ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | กาแฟดำ |
ผู้เขียน | สุทธิชัย หยุ่น |
เผยแพร่ |
ใครก็ไม่รู้ถามผมว่าทำไมคำว่า “ทะเยอทะยาน” หายไปจากนโยบายของรัฐบาลแพทองธาร ชินวัตร
ทั้งๆ ที่ตอนคุณเศรษฐา ทวีสิน เป็นผู้นำประเทศนั้น แกเน้นคำว่า “ทะเยอทะยาน” มาก
ผู้รู้บอกว่าคุณเศรษฐาคงจะหมายถึงคำว่า ambition ในภาษาอังกฤษ
ซึ่งเป็นคำที่มีความหมายในทางบวก
คำว่า “ทะเยอทะยาน” ในภาษาไทยก็น่าจะสะท้อนความอยากได้ดิบได้ดีในทางสร้างสรรค์
เสียแต่ว่าเรามีความ “ทะเยอทะยาน” แต่ไม่มี “ยาน” ที่จะพันให้เรา “ทะยาน” ไปถึงฝั่งฝัน
ผมได้ยินโฆษกกระทรวงการต่างประเทศให้สัมภาษณ์ VOA ภาษาไทยเมื่อเร็วๆ นี้ว่าไทยเราเป็น Middle Power หรือ “ประเทศอำนาจกลาง”
อาจพอเรียกเป็นความ “ทะเยอทะยาน” ของไทยได้
แต่นั่นอาจจะเป็นความเห็นส่วนตัวของคุณนิกรเดช พลางกูร เท่านั้น
เพราะผมไม่เคยได้ยินรัฐมนตรีต่างประเทศมาริษ เสงี่ยมพงษ์ แสดง “ความมักใหญ่ใฝ่สูง” อย่างนั้น
แม้แต่ฝ่ายค้านของไทยที่เป็นตัวแทน “คนรุ่นใหม่” ก็ยังไม่มีแนวคิดอะไรที่เป็นรูปธรรมในเรื่องนี้
เคยได้ยินแต่คุณฟูอาดี้ พิศสุวรรณ นักวิชาการด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แสดงความเห็นในที่สาธารณะบางครั้งว่า “ผมอยากเห็นประเทศไทยที่มองตัวเองเป็น Middle Power หรือมหาอำนาจระดับกลาง”
ฟูอาดี้บอกว่าหลายปีที่ผ่านมา ประเทศไทยมองตัวเองเล็กไป เป็นผลจากการที่เรามีชนักปักหลังมายาวนาน
เพราะการเข้าสู่อำนาจของรัฐบาลทำให้ประชาคมโลกตั้งคำถามถึงเรื่องความชอบธรรมของการเมืองในอดีต
แต่การที่จะยกระดับให้ต่างประเทศยอมรับว่าเราเป็น Middle Power ไม่ได้มาโดยอัตโนมัติ
ไม่ใช่ว่าเราติดป้ายประกาศตนเองเป็น Middle Power แล้วทุกคนจะยอมรับอย่างนั้น
เพราะมันต้องพิสูจน์ด้วยการทำงานอย่างทุ่มเท ต่อเนื่องและจริงจัง
สิงคโปร์และอินโดนีเซีย (ประชากร 5 ล้านกับ 275 ล้านตามลำดับ) ไม่ได้ประกาศตนเป็น “ประเทศอำนาจกลาง” แต่อย่างใด
สิงคโปร์เคยโดนอดีตผู้นำอิเหนาเรียกอย่างเหยียดๆ ว่าเป็นเพียง Little Red Dot หรือ “จุดแดงเล็กๆ” บนแผนที่โลกเท่านั้น
แต่น้ำหนักของการเสนอความคิดความเห็นของผู้นำของสองประเทศในเวทีสากลนั้นเป็นที่ยอมรับว่ามีน้ำหนักและต้องรับฟัง
ในประเด็นนี้ไทยเรายังห่างไกลพอสมควร
แต่ถ้าถามว่าไทยเราควรจะมี “ความพยายาม” ที่จะยกระดับตนเองในสายตาต่างประเทศหรือไม่
คำตอบคือควรแน่นอน
