ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | สุจิตต์ วงษ์เทศ |
เผยแพร่ |
ชาวสยามดั้งเดิมเริ่มแรกอยู่บนเส้นทางการค้าโลก แล้วสืบเนื่องถึงการค้าจีน พบหลักฐานตรงไปตรงมาที่จารึก “เสียมกุก” ปราสาทนครวัด ในกัมพูชา
“เสียมกุก” (ภาษาเขมร) คือ “สยามกก” (ภาษาไทย) ชื่อขบวนแห่เกียรติยศของชาวสยามดั้งเดิม (ซึ่งเป็นเครือญาติใกล้ชิดของกษัตริย์กัมพูชา) อยู่นำหน้าขบวนแห่ในพิธีกรรมศักดิ์สิทธิ์ของเมืองพระนคร (มากกว่า 900 ปีมาแล้ว) เรือน พ.ศ.1650
[คำว่า กก แปลว่า ต้นตระกูล, รากเหง้า, ดั้งเดิม, เริ่มแรก (เช่น ลูกผู้เกิดทีแรกเรียก “ลูกกก”)]
สยามกก คือชาวสยามดั้งเดิมเริ่มแรกที่รวมตัวเป็นรัฐ มีศูนย์กลางอำนาจอยู่เมืองเสมา (ศรีจนาศะ) อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา บริเวณลำตะคอง ลุ่มน้ำมูล และมีเครือญาติถึงลุ่มน้ำชีและลุ่มน้ำโขง
ชาวสยามลุ่มน้ำโขง-ชี-มูล มีเครือญาติและเครือข่ายแผ่ไปลุ่มน้ำป่าสัก-ลพบุรี ถึงลุ่มน้ำท่าจีน-แม่กลอง จากนั้นร่วมกันสถาปนาเมืองอโยธยา ลุ่มน้ำเจ้าพระยา แล้วเริ่มเรียกตนเองว่าไทย เป็นบรรพชนคนไทยปัจจุบัน
ชาวสยาม หมายถึงคนหลายชาติพันธุ์ซึ่งพูดหลายภาษาต่างๆ กัน โดยใช้ภาษาไท-ไต เป็นภาษากลางทางการค้าดินแดนบนพื้นที่ต่างกัน 2 สมัย ดังนี้ สมัยแรก ดินแดนภายใน-โขง-ชี-มูล-สาละวิน สมัยหลัง บริเวณลุ่มน้ำเจ้าพระยา ลงไปคาบสมุทรตอนบน (เพชรบุรี-นครศรีธรรมราช)
เสียมกุก มาจากไหน?
มีข้อสันนิษฐานต่างๆ ดังนี้
(1.) ยอร์ช เซเดส์ (เขียนบอกไว้เมื่อ 70 ปีที่แล้ว ราว พ.ศ.2497) ว่าเสียมกุกเป็นคนไทย จากรัฐสุโขทัย [บทความเรื่อง “ศิลปะไทยสมัยสุโขทัย” (แปลโดย ม.จ.สุภัทรดิศ ดิศกุล) ในหนังสือ ตำนานอักษรไทยฯ คุรุสภา พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2526]
แต่สมัยภาพสลักเสียมกุก พ.ศ.1650 ยังไม่มีรัฐสุโขทัยและยังไม่มีคนไทย
(2.) จิตร ภูมิศักดิ์ (เขียนบอกไว้ราว 60 ปีมาแล้ว หรือก่อน พ.ศ.2509) ว่าเสียมกุกเป็นสยามจากลุ่มน้ำกก จ.เชียงราย (หนังสือ ความเป็นมาของคำสยามฯ โครงการตำราฯ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2519)
แต่บริเวณลุ่มน้ำกกสมัยภาพสลักเสียมกุก พ.ศ.1650 อยู่ห่างไกลมากจากเมืองพระนคร (นครธม) และไม่พบชุมชนเมืองขนาดใหญ่ แต่จะพบเมื่อสมัยหลังจากนั้นอีกนาน ซึ่งเป็นช่วงเวลาสมัยหลังเสียมกุกที่ปราสาทนครวัดไปแล้ว
