ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ธุรกิจพอดีคำ |
ผู้เขียน | กวีวุฒิ เต็มภูวภัทร |
เผยแพร่ |
“ผมพยายามเสนอไอเดียดีๆ มาตลอด แต่หัวหน้าไม่เคยรับฟังเลยครับ”
นี่คือคำถามที่ผมได้ยินบ่อยมากในช่วงที่ไปพูดตามงานต่างๆ น้องๆ รุ่นใหม่มักจะบ่นว่าหัวหน้าไม่เปิดรับไอเดียใหม่ๆ
คนรุ่นใหม่มีข้อดีอยู่มาก มีไฟ อยากเปลี่ยนแปลงโลก อยากปฏิวัติวงการ
แต่ก่อนจะไปถึงจุดนั้น ลองมาดูตัวอย่างของคนที่ประสบความสำเร็จกันก่อนครับ
เรื่องแรก ผมขอเล่าถึง “ธีระ” โปรแกรมเมอร์จากสตาร์ตอัพไทยที่กำลังมาแรง เขาเล่าให้ผมฟังว่า “ตอนแรกผมก็เหมือนเด็กทั่วไปแหละครับพี่ ชอบเสนอไอเดียจนหัวหน้าปวดหัว จนวันหนึ่งเพื่อนในทีมแซวว่า ‘ไอเดียเยอะจัง แต่ทำไม bug ก็เยอะจังวะ’”
คำแซวนั้นทำให้ธีระหยุดคิด เขาเปลี่ยนกลยุทธ์ใหม่ หันมาโฟกัสที่การทำงานประจำให้ดีก่อน เขียนโค้ดให้สะอาด ทำเอกสารให้ครบ deploy code ไม่พลาด (ไม่เหมือนตอนก่อนที่ deploy ทีหนึ่ง server ล่มทีหนึ่ง จนทีม DevOps ต้องตั้งพระพุทธรูปไว้ที่โต๊ะ)
“พอผมพิสูจน์ตัวเองได้ว่าทำงานประจำได้ดี การเสนอไอเดียใหม่ๆ ก็ง่ายขึ้นมาก เพราะทุกคนเห็นว่าผมไม่ได้แค่พูด แต่ทำได้จริง” ปัจจุบันธีระได้เลื่อนตำแหน่งเป็น Tech Lead ดูแลทีม 8 คน
(และ server ไม่เคยล่มอีกเลย พระพุทธรูปเลยถูกย้ายไปไว้ที่โต๊ะทีมขาย เพราะยอดขายตกต่ำ)
มาดูอีกเคสที่น่าสนใจ “มีนา” สาวน้อยวัย 25 จากบริษัทที่ปรึกษาชื่อดัง เธอเล่าว่าตอนเริ่มงานใหม่ๆ เธอรู้สึกว่าระบบเก่าของบริษัทล้าสมัยมาก อยากปรับเปลี่ยนทุกอย่าง
“หนูเสนอไอเดียทุกอาทิตย์เลยค่ะ จนพี่ๆ ในทีมล้อว่าเป็น ‘ติ่งเค-ปฏิรูป’ เพราะจะปฏิรูปทุกอย่างเหมือนรายการทีวี” เธอหัวเราะ “แต่พอเวลาให้ทำงานจริง กลับทำพลาดบ่อย เพราะไม่รู้ระบบเดิมดีพอ”
จุดพลิกผันมาจากคำแนะนำของเมนเทอร์ที่บอกว่า “ก่อนจะเปลี่ยนอะไร ต้องเข้าใจมันให้ถ่องแท้ก่อน” มีนาเลยตั้งใจศึกษาระบบเก่า ทำความเข้าใจเหตุผลว่าทำไมถึงออกแบบแบบนี้ และพบว่าหลายอย่างที่ดูล้าสมัย จริงๆ แล้วมีเหตุผลทางธุรกิจรองรับ
“พอหนูเข้าใจระบบเดิมดีแล้ว การเสนอไอเดียใหม่ๆ ก็ง่ายขึ้น เพราะรู้ว่าอะไรควรเปลี่ยน อะไรควรคงไว้”
ปัจจุบันมีนาได้รับการยอมรับจากทีม และได้นำการเปลี่ยนแปลงหลายอย่างในบริษัท
ไม่เชื่อว่าเรื่องแบบนี้เกิดขึ้นที่ Google ด้วยเหรอ?