แต่จะต้องทำการบ้าน ต้องสร้างคนมีคุณภาพ ต้องทำงานแบบมืออาชีพ และตั้งเป้าทำทุกอย่างให้ได้มาตรฐานที่เป็นที่เคารพนับถือของนานาชาติ
หากแต่ยังดำเนินการแบบ “ทำอะไรตามใจคือไทยแท้” แล้วจะไปประกาศเป็น “ฮับ” นั่น “ฮับ” นี่
หรือจะตะโกนให้ทั้งโลกยอมรับ Soft Power ของเราเพราะเราอยากให้คนอื่นเชื่อตามเราคงไม่สามารถบรรลุเป้าหมายได้อย่างที่เราพึงหวังได้
ทำนองเดียวกัน หากเราจะเป็น Middle Power ก็ต้องลงมือทำงานอย่างหนัก, จริงจังและต่อเนื่อง
เริ่มด้วยการสร้างความแข็งแกร่งด้านเศรษฐกิจอย่างเป็นกิจจะลักษณะ กล้าปฏิรูปโครงสร้างอย่างเป็นรูปธรรม
ตามมาด้วยการสร้างศิลปะการทูตที่ชาญฉลาด รู้เท่ากันความเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
การปฏิรูปกองทัพให้เป็น “มืออาชีพ” อย่างแท้จริง
การเผยแพร่วัฒนธรรมก็ต้องทำอย่างมียุทธศาสตร์ที่แม่นยำ ไม่เพียงแค่หากินกับ “บุญเก่า”
และสร้างความตระหนักในเวทีสากลว่าเราทำเรื่อง “ความยั่งยืน” อย่างยั่งยืนจริงๆ ไม่เพียงแค่เป็นการเขียนเป็น “นโยบายบนกระดาษ”
หากเราไม่สามารถทำให้ตัวเองออกจาก “กับดักรายได้ปานกลาง” อย่างถาวร เราก็อย่าได้หวังจะเป็น “มหาอำนาจกลาง”
และต้องไม่เพียงแค่เขียนนโยบาย “ประเทศไทย 4.0” เพื่อส่งเสริมนวัตกรรมและการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคดิจิทัลเป็น “นโยบายที่แพลนแล้วนิ่ง” (plan…ning) อย่างที่ถูกปรามาสมาตลอด
กลยุทธ์ทางการทูตจะต้องมีการทบทวนอย่างเป็นระบบเพื่อยกระดับการเป็นประเทศที่มีบทบาทนำระดับภูมิภาค
เพราะการจะเป็น Middle Power นั้น ไทยต้องสร้าง “บารมี” ด้วยผลงานที่จับต้องได้
ไม่เพียงแค่ใช้อ้างอิงอดีตที่เราเคยเจริญรุ่งเรืองด้านการเมืองระหว่างประเทศเท่านั้น แต่ยังต้องมีการปรับให้ไทยมี “การทูต” ที่ทันกับการปรับเปลี่ยนด้านเทคโนโลยีและฉากทัศน์ที่มีความซับซ้อนมากขึ้นทุกขณะ
นั่นย่อมหมายถึงการขยายความสัมพันธ์ในระดับโลกได้ด้วยความมีศักดิ์ศรีและสง่างาม
นั่นก็คือการวางสานภาพของเราให้เป็นที่ยอมรับในความสัมพันธ์กับมหาอำนาจเดิม (เช่น สหรัฐ จีน สหภาพยุโรป) และเศรษฐกิจเกิดใหม่ (เช่น บราซิล แอฟริกาใต้)
พร้อมทั้งเข้าร่วมองค์กรพหุภาคี เช่น สหประชาชาติและ G 20 เพื่อเพิ่มเสียงของไทยในประเด็นระดับโลก
อีกทั้งเมื่อเราสมัครเป็นส่วนหนึ่งของ OECD และเป็น “หุ้นส่วนพันธมิตร” ของกลุ่ม BRICS แล้วก็ต้องตอบคำถามคนไทยและต่างชาติได้ว่าเราจะได้ประโยชน์อย่างเป็นรูปธรรมอย่างไร
เราสามารถ “ถ่วงดุลอำนาจ” ตะวันตกกับตะวันออกได้อย่างมีประสิทธิภาพจริงหรือ?
