สุวรรณภูมิ-ทวารวดี [10] สยามดั้งเดิมอยู่ลุ่มน้ำมูล

ชาวสยามดั้งเดิมเริ่มแรกอยู่บนเส้นทางการค้าโลก แล้วสืบเนื่องถึงการค้าจีน พบหลักฐานตรงไปตรงมาที่จารึก “เสียมกุก” ปราสาทนครวัด ในกัมพูชา

“เสียมกุก” (ภาษาเขมร) คือ “สยามกก” (ภาษาไทย) ชื่อขบวนแห่เกียรติยศของชาวสยามดั้งเดิม (ซึ่งเป็นเครือญาติใกล้ชิดของกษัตริย์กัมพูชา) อยู่นำหน้าขบวนแห่ในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของเมืองพระนคร (มากกว่า 900 ปีมาแล้ว) เรือน พ.ศ.1650

[คำว่า กก แปลว่า ต้นตระกูล, รากเหง้า, ดั้งเดิม, เริ่มแรก (เช่น ลูกผู้เกิดทีแรกเรียก “ลูกกก”)]

สยามกก คือชาวสยามดั้งเดิมเริ่มแรกที่รวมตัวเป็นรัฐ มีศูนย์กลางอำนาจอยู่เมืองเสมา (ศรีจนาศะ) อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา บริเวณลำตะคอง ลุ่มน้ำมูล และมีเครือญาติถึงลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำโขง

ชาวสยามลุ่มน้ำโขง-ชี-มูล มีเครือญาติและเครือข่ายแผ่ไปลุ่มน้ำป่าสัก-ลพบุรี ถึงลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง จากนั้นร่วมกันสถาปนาเมืองอโยธยา ลุ่มน้ำเจ้าพระยา แล้วเริ่มเรียกตนเองว่าไทย เป็นบรรพชนคนไทยปัจจุบัน

ชาวสยาม หมายถึงคนหลายชาติพันธุ์ซึ่งพูดหลายภาษาต่างๆ กัน โดยใช้ภาษาไท-ไต เป็นภาษากลางทางการค้าดินแดนบนพื้นที่ต่างกัน 2 สมัย ดังนี้ สมัยแรก ดินแดนภายใน-โขง-ชี-มูล-สาละวิน สมัยหลัง บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลงไปคาบสมุทรตอนบน (เพชรบุรี-นครศรีธรรมราช)

 

เสียมกุก มาจากไหน?

มีข้อสันนิษฐานต่างๆ ดังนี้

(1.) ยอร์ช เซเดส์ (เขียนบอกไว้เมื่อ 70 ปีที่แล้ว ราว พ.ศ.2497) ว่าเสียมกุกเป็นคนไทย จากรัฐสุโขทัย [บทความเรื่อง “ศิลปะไทยสมัยสุโขทัย” (แปลโดย ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล) ในหนังสือ ตำนานอักษรไทยฯ คุรุสภา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2526]

แต่สมัยภาพสลักเสียมกุก พ.ศ.1650 ยังไม่มีรัฐสุโขทัยและยังไม่มีคนไทย

(2.) จิตร ภูมิศักดิ์ (เขียนบอกไว้ราว 60 ปีมาแล้ว หรือก่อน พ.ศ.2509) ว่าเสียมกุกเป็นสยามจากลุ่มน้ำกก จ.เชียงราย (หนังสือ ความเป็นมาของคำสยามฯ โครงการตำราฯ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2519)

แต่บริเวณลุ่มน้ำกกสมัยภาพสลักเสียมกุก พ.ศ.1650 อยู่ห่างไกลมากจากเมืองพระนคร (นครธม) และไม่พบชุมชนเมืองขนาดใหญ่ แต่จะพบเมื่อสมัยหลังจากนั้นอีกนาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสมัยหลังเสียมกุกที่ปราสาทนครวัดไปแล้ว