เชื่อเถอะครับ Paul Buchheit ผู้สร้าง Gmail ก็เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ก่อนที่เขาจะได้รับอนุญาตให้ใช้เวลา 20% ทำโปรเจ็กต์ Gmail เขาต้องพิสูจน์ตัวเองด้วยการทำ Google AdSense ให้ประสบความสำเร็จก่อน
“ผมไม่ได้เดินเข้าไปหาเจ้าของบริษัทแล้วบอกว่า ‘เฮ้! ผมอยากทำอีเมลระบบใหม่!’ หรอกนะ ถ้าทำแบบนั้น ผมคงโดนส่งไปนั่งแก้ bug ที่ Antarctic Office แทน” Paul เล่าติดตลก
“ผมต้องพิสูจน์ให้เห็นก่อนว่าผมทำงานที่ได้รับมอบหมายได้ดีขนาดไหน”
อีกเคสที่น่าสนใจคือ “แดน” หนุ่มนักการตลาดจากบริษัทเครื่องสำอางชั้นนำ เขาเล่าให้ผมฟังว่าช่วงแรกๆ ที่เข้าทำงาน เขาแทบจะเป็นบ้าเพราะความช้าของระบบการอนุมัติแคมเปญ
“มันใช้เวลาเป็นเดือนกว่าจะได้อนุมัติครับ ผมรู้สึกว่ามันไม่ทันการแข่งขัน เลยพยายามเสนอให้ลดขั้นตอนลง แต่ไม่มีใครฟังผมเลย” แดนเล่าพลางหัวเราะ
จนกระทั่งวันหนึ่ง เขาได้คุยกับรุ่นพี่ในแผนกกฎหมาย ถึงได้รู้ว่าที่ต้องมีขั้นตอนเยอะขนาดนี้ เพราะเคยมีปัญหาเรื่องการละเมิดลิขสิทธิ์และการกล่าวอ้างสรรพคุณเกินจริงมาก่อน
“พอผมเข้าใจที่มาที่ไป ผมเลยเปลี่ยนวิธีคิดใหม่ แทนที่จะพยายามลดขั้นตอน ผมหันมาวางแผนงานล่วงหน้าให้ดีขึ้น จัดระบบเอกสารให้พร้อมตั้งแต่ต้น”
ผลลัพธ์? ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อครับ ระยะเวลาการอนุมัติลดลงครึ่งหนึ่ง ไม่ใช่เพราะระบบเปลี่ยน แต่เพราะแดนเปลี่ยนวิธีทำงานของตัวเอง
“ตอนนี้ผมกลายเป็นคนที่ส่งงานเร็วที่สุดในทีมครับ เพราะรู้ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง ใครต้องเซ็นตรงไหน เอกสารอะไรต้องมี” แดนเล่าอย่างภูมิใจ “แถมตอนนี้ผมยังได้รับเชิญให้ไปสอนน้องๆ ด้วยว่าจะทำงานกับระบบนี้ยังไงให้มีประสิทธิภาพที่สุด”
(ใช่ครับ จากคนที่เคยบ่นว่าระบบช้า กลายเป็นวิทยากรสอนการใช้ระบบซะงั้น ชีวิตมันก็งี้แหละครับ เหมือนตอนเรียน ใครบ่นว่าวิชาไหนยาก สุดท้ายต้องไปติวให้เพื่อน)
แล้วที่ญี่ปุ่นล่ะ? ที่โตโยต้าเขามีระบบ “ไคเซ็น” หรือการปรับปรุงอย่างต่อเนื่อง แต่รู้ไหมว่าก่อนที่พนักงานคนไหนจะได้เสนอไอเดียปรับปรุง เขาต้องยืนดูกระบวนการผลิตในวงกลมที่วาดไว้บนพื้นโรงงานเป็นเวลาหลายชั่วโมง จนเข้าใจทุกขั้นตอน
มีพนักงานใหม่คนหนึ่งเคยบ่นว่า “ทำไมต้องมายืนดูตั้งนาน ผมมีไอเดียดีๆ เยอะแยะ”
Taiichi Ohno ผู้พัฒนาระบบการผลิตแบบโตโยต้าตอบกลับไปว่า “ถ้านายอยากปรับปรุงอะไรสักอย่าง นายต้องเข้าใจมันให้ดีก่อน ไม่งั้นนายก็เหมือนหมอที่สั่งยาโดยไม่ตรวจคนไข้ ซึ่งมีโอกาสสูงมากที่คนไข้จะได้ไปนอนโรงพยาบาล… แล้วหมอจะได้ไปนอนคุก”
ทีนี้มาถึงคำถามสำคัญ แล้วจะสร้างความเชื่อใจจากหัวหน้าได้ยังไง?
