ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 9 - 15 กุมภาพันธ์ 2561 |
---|---|
คอลัมน์ | วิกฤติศตวรรษที่ 21 |
เผยแพร่ |
อนุช อาภาภิรม – โลกหลังอเมริกา : การเคลื่อนย้ายอำนาจโลก (7)
รัสเซียใหม่คลอดจาก “สังคมคอมมิวนิสต์” ที่เสื่อมถอยคือสหภาพโซเวียต
ปูตินกล่าวว่าเป็น “โศกนาฏกรรมใหญ่หลวงที่สุดของชาวรัสเซีย”
การล่มสลายของสหภาพโซเวียตมีลักษณะเฉพาะของมัน อย่างหนึ่งคือมันเกิดขึ้นอย่างสันติและรวดเร็วมาก เหมือนกับว่าจู่ๆ วันหนึ่งบรรดาผู้นำและผู้คนทั้งหลายที่รวมตัวกันเป็นประเทศนี้
ประกาศว่าจะแยกตัวออกจากกัน เอาสมบัติของรัฐมาแบ่งสันปันส่วนกัน แยกตัวเป็นสาธารณรัฐกว่าสิบประเทศ
การแบ่งสมบัติในรัสเซีย พบว่า ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดกับศูนย์อำนาจได้รับส่วนแบ่งมาก กลายเป็นมหาเศรษฐีที่เข้ามามีอำนาจทางการเมือง (Oligarch ใช้เฉพาะกรณีรัสเซีย ทั่วไปหมายถึงสมาชิกในคณาธิปไตย)
ประชาชนทั่วไปที่อาศัยในอพาร์ตเมนต์ที่เป็นของรัฐก็ได้อพาร์ตเมนต์นั้นเป็นกรรมสิทธิ์ เป็นต้น
การล่มสลายของสหภาพโซเวียตเป็นไปอย่างรวดเร็วในช่วงเวลาเพียงสามปี
เริ่มต้นจากการหลุดไปของประเทศบริวารในยุโรปตะวันออก ในปี 1989
ที่โด่งดังเป็นที่จดจำก็คือการทลายกำแพงเบอร์ลิน ในปี 1990 บรรดาสาธารณรัฐที่รวมตัวกันเป็นสหภาพโซเวียตต่างแยกตัวเป็นอิสระ
ปี 1991 การรัฐประหารที่ล้มเหลวของพรรคคอมมิวนิสต์โซเวียตในเดือนสิงหาคม เพื่อกอบกู้สหภาพโซเวียตเป็นครั้งสุดท้าย
กลายเป็นจุดจบของสหภาพโซเวียต บอริส เยลต์ซิน (Boris Yeltsin 1931-2007) ประธานาธิบดีสหพันธรัฐรัสเซีย ขึ้นสู่อำนาจแทน มิคาอิล กอร์บาชอฟ (เกิด 1931 ถึงปัจจุบัน) ที่ถูกบีบให้ลาออกไป
ที่การล่มสลายของสหภาพโซเวียตเป็นไปอย่างสันติ
ในด้านในประเทศ ส่วนหนึ่งเกิดความเสื่อมถอยของระบบเศรษฐกิจและระบบปกครองต่อเนื่องเป็นเวลานาน จนกระทั่งประชาชนเกิดหมดความหวัง ปล่อยให้ระบบนี้ล่มสลายไปต่อหน้าต่อตา โดยไม่คัดค้าน (แม้ว่าภายหลังมีชาวรัสเซียจำนวนมากยังระลึกถึงระบบสหภาพโซเวียตอยู่) ในอีกด้านหนึ่งเกิดจากการสมคบคิดกันในหมู่ชนชั้นนำที่ตกลงแบ่งแยกกันไป โดยบางประเทศรักษาการรวมตัวอย่างหลวมๆ ไว้กับรัสเซีย
ในด้านต่างประเทศ สหรัฐผู้นำโลกเสรี ก็ต้องการให้มีการเปลี่ยนผ่านอย่างสันติ
ส่วนหนึ่งเกิดจากการโซเวียตเป็นสังคมปิดสำหรับตะวันตก เปิดช่องให้สหรัฐเข้ามาแทรกแซงไม่ได้มาก
อีกส่วนหนึ่งเกิดจากว่าหากเกิดการเปลี่ยนผ่านอย่างรุนแรงจนควบคุมสถานการณ์ไม่ได้ อาวุธนิวเคลียร์และอาวุธทำลายล้างสูงของโซเวียตอาจตกไปอยู่ในมือของผู้ไม่หวังดีต่อสหรัฐ