(3.) โกรส์ลิเยร์ [Bernard-Philippe Groslier พ.ศ.2524 (1981)] ระบุตายตัวว่าเสียมกุกเป็นชาวส่วย (หรือกุย, กวย) อยู่ลุ่มน้ำมูล (อีสานใต้) ในหนังสือ นี่ เสียมกุก (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ บรรณาธิการแปล) มูลนิธิโครงการตำราฯ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2545)

(4.) ศรีศักร วัลลิโภดม บอกว่าเสียมกุกเป็นชาวสยาม มีศูนย์กลางอยู่เวียงจัน (ลาว) ในหนังสือ ไทยน้อย ไทยใหญ่ ไทยสยาม (สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2534)

ชาวสยามดั้งเดิมเริ่มแรกทั้งเจ้านายและไพร่พลนุ่งผ้าผืนเดียวเหมือนโสร่ง (ไม่นุ่งถลกแบบเขมร) อยู่นอกวัฒนธรรมกัมพูชา (นอกกัมพุเทศ) [ลายเส้นถอดแบบจากภาพถ่ายลายสลัก “เสียมกุก” บนระเบียงปราสาทนครวัด (กัมพูชา) โดย คงศักดิ์ กุลกลางดอน อาจารย์คณะจิตรกรรม ประติมากรรมและภาพพิมพ์ มหาวิทยาลัยศิลปากร (ก่อน พ.ศ.2557)]

“เสียมกุก” อยู่ลุ่มน้ำมูล

สยามลุ่มน้ำมูล (เสียมกุก) เป็นเครือญาติกษัตริย์กัมพูชาสมัยเมืองพระนคร (โตนเลสาบ) พบหลักฐานจากจารึก 28 รายการที่กำกับภาพขบวนเกียรติยศบนระเบียงคดชั้นนอก ด้านทิศใต้ (ปีกตะวันตก) ปราสาทนครวัด ซึ่งเรียงลำดับจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก

[คำอ่านจารึกเป็นของ จอร์ช เซแดส (G. Coed?s, “Les bas-reliefs d’Angkor Vat” Bulletin de la Commission Arch?ologique de l’Indochine, 1911 : 201-203) ถอดข้อความเรียบเรียงใหม่ โดย รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง]

ถ้ายกเว้นรายการที่ 1, 2 ระบุเกี่ยวกับเสียมกุก นอกนั้น 26 รายการเป็นนามเครือญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดพระเจ้าสูรยวรรมันที่ 2 ดังนั้น เสียมกุกย่อมถูกนับเป็นเครือญาติด้วย

(1.) เสียมกุกเป็นขบวนแรกสุด

(2.) เสียมกุกเป็นญาติต่างวัฒนธรรม เพราะแต่งกายนุ่งโสร่งกรอมเท้า และจัดระเบียบขบวนแห่ต่างจากขบวนถัดไปทั้งหมดที่แต่งตัวนุ่งขัดเขมรแบบกัมพูชาอย่างเคร่งครัด

(3.) เสียมกุกแสดงลักษณะเอกเทศซึ่งต่างวัฒนธรรมกัมพูชา น่าจะเป็นคำอธิบายข้อความในจารึกบ่ออีกา (เมืองเสมา) ระบุ “กัมพุเทศานตเร” แปลว่า นอกกัมพุเทศ หมายถึง นอกวัฒนธรรมกัมพูชา

เมืองเสมา (ศรีจนาศะ) อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา เป็นศูนย์กลางของ “เสียมกุก” หรือ “สยามกก” มีเครือข่ายถึงสองฝั่งโขงบริเวณศูนย์กลางอยู่เวียงจัน ประกอบด้วยลูกผสมของคนหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” ที่ถูกเรียกสยาม เช่น ลาว, มอญ, เขมร, มลายู (จาม) ฯลฯ พบหลักฐานสมัยหลังหลายอย่างสนับสนุน ดังต่อไปนี้

ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ในบันทึกจีน-โจวต้ากวาน (พ.ศ.1839) เกี่ยวกับเจินละ (เมืองพระนครหลวง หรือนครธม) ระบุว่าเสียน (คือชาวสยาม) ชำนาญปลูกหม่อน เลี้ยงไหม แต่ชาวเจินละไม่ชำนาญ ดังนี้

