต้องมีอุบายแยบคายในการช่วยเหลือคน เช่น เราพิจารณาเห็นแล้วว่า เรื่องที่มีผู้มาร้องขอมิได้เกิดจากเหตุเหนือธรรมชาติ แต่เจ้าตัวยังดึงดันเชื่อ เราก็อาจหาวิธีบอกที่เหมาะสมหรือประกอบพิธีกรรมพอให้เกิดความสบายใจแล้วแนะนำให้เขาไปแก้ไขให้ถูกจุด
มูจึงเป็นศาสตร์และศิลป์ ในแง่ศาสตร์คือมีตัวระบบ กฎเณฑ์ หรือหลักวิชาของเขาอยู่ซึ่งผู้สนใจด้านนี้ควรเอาใจใส่ให้มาก อย่ามักง่าย แต่ในขณะเดียวกันก็เป็นศิลป์ คือจะแก้ไขพลิกแพลงหรือสื่อสารอย่างไรขึ้นอยู่กับประสบการณ์และความช่ำชอง รวมทั้งบางทีก็ต้องใช้ “เซนส์” อยู่บ้าง
ไม่อยากโทษว่า “ทุนนิยม” และ “ความเป็นสมัยใหม่” ทำให้มูกลายเป็นของหยาบคาย ขาดความประณีต ด่วนได้ เพราะในโลกทุนนิยม อะไรที่ “เร็ว” “แรง” “ง่าย” ก็จะถูกนิยามว่าเป็นของดี แต่ก็คงโทษนั่นแหละครับ
ที่จริง อีกตัวอย่างที่น่าสนใจคือ ตัวอย่างของฝรั่งเขา พระศาสนจักรคาทอลิกของคริสต์ศาสนานั้น แม้จะเป็นศาสนาที่เชื่อในพระเจ้า เชื่อในปาฏิหาริย์ต่างๆ แต่เวลาที่เกิดเหตุอัศจรรย์ที่คนร่ำลือกัน เขาก็ไม่รีบประกาศ หรือรีบเชื้อชวนให้คนแห่ไปทำบุญกัน
พระศาสนจักรจะตั้งกรรมการซึ่งประกอบด้วยหลายฝ่าย ทั้งพระและฝ่ายทางโลกอย่างแพทย์หรือนักวิทยาศาสตร์ ไปตรวจสอบกรณีนั้นๆ ซึ่งเขาจะหาทางพิสูจน์ทางวิทยาศาสตร์จนถึงที่สุด หากไม่มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร รองรับได้จึงจะประกาศรับรองให้เป็นเหตุอัศจรรย์อย่างเป็นทางการ
โดยหลักการเป็นเช่นนี้นะครับ ในทางปฏิบัติจะเป็นเช่นไรผมมิได้ติดตามจริงจัง เข้าใจว่ามีหลายกรณีที่พระศาสนจักรไม่รับรอง แต่ก็มีหลายกรณีเช่นกันที่รับรอง ทั้งนี้ อย่างน้อยๆ ก็แสดงให้เห็นว่า เขาไม่ได้จู่ๆ จะประกาศอะไรในทางความเชื่ออย่างสุ่มสี่สุ่มห้า หรือเห็นแก่ได้
ดังนั้น โดยสรุปแล้ว เราจะยังคงมูกันต่อไปก็ไม่แปลก ผมแค่เล่าเรื่องข้างต้นมาเพื่อเป็นแนวคิดหรือคติเล็กๆ สำหรับโอกาสปีใหม่
เราจะได้มูกันอย่างมีคุณภาพยิ่งๆ ขึ้นไป
ท้ายนี้ขอใช้พื้นที่บทความอวยพรปีใหม่แด่ทุกท่าน
ขอให้มีพลังทั้งทางกายและสติปัญญาเพื่อฝ่าฝันสิ่งต่างๆ ที่กำลังจะเกิดขึ้นให้ผ่านพ้นไปโดยง่าย
ขอให้บ้านเมืองสงบร่มเย็น ข้าวปลาอาหารทรัพย์สมบัติทั้งรูปธรรมนามธรรมสมบูรณ์
ผู้คนมีเมตตาต่อกันยิ่งขึ้นไปเทอญ •
ผี พราหมณ์ พุทธ | คมกฤช อุ่ยเต็กเค่ง
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022