สหรัฐเดินนโยบายสำคัญสองประการได้แก่
(ก) สนับสนุนบอริส เยลต์ซิน ที่มีแนวคิดที่จะพัฒนารัสเซียแบบทุนนิยมเสรีขึ้นมามีอำนาจดำเนินการแยกสลายโซเวียตอย่างสันติ
(ข) การผลักดันให้บรรดาประเทศที่แยกจากสหภาพโซเวียต ยึดหลักการปกครองตนเองแบบเสรีประชาธิปไตย การปกครองของกฎหมาย ยึดมั่นสิทธิมนุษยชน และสิทธิของชนชาติส่วนน้อย ยอมรับกฎหมายระหว่างประเทศและข้อตกลงการผูกพันที่ได้กระทำไว้ก่อนหน้านั้น
หลักการดังกล่าว เมื่อเวลาผ่านไปก็พบว่าเป็นเพียงข้ออ้าง
เพราะสหรัฐก็ไม่ได้ยึดปฏิบัติหลักเหล่านี้อย่างจริงจัง นิยมการปฏิบัติตามลำพังมากกว่าความผูกมัดของกฎหมายระหว่างประเทศและข้อตกลงผูกพันที่ได้กระทำไว้ เช่น การปฏิบัติตามลำพังในกรณีสงครามโคโซโวสมัยประธานาธิบดีคลินตัน การทำสงครามยึดครองอิรักสมัยบุชผู้ลูก ที่มีการประกาศว่า “จะไม่ยอมให้ใครมาสวมกุญแจมือสหรัฐ”
มาถึงสมัยประธานาธิบดีทรัมป์ที่ยึดนโยบาย “อเมริกาเหนือชาติใด” ก็ยิ่งมีพฤติกรรมโจ่งแจ้ง ไม่ได้อำพรางเหมือนในครั้งนั้น
นโยบายของสหรัฐดังกล่าว สรุปทางปฏิบัติก็คือ ให้ประเทศทั้งหลายเหล่านี้ดำเนินการพัฒนาเศรษฐกิจโดยใช้เงินดอลลาร์สหรัฐเป็นฐาน มีนโยบายต่างประเทศสอดคล้องกับของสหรัฐ ซึ่งประสบความสำเร็จในระดับหนึ่ง
และที่ประสบความสำเร็จสูงในยุโรปตะวันออก ได้แก่ เยอรมนีตะวันออกที่ได้รวมตัวกับเยอรมนีตะวันตกทันทีที่กำแพงเบอร์ลินถูกทำลาย แต่ในปี 1999 ได้ใช้เงินยูโรแทน
ประเทศในยุโรปตะวันออกที่สหรัฐประสบความสำเร็จในการดึงเป็นพวก เช่น โปแลนด์ และโรมาเนีย ที่ยอมรับเป็นสถานที่ติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธของสหรัฐ
ประเทศที่เคยร่วมกับโซเวียตและหันไปเป็นพันธมิตรกับสหรัฐเต็มตัวได้แก่สามประเทศบอลติก
ที่เหลือต้องลงแรงหนัก เช่น ก่อปฏิวัติสีหลายครั้ง บางประเทศได้มาแล้วต้องแย่งยื้อกันเช่นที่ยูเครน
ที่ไม่ประสบความสำเร็จได้แก่ประเทศเบลารุส ที่เห็นว่าสหรัฐเข้ามาแทรกแซงกิจการภายใน และหันไปสนิทกับรัสเซีย
สำหรับประเทศที่ถือมุสลิมที่เคยร่วมกับสหภาพโซเวียตนั้น สหรัฐยากที่จะครองใจได้ ตราบเท่าที่ยังมีลัทธิ “กลัวอิสลาม” และการต่อต้านอิสลามในทางปฏิบัติ
เหตุผลของความไม่สำเร็จตามคาดดังกล่าว ในสายตาของผู้วางนโยบายยุทธศาสตร์ชาติสหรัฐแล้วเห็นว่า เกิดจากบุคคลคนเดียวคือ วลาร์ดิมีร์ ปูติน (เกิด 1965)