ที่ Stanford Business School มีนักวิชาการท่านหนึ่งชื่อ Carol Robin เธอใช้เวลาหลายปีศึกษาว่าทำไมบางคนถึงสร้างความเชื่อใจได้เร็ว ในขณะที่บางคนพยายามแทบตายแต่ไม่มีใครเชื่อสักที
(ก็เหมือนในละครไทยนั่นแหละครับ พระเอกพูดอะไรคนก็เชื่อ แต่พอตัวร้ายพูดความจริง กลับไม่มีใครเชื่อ… ชีวิตมันไม่แฟร์ตั้งแต่ในละครแล้วครับ)
Carol พบว่าคนที่สร้างความเชื่อใจได้เร็วมักจะมีลักษณะเดียวกัน คือพวกเขาจะ “ทำให้ดูก่อน พูดให้ฟังทีหลัง” เริ่มจากการทำงานที่ได้รับมอบหมายให้ดีที่สุด จดบันทึกความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ และสร้างผลงานอย่างต่อเนื่อง
“มันเหมือนตอนจีบแฟนนั่นแหละ” Carol เปรียบเทียบอย่างขำๆ “คุณต้องทำให้เขาเห็นว่าคุณเป็นคนดี ไม่ใช่แค่พูดว่า ‘เชื่อใจผมเถอะ ผมเป็นคนดี’ แบบในละครน้ำเน่า”
นอกจากนี้ คนที่ประสบความสำเร็จมักจะ “เข้าใจก่อนอยากเปลี่ยน” พวกเขาจะศึกษาระบบเดิมให้ถ่องแท้ หาเหตุผลว่าทำไมถึงเป็นแบบนี้ และยอมรับว่าบางอย่างที่ดูแย่ อาจมีเหตุผลที่ดีซ่อนอยู่
“เหมือนตอนย้ายเข้าบ้านใหม่” Carol ยกตัวอย่าง “คุณอาจจะรู้สึกว่ากำแพงบ้านวางตำแหน่งแปลกๆ แต่อย่าเพิ่งรื้อ ต้องดูก่อนว่ามันรับน้ำหนักอะไรอยู่บ้าง ไม่งั้นอาจจะได้นอนดูดาวแทนดูทีวี”
สิ่งที่น่าสนใจอีกอย่างคือ คนที่สร้างความเชื่อใจได้ดีมักจะ “สร้างพันธมิตร ไม่ใช่ศัตรู” พวกเขาจะทำความรู้จักกับทีมงานคนอื่นๆ เรียนรู้จากประสบการณ์ของรุ่นพี่ และที่สำคัญคือให้เครดิตคนที่สร้างระบบเดิม
และสุดท้าย Carol พบว่าความเชื่อใจไม่ได้สร้างได้ในวันเดียว ต้อง “เริ่มจากเล็กๆ แล้วค่อยๆ โต” เสนอการเปลี่ยนแปลงทีละนิด พิสูจน์ให้เห็นผลลัพธ์ที่ดี แล้วค่อยๆ ขยายผล
กลับมาที่คำถามแรก “ทำไมหัวหน้าไม่เคยฟังคุณ?”
คำตอบไม่ได้อยู่ที่หัวหน้าหรอกครับ แต่อยู่ที่ตัวคุณเอง
ถ้าคุณยังทำงานตัวเองไม่เสร็จ แต่ชอบเสนอไอเดียใหม่ๆ ถ้าคุณยังไม่เข้าใจระบบเดิม แต่อยากเปลี่ยนทุกอย่าง ถ้าคุณยังไม่มีผลงานให้ดู แต่อยากให้คนเชื่อใจ
นั่นไม่ต่างอะไรกับการที่คุณบอกว่า “ผมเป็นกุ๊กฝีมือดีมาก!” แต่อาจจะยังเจียวไข่ไม่อร่อย…
เพราะความเชื่อใจไม่ได้มาจากคำพูด แต่มาจากการกระทำ ไม่ได้มาจากสิ่งที่คุณอยากทำ แต่มาจากสิ่งที่คุณทำได้จริง ไม่ได้มาจากความฝัน แต่มาจากผลงาน
“แล้วถ้าทำดีแล้ว แต่หัวหน้ายังไม่ฟังล่ะครับ?”
นี่เป็นคำถามที่ผมเจอบ่อยมาก และคำตอบของผมคือ “รู้ได้ยังไงว่าเราทำดี?”
บางทีสิ่งที่เราคิดว่า “ดีแล้ว” มันอาจจะยังไม่พอ สิ่งที่เราคิดว่า “ดีแล้ว” อาจจะยังต้องพัฒนา และสิ่งที่เราคิดว่า “พร้อมแล้ว” อาจจะยังต้องปรับปรุง ในสายตาของหัวหน้า
ลองเปิดอก พูดคุย ขอฟีดแบคกันสักรอบ ภาพจริงอาจจะปรากฏได้
เพราะคนที่ “ทำได้” ไม่จำเป็นต้องพูดมาก แต่คนที่ “พูดมาก” มักจะทำไม่ค่อยได้
อยากให้คนฟังเรา ต้องทำงานเราให้ดีก่อนครับ แค่นั้นเอง
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022