(3.) โกรส์ลิเยร์ [Bernard-Philippe Groslier พ.ศ.2524 (1981)] ระบุตายตัวว่าเสียมกุกเป็นชาวส่วย (หรือกุย, กวย) อยู่ลุ่มน้ำมูล (อีสานใต้) ในหนังสือ นี่ เสียมกุก (ชาญวิทย์ เกษตรศิริ บรรณาธิการแปล) มูลนิธิโครงการตำราฯ พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2545)
(4.) ศรีศักร วัลลิโภดม บอกว่าเสียมกุกเป็นชาวสยาม มีศูนย์กลางอยู่เวียงจัน (ลาว) ในหนังสือ ไทยน้อย ไทยใหญ่ ไทยสยาม (สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งแรก พ.ศ.2534)

“เสียมกุก” อยู่ลุ่มน้ำมูล
สยามลุ่มน้ำมูล (เสียมกุก) เป็นเครือญาติกษัตริย์กัมพูชาสมัยเมืองพระนคร (โตนเลสาบ) พบหลักฐานจากจารึก 28 รายการที่กำกับภาพขบวนเกียรติยศบนระเบียงคดชั้นนอก ด้านทิศใต้ (ปีกตะวันตก) ปราสาทนครวัด ซึ่งเรียงลำดับจากทิศตะวันออกไปทางทิศตะวันตก
[คำอ่านจารึกเป็นของ จอร์ช เซแดส (G. Coed?s, “Les bas-reliefs d’Angkor Vat” Bulletin de la Commission Arch?ologique de l’Indochine, 1911 : 201-203) ถอดข้อความเรียบเรียงใหม่ โดย รุ่งโรจน์ ภิรมย์อนุกูล คณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยรามคำแหง]
ถ้ายกเว้นรายการที่ 1, 2 ระบุเกี่ยวกับเสียมกุก นอกนั้น 26 รายการเป็นนามเครือญาติผู้ใหญ่ใกล้ชิดพระเจ้าสูรยวรรมันที่ 2 ดังนั้น เสียมกุกย่อมถูกนับเป็นเครือญาติด้วย
(1.) เสียมกุกเป็นขบวนแรกสุด
(2.) เสียมกุกเป็นญาติต่างวัฒนธรรม เพราะแต่งกายนุ่งโสร่งกรอมเท้า และจัดระเบียบขบวนแห่ต่างจากขบวนถัดไปทั้งหมดที่แต่งตัวนุ่งขัดเขมรแบบกัมพูชาอย่างเคร่งครัด
(3.) เสียมกุกแสดงลักษณะเอกเทศซึ่งต่างวัฒนธรรมกัมพูชา น่าจะเป็นคำอธิบายข้อความในจารึกบ่ออีกา (เมืองเสมา) ระบุ “กัมพุเทศานตเร” แปลว่า นอกกัมพุเทศ หมายถึง นอกวัฒนธรรมกัมพูชา
เมืองเสมา (ศรีจนาศะ) อ.สูงเนิน จ.นครราชสีมา เป็นศูนย์กลางของ “เสียมกุก” หรือ “สยามกก” มีเครือข่ายถึงสองฝั่งโขงบริเวณศูนย์กลางอยู่เวียงจัน ประกอบด้วยลูกผสมของคนหลายชาติพันธุ์ “ร้อยพ่อพันแม่” ที่ถูกเรียกสยาม เช่น ลาว, มอญ, เขมร, มลายู (จาม) ฯลฯ พบหลักฐานสมัยหลังหลายอย่างสนับสนุน ดังต่อไปนี้
ปลูกหม่อน เลี้ยงไหม ในบันทึกจีน-โจวต้ากวาน (พ.ศ.1839) เกี่ยวกับเจินละ (เมืองพระนครหลวง หรือนครธม) ระบุว่าเสียน (คือชาวสยาม) ชำนาญปลูกหม่อน เลี้ยงไหม แต่ชาวเจินละไม่ชำนาญ ดังนี้