ประสบการณ์ชีวิตของเขา กล่าวอย่างสังเขปได้ว่า ในช่วงสหภาพโซเวียตปฏิบัติหน้าที่ทางด้านความมั่นคง ในยุครัสเซียใหม่ปูตินเริ่มงานการเมืองที่เซนต์ปีเตอร์สเบิร์ก บ้านเกิดของเขา ดูแลเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและการลงทุนจากต่างชาติ จนก้าวสู่การเป็นผู้บริหารระดับสูงของนคร และมีประสบการณ์ในการบริหารพรรคการเมืองด้วย
ต่อมาระหว่างปี 1996-2000 เขาทำงานการเมืองที่มอสโกภายใต้เยลต์ซิน ดูแลงานด้านทรัพย์สินของชาติ จัดการรวบรวมทรัพย์สินของรัฐที่อยู่ต่างแดน รวมทั้งทรัพย์สินที่เคยเป็นของสหภาพโซเวียตและพรรคคอมมิวนิสต์มาเป็นของสหพันธรัฐรัสเซีย
ปูตินได้รับการเลื่อนตำแหน่งสูงขึ้นตามลำดับ จนกระทั่งขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีในปี 1999 และรักษาการประธานาธิบดี (31 ธันวาคม 1999-พฤษภาคม 2000) หลังจากที่เยลต์ซินประกาศลาออกและยกให้ปูตินเป็นทายาทผู้สืบทอดอำนาจ และปูตินประกาศนิรโทษกรรมทั้งหมดของเยลต์ซินเมื่อขึ้นสู่ตำแหน่งนี้
จากที่กล่าวมาปูตินเป็นผู้มีประสบการณ์กว้างทั้งด้านความมั่นคง การเมืองทั้งภายในและระหว่างประเทศ ตลอดจนด้านเศรษฐกิจ-การเงิน รู้ตื้นลึกหนาบางของกลุ่มมหาเศรษฐีรัสเซียเป็นอย่างดี มีความสามารถทางการบริหาร และกล้าเสี่ยง เป็นบุคคลเหมาะเจาะสำหรับการนำรัสเซียใหม่
ย้อนกลับมาที่เยลต์ซินอีกครั้ง คล้อยหลังจากขึ้นสู่อำนาจได้ไม่นาน เขาก็เดินทางไปพบประธานาธิบดีบุชผู้พ่อ ที่แคมป์เดวิด ในเดือนกุมภาพันธ์ 1992 ซึ่งเป็นเหตุการณ์สำคัญในประวัติศาสตร์ใหม่ของรัสเซีย
เป็นการประกาศตัวของรัสเซียใหม่บนเวทีโลก และสหรัฐก็ให้การรับรอง
ซึ่งเป็นการย้ำว่าสหรัฐจะสนับสนุนรัฐบาลเยลต์ซินในการรักษาเสถียรภาพของรัสเซีย
การได้รับการรับรองนี้มีส่วนให้เยลต์ซินส่งกองทหารเข้าปราบการก่อกบฏแยกดินแดนในสาธารณรัฐเชชเนียที่ผู้คนส่วนใหญ่นับถืออิสลามในปี 1994 เป็นสงครามยืดเยื้อกว่าจะยุติลงได้ แต่ก็ยังเผชิญกับการก่อการร้ายจนถึงทุกวันนี้
แถลงการณ์ร่วมการพบปะกันดังกล่าวยังมีความสำคัญอีกประการหนึ่ง ในด้านที่เป็นการยุติสงครามเย็นอย่างเป็นทางการ
และเปิดยุคแห่งการร่วมมือทางเศรษฐกิจ-การเมืองระหว่างรัสเซียใหม่กับสหรัฐ
แต่เป็นฝ่ายรัสเซียที่ดูเหมือนจะผิดหวังกับความสัมพันธ์นี้
ปูตินเช่นเดียวกับผู้นำรัสเซียจำนวนไม่น้อยมีความผิดหวังหลายประการ
ประการแรก มันเป็นความสัมพันธ์ที่รัสเซียตกเป็นเบี้ยล่างไม่ว่ารัสเซียจะปฏิบัติอะไรก็ต้องชำเลืองหรือสดับฟังความคิดเห็นจากสหรัฐว่าเห็นด้วยหรือไม่ ความชอบธรรมของรัฐบาลรัสเซียขึ้นอยู่กับการรับรองของสหรัฐและตะวันตก