การมีกองทัพที่ทันสมัยและเป็นประชาธิปไตยที่เคารพในกฎเกณฑ์สากลเป็นปัจจัยสำคัญอีกมิติของหนึ่งของการ “ประเทศอำนาจระดับกลาง”
อันหมายถึงการให้ความสำคัญกับการจัดหาเทคโนโลยีขั้นสูง เช่น โดรนที่ทันกับเทคโนโลยีล่าสุดเพื่อการทำงานด้านความมั่นคง
และเสริมสร้างความสามารถด้านการป้องกันทางไซเบอร์ และทรัพย์สินทางทะเลอย่างโปร่งใส
ไร้ข้อครหาเรื่อง “ผลประโยชน์ทับซ้อน” ของเหล่าบรรดากลุ่มการเมืองทั้งหลาย
กุญแจสำคัญที่ด้านหนึ่งคือการสร้างความแข็งแกร่งให้กับสถาบันประชาธิปไตยอย่างแท้จริง
นั่นหมายรวมถึงกลไกของการเลือกตั้งที่ยุติธรรม ความเป็นอิสระของศาล และเสรีภาพของสื่อเพื่อสร้างความน่าเชื่อถือในระดับสากล
แต่หากไม่สามารถลดความเหลื่อมล้ำในสังคมได้ก็ไม่มีใครยอมรับความเป็น “อำนาจกลาง” ของเรา
นั่นคือการลดช่องว่างระหว่างชนบทและเมือง การเพิ่มศักยภาพให้กับคนทุกหมู่เหล่า ทุกเพศสภาพ
และการสนับสนุนชุมชนที่ด้อยโอกาสพร้อมๆ กับการสร้างความสามัคคีทางสังคมและการเติบโตที่ครอบคลุม
นอกจากนี้ ไทยยังต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจนในการแสดงความ มุ่งมั่นจริงจังที่จะผลักดันให้เป็นผู้นำด้านสภาพภูมิอากาศ
ไม่เพียงแต่ระดับชาติ แต่ต้องต่อยอดไปถึงระดับภูมิภาคในการแก้ไขปัญหาสภาพภูมิอากาศ
โดยการใช้พลังงานสีเขียว การปลูกป่า และการเกษตรที่ยั่งยืน การมุ่งสู่การปล่อยก๊าซเรือนกระจกสุทธิเป็นศูนย์ภายในกลางศตวรรษจะแสดงถึงความรับผิดชอบในระดับโลก
บนเส้นทางสู่ Middle Power ย่อมมีความท้าทายที่ต้องเผชิญอย่างมาก
เพราะไม่มีคณะกรรมการนานาชาติมาตัดสินและประเมิน
ไม่มีการให้คะแนนในแต่ละภาคส่วน
ไม่มีการ “สอบซ่อม” ถ้าสอบตกในวิชาใด
หากแต่เป็นการยอมรับจากนานาชาติบนพื้นฐานของการวางตัวของเราเอง
วันแล้ววันเล่า เดือนแล้วเดือนเล่า ปีแล้วปีเล่า
ความไม่แน่นอนทางการเมือง
การเมืองที่ยังมีคุณภาพต่ำต้อยของไทยเองจะเป็นตัวบั่นทอนความสามารถของประเทศในการดำเนินกลยุทธ์ระยะยาวอย่างชัดเจน
เพราะเราขาดกลไกและความพร้อมในการสร้างฉันทามติระหว่างผู้มีส่วนได้ส่วนเสียหลากหลายกลุ่มว่าเราจะเดินทางไปในทิศทางเดียวกันอย่างไร
แต่ท้ายที่สุดการมีสถานะ “มหาอำนาจระดับกลาง” ย่อมทำให้เกิดประโยชน์ต่อประเทศในหลายๆ ด้าน
หากทำให้นานาชาติเชื่ออย่างนั้นอย่างจริงจัง
ไม่ใช่เพียงเพราะเราทำตัว “น่ารัก” หรือ “น่าเอ็นดู”
แต่ต้องให้นานาชาติ “เลื่อมใส” ในบทบาทแบบ “มืออาชีพ” ของไทย
หากทำได้จริง ไทยก็จะเพิ่มอิทธิพลในเวทีนานาชาติเพิ่มขึ้น
เพราะจะทำให้เรามีส่วนสำคัญมากขึ้นในการกำหนดนโยบายระดับภูมิภาคและระดับสากล
ที่สอดคล้องกับผลประโยชน์และค่านิยมของไทย
แต่นั่นแปลว่าเราต้องกำหนดนิยามของคำว่า “ผลประโยชน์” และ “ค่านิยม” ของไทยในยุคสมัยใหม่นี้ด้วย
เศรษฐกิจที่มีการกระจายตัวและมีการแข่งขันสูงจะช่วยยกระดับมาตรฐานการครองชีพและสร้างโอกาสสำหรับประชาชนทุกคน
แต่หากนโยบายต่างประเทศเราเข้าข่าย “หน่อมแน้ม” เช่นกรณีเรื่องไทย-พม่า หรือไทย-กัมพูชา
กรณีว้าแดงหรือกรณี MoU44 ที่สะท้อนว่าอำนาจต่อรองของเรายังไม่ได้เป็นที่เคารพยำเกรงทั้งๆ ที่เราดำเนินตามแนวทาง “ค่านิยมสากล”
เราจะตะโกนให้ดังแค่ไหนว่าไทยกำลังจะเป็น Middle Power ก็คงจะเสียเวลาเปล่าๆ
เขาถามกลับมาว่า “กี่โมง?” เราก็ใบ้กินแล้ว!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022