“เมื่อเร็วๆ นี้ ชาวเสียนได้มาอาศัยอยู่ในประเทศนั้น ได้ทำการเลี้ยงตัวไหมและปลูกต้นหม่อนเป็นอาชีพ พันธุ์ตัวไหมและพันธุ์ต้นหม่อนจึงมาจากประเทศเสียนทั้งสิ้น พวกเขาไม่มีป่านรามี แต่มีปอกระเจา ชาวเสียนใช้ไหมทอผ้าแพรบางๆ สีดำใช้เป็นเครื่องนุ่งห่ม ผู้หญิงชาวเสียนนั้นเย็บชุนเป็น ชาวพื้นเมืองทำผ้าขาดก็ต้องไปจ้างชาวเสียนให้ช่วยปะชุนให้”
[จากหนังสือ บันทึกว่าด้วยขนบธรรมเนียมและประเพณีของเจินละ แปลโดย เฉลิม ยงบุญเกิด สำนักพิมพ์มติชน พิมพ์ครั้งที่สาม พ.ศ.2557 หน้า 38]
ลุ่มน้ำมูลมีการปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหมสืบเนื่องหลายพันปีมาแล้ว พบหลักฐานสมัยหลัง ดังนี้
(1.) เมืองตะลุง (อ.ประโคนชัย จ.บุรีรัมย์) ส่งส่วยไหมถวายกษัตริย์กัมพูชา (จากหนังสือ สร้างบ้านแปงเมือง ของ ศรีศักร วัลลิโภดม สำนักพิมพ์มติชน พ.ศ.2560 หน้า 330-331)
(2.) เมืองปักธงชัย (อ.ปักธงชัย จ.นครราชสีมา) แหล่งปลูกหม่อนเลี้ยงไหมและทอผ้าไหมสืบเนื่องตั้งแต่ดั้งเดิมจนปัจจุบัน
พบหลักฐานสำคัญในแผ่นดิน ร.5 กรมหมื่นพิไชยมหินทโรดม (พระองค์เพ็ญ) เจ้ากรมหม่อนไหม เสด็จตรวจราชการหม่อนไหมบริเวณเมืองนครราชสีมาและเมืองบุรีรัมย์ มีคำบอกเล่าว่าเสด็จประทับเกวียนเป็นพาหนะ และทรงคิดทำนองเพลงลาวดวงเดือน (ชื่อเดิมว่าลาวดำเนินเกวียน) เป็นที่แพร่หลายสืบมาจนปัจจุบัน [มีข้อมูลหลักฐานหลายอย่างในหนังสือ ลาวดวงเดือน วังท่าเตียนฯ (สุจิตต์ วงษ์เทศ บรรณาธิการ) สำนักพิมพ์มติชน พ.ศ.2548] เอกสารทางราชการระบุชัดเจนว่าเมืองนครราชสีมา โดยเฉพาะปักธงชัยเป็นแหล่งทอผ้าทั้งผ้าไหมและผ้าฝ้าย (ในหนังสือ วัฒนธรรมฯ จังหวัดนครราชสีมา พ.ศ.2542 หน้า 169)
รบพุ่งหมู่บ้านเจินละ บันทึกจีน-โจวต้ากวาน ระบุต่อไปว่าเจินละถูกเสียนรบพุ่งคุกคามจุดไฟเผาหมู่บ้านของเจินละ ดังนี้
“เมื่อเร็วๆ นี้ ได้ทำการรบพุ่งชาวเสียน หมู่บ้านเหล่านี้จึงกลายเป็นที่โล่งไปสิ้น” (หน้า 40)
“ในการรบกับชาวเสียน เขาเกณฑ์ราษฎรทั้งหมดเข้าทำการรบ” (หน้า 43)
เป็นหลักฐานหนักแน่นว่าพวกสยาม (เสียน) มีหลักแหล่งอยู่ลุ่มน้ำมูล และมีดินแดนต่อเนื่องกับเจินละ คือเมืองพระนครหลวงหรือนครธม
บันทึกจีน-โจวต้ากวาน สนับสนุนให้เชื่อได้ว่า “เสียมกุก” เป็นชาวสยามลุ่มน้ำมูล ชำนาญปลูกหม่อน เลี้ยงไหม และอยู่ต่อเนื่องพรมแดนเจินละ คือ เมืองพระนครหลวง (นครธม) และสืบย้อนหลังได้ถึงสมัยเมืองพระนคร (นครวัด) •
| สุจิตต์ วงษ์เทศ
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022