หากรัสเซียปฏิบัติตัวดีก็รับเป็นพวก เช่น รับรัสเซียเข้าร่วมกลุ่ม 7 หรือกลุ่มมหาอำนาจโลก 7 ประเทศ ขยายกลุ่มนี้เป็น “กลุ่ม 8” ในสมัยเยลต์ซิน
แต่หากทำขัดใจเช่นในกรณียูเครนก็ขับออกในปี 2014 สมัยปูติน
ในประการต่อมา ก็คือความคาดหวังที่จะมีการลงทุนจากตะวันตกหลั่งไหลเข้ามาในอุตสาหกรรมพลังงาน เป็นต้น แต่ก็ไม่ได้มา ขณะที่เงินทุนกลับหลั่งไหลไปยังจีน ที่มีค่าแรงถูกกว่า มีท่าเรือหลายแห่งที่เข้าถึงได้ทุกฤดูกาล ทั้งยังเปิดเขตเศรษฐกิจพิเศษต้อนรับการลงทุนอย่างดีและหลากหลาย ดังนั้น รัสเซียต้องพึ่งตนเองอยู่ดี
ที่เป็นเหมือนฟางเส้นสุดท้ายได้แก่ การที่สหรัฐเข้าไปหนุนหลังโคโซโวในสงครามแยกตัวจากเซอร์เบียในปี 1999 เป็นการปฏิบัติตามอำเภอใจ ไม่ได้ยึดถือองค์การสหประชาชาติและกฎหมายระหว่างประเทศ
รัสเซียนั้นเป็นมิตรกับเซอร์เบีย แต่ก็ไม่สามารถป้องกันหรือทำอะไรได้มากนัก
การทิ้งระเบิดเซอร์เบียของสหรัฐ-นาโต้เป็นไปอย่างรุนแรง แม้แต่จีนที่เป็นมิตรเก่าของยูโกสลาเวีย (เซอร์เบียเป็นประเทศใหญ่ที่สุดที่แยกตัวจากยูโกสลาเวียเก่า) ยังโดนลูกหลง ถูกสหรัฐทิ้งระเบิดใส่สถานทูตจีน โดยอ้างว่าใช้แผนที่เก่า การเข้ายึดครองโคโซโวของสหรัฐ-นาโต้
และต่อมาหนุนการทำประชามติในโคโซโว ตั้งขึ้นเป็นประเทศอิสระในปี 2008 เป็นแผลเก่าที่ปูตินไม่เคยลืม ดังนั้น รัสเซียใหม่ในยุคของปูตินจะต้องต่างไปอย่างสิ้นเชิงจากรัสเซียใหม่สมัยเยลต์ซิน
ความสัมพันธ์ระหว่างรัสเซียใหม่กับปูตินนั้นเป็นไปอย่างล้ำลึก
ปูตินได้นำพารัสเซียจากประเทศที่อ่อนแอ ระส่ำระสาย ไม่มีความหวังในอนาคต เป็นเพียง “ประเทศปั๊มน้ำมัน” ขึ้นมาเป็นรัสเซียใหม่ที่เข้มแข็ง เป็นปึกแผ่น มีความหวังและภูมิใจในตนเอง
กล่าวอย่างสั้นคือทำให้รัสเซียกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้ง ในด้านนี้เหมือนจะพูดได้ว่า “รัสเซียใหม่ของปูติน”
แต่ในอีกด้านหนึ่ง ปูตินก็ไม่ได้มีทฤษฎีหรือหลักการสำเร็จรูปในการนำพาประเทศ “ลัทธิปูติน” เกิดขึ้นและพัฒนาไปท่ามกลางการปฏิบัติ การขัดแย้งต่อสู้ทั้งภายในและภายนอกประเทศ ที่คดเคี้ยวแบบลองผิดลองถูก ในแง่นี้ ก็เหมือนกับว่ารัสเซียใหม่เป็นผู้หล่อหลอมตัวปูตินขึ้นมาเอง และควรกล่าวว่า “ปูตินของรัสเซียใหม่”
ลัทธิปูตินที่ได้ปฏิบัติจนถึงขณะนี้ มีองค์ประกอบสำคัญหลายประการได้แก่ ประชาธิปไตยองค์อธิปัตย์ รัสเซียออร์ธอด็อกซ์ ลัทธิยูเรเซียใหม่ รัสเซียกับอุตสาหกรรม 4.0 และการยูโดทางการเมือง-การทหาร
ฉบับหน้าจะกล่าวถึงประชาธิปไตยองค์อธิปัตย์ของรัสเซีย