“เมื่อเร็วๆ นี้ ชาวเสียนได้มาอาศัยอยู่ในประเทศนั้น ได้ทำการเลี้ยงตัวไหมและปลูกต้นหม่อนเป็นอาชีพ พันธุ์ตัวไหมและพันธุ์ต้นหม่อนจึงมาจากประเทศเสียนทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีป่านรามี แต่มีปอกระเจา ชาวเสียนใช้ไหมทอผ้าแพรบางๆ สีดำใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ผู้หญิงชาวเสียนนั้นเย็บชุนเป็น ชาวพื้นเมืองทำผ้าขาดก็ต้องไปจ้างชาวเสียนให้ช่วยปะชุนให้”

[จากหนังสือ บันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจินละ แปลโดย เฉลิม ยงบุญเกิด สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งที่สาม พ.ศ.2557 หน้า 38]

ลุ่มน้ำมูลมีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหมสืบเนื่องหลายพันปีมาแล้ว พบหลักฐานสมัยหลัง ดังนี้

(1.) เมืองตะลุง (อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์) ส่งส่วยไหมถวายกษัตริย์กัมพูชา (จากหนังสือ สร้างบ้านแปงเมือง ของ ศรีศักร วัลลิโภดม สำนักพิมพ์มติชน พ.ศ.2560 หน้า 330-331)

(2.) เมืองปักธงชัย (อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา) แหล่งปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหมสืบเนื่องตั้งแต่ดั้งเดิมจนปัจจุบัน

พบหลักฐานสำคัญในแผ่นดิน ร.5 กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม (พระองค์เพ็ญ) เจ้ากรมหม่อนไหม เสด็จตรวจราชการหม่อนไหมบริเวณเมืองนครราชสีมาและเมืองบุรีรัมย์ มีคำบอกเล่าว่าเสด็จประทับเกวียนเป็นพาหนะ และทรงคิดทำนองเพลงลาวดวงเดือน (ชื่อเดิมว่าลาวดำเนินเกวียน) เป็นที่แพร่หลายสืบมาจนปัจจุบัน [มีข้อมูลหลักฐานหลายอย่างในหนังสือ ลาวดวงเดือน วังท่าเตียนฯ (สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการ) สำนักพิมพ์มติชน พ.ศ.2548] เอกสารทางราชการระบุชัดเจนว่าเมืองนครราชสีมา โดยเฉพาะปักธงชัยเป็นแหล่งทอผ้าทั้งผ้าไหมและผ้าฝ้าย (ในหนังสือ วัฒนธรรมฯ จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ.2542 หน้า 169)

รบพุ่งหมู่บ้านเจินละ บันทึกจีน-โจวต้ากวาน ระบุต่อไปว่าเจินละถูกเสียนรบพุ่งคุกคามจุดไฟเผาหมู่บ้านของเจินละ ดังนี้

“เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ทำการรบพุ่งชาวเสียน หมู่บ้านเหล่านี้จึงกลายเป็นที่โล่งไปสิ้น” (หน้า 40)

“ในการรบกับชาวเสียน เขาเกณฑ์ราษฎรทั้งหมดเข้าทำการรบ” (หน้า 43)

เป็นหลักฐานหนักแน่นว่าพวกสยาม (เสียน) มีหลักแหล่งอยู่ลุ่มน้ำมูล และมีดินแดนต่อเนื่องกับเจินละ คือเมืองพระนครหลวงหรือนครธม

บันทึกจีน-โจวต้ากวาน สนับสนุนให้เชื่อได้ว่า “เสียมกุก” เป็นชาวสยามลุ่มน้ำมูล ชำนาญปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และอยู่ต่อเนื่องพรมแดนเจินละ คือ เมืองพระนครหลวง (นครธม) และสืบย้อนหลังได้ถึงสมัยเมืองพระนคร (นครวัด) •

 

| สุจิตต์ วงษ์เทศ