ผ่าบิ๊กดีล ‘ฮอนด้า-นิสสัน-มิตซูบิชิ’ ผนึกกำลังตะลุยตลาด ‘รถยนต์ EV’

สันติ จิรพรพนิต

เป็นประเด็นร้อนแรงอย่างยิ่งในช่วงปลายปี 2567 และลากยาวต่อถึงปีนี้

เมื่อ 3 ค่ายรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่น “ฮอนด้า-นิสสัน-มิตซูบิชิ” ประกาศผนึกกำลังรวมกันเพื่อบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV เต็มรูปแบบ

เพราะทราบกันดีว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นและยุโรป ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการเข้ามาของรถ EV แบรนด์จีน

แม้หลายๆ ค่ายจะพยายามผลักดันเทคโนโลยีรถยนต์ EV ให้ล้ำหน้าไปเรื่อยๆ

แต่ปัญหาไม่พ้นต้นทุนการผลิตที่ค่ายจีนต่ำกว่ามาก

เนื่องจากเฉพาะในประเทศตัวเอง ก็สามารถสร้างยอดขายได้ถล่มทลาย ยิ่งผลิตมาก ต้นทุนต่อหน่วยยิ่งลดลง

ค่ายยุโรปยังไม่เท่าไหร่ครับ เพราะเน้นตลาดระดับบน บวกกับวางแผนเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน มาเป็นพลังงานอื่นทั้งไฮบริด และ EV มาพักใหญ่แล้ว

แตกต่างจากค่ายญี่ปุ่นที่แม้จะซุ่มพัฒนาเครื่องยนต์ EV มานานแล้วก็ตาม แต่เอาจริงๆ ด้วยระบบการทำงานและวัฒนธรรมองค์กรที่ค่อนข้างจะช้าแต่ชัวร์

ไม่เพียงเท่านั้น ยังเทน้ำหนักส่วนหนึ่งไปพัฒนารถยนต์พลังาน “ไฮโดรเจน” อีกด้วย

ทำให้โดนค่ายจีนแซงหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการพัฒนาแบตเตอรี่ ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ EV

ในอดีตแบตเตอรี่จีนความจุไม่มากนัก แต่ปัจจุบันรถบางรุ่นชาร์จทีเดียววิ่งได้เกือบพันกิโลเมตรหรือมากกว่านั้นก็มี

ทำให้ปัจจุบันจีนเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำการผลิตแบตเตอรี่รถ EV

 

 

มีอีกปัจจัยหนุนเสริมให้รถ EV จีน พัฒนาอย่างรวดเร็วและร้อนแรง มาจากการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งรัฐบาลกลางและท้องถิ่น

หลายๆ แบรนด์ชั้นนำของจีน มีรัฐบาลท้องถิ่นเข้ามาถือหุ้นด้วย

ตลาดรถยนต์ในจีนนั้นก็ไม่ต่างจากหลายๆ ประเทศ ที่เริ่มจากการให้ต่างชาติทั้งยุโรป และญี่ปุ่น เข้ามาผลิตและจำหน่าย

แต่ด้วยข้อเด่นที่มีประชากรจำนวนมาก และการเติบโตทางเศรษฐกิจร้อนแรง ถึงขนาดตัวเลขจีดีพี เติบโตระดับ 2 หลัก ต่อเนื่องนับสิบปี

ทำให้รัฐบาลจีนวางเงื่อนไข บริษัทต่างชาติต้องให้บริษัทจีนเข้ามาถือหุ้นร่วมด้วย

จนเมื่อพัฒนาไปถึงจุดหนึ่ง บวกกับปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงขึ้น

รัฐบาลจีนจึงมีดำริต้องการสร้างแบรนด์ตัวเองให้แข็งแกร่ง และมุ่งไปยังขุมพลังไฟฟ้า เพราะไม่ปล่อยควันเสีย

อีกประเด็นก็คือผู้นำจีนมองว่าหากผลิตรถเครื่องยนต์อื่นๆ ยากจะตามทันยุโรปและญี่ปุ่น

มีแต่รถ EV นี่แหละที่ในตอนนั้นยังไม่เป็นที่นิยม

และเพราะจีนมีประชากรจำนวนมาก ถึงแม้ช่วงแรกผลิตแล้วส่งออกไม่ได้ ลำพังขายในประเทศก็ยืนด้วยลำแข้งได้แล้ว

ช่วงแรกๆ รัฐบาลจีน ลด แลก แจก แถม กันสุดเหวี่ยงเพื่อให้คนจีนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าในระเทศ

รวมถึงสนับสนุนรถรับจ้างเช่นแท็กซี่จากอดีตที่เน้นแบรนด์ “โฟล์กสวาเกน” มาเป็นค่ายจีนแทน

หนึ่งในค่ายส้มหล่นคือ “BYD” ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของจีน ที่หันมาผลิตรถยนต์แบรนด์ตัวเอง

น่าตกใจคือรถไฟฟ้ารุ่นแรกของ “BYD” ออกมาเมื่อปี 2010 นี่เอง

ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเพียง 10 กว่าปีผ่านไป “BYD” เป็นค่ายรถยนต์ไฟฟ้าระดับท็อปของโลกไปแล้ว

จากนั้นมีแบรนด์จีนอื่นๆ ตามออกมาจำนวนมาก และติดท็อป 20 ของโลก หลายเจ้าด้วยกัน

ซีอีโอนิสสันและซีอีโอฮอนด้าลงนามบันทึกความเข้าใจความร่วมมือเชิงยุทธศาสตร์ เมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2024 (ภาพโดย Richard A. Brooks / AFP)

การก้าวกระโดดของรถ EV จีน บวกกับความสำเร็จของค่ายอเมริกาอย่าง “Tesla” ส่งผลต่อยอดขายรถแบรนด์อื่นๆ ทั่วโลก

ค่ายญี่ปุ่นที่ตอนแรกเหมือนให้ความสำคัญกับรถ EV ไม่มากนัก ท้ายที่สุดต้านกระแสไม่ไหว

อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ไม่พ้นต้นทุนการผลิตที่สูงเกินไป รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยี

สังเกตได้ว่ารถ EV แบรนด์ญี่ปุ่น หากเทียบเซ็กเมนต์เดียวกันแพงว่ารถจีนเกือบทั้งหมด

ไม่ต้องอื่นไกล เช่น Nissan Leaf หรือ Honda e:N1 รถ EV ที่จำหน่ายในไทย ราคาแตะล้านกลางๆ

เมื่อหันมามองรถจีนในเซ็กเมนต์เดียวกันที่จำหน่ายในประเทศไทย หลายยี่ห้อสามารถหาซื้อได้ในราคาต่ำล้าน

ในเมื่อแต่ละแบรนด์ต้องเหนื่อยหนักหากเดินหน้าสู้ตามลำพัง การรวมตัวกันจึงเป็นทางออกที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง

ในอดีตความร่วมมือระหว่างค่ายรถเกิดขึ้นหลายครั้ง ทั้งแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี แลกเปลี่ยนสายพานการผลิต หรือกระทั่งเข้าถือหุ้นไขว้กัน

การรวมตัวของค่ายรถจะได้เปรียบหลายๆ เรื่อง เช่น ต้นทุนการผลิต การพัฒนา และอื่นๆ รวมถึงสามารถใช้เทคโนโลยีเด่นๆ ของแต่ละค่ายได้ด้วย

 

หลังจากเจรจากันมาพักใหญ่ ในที่สุดช่วงปลายเดือนธันวาคม 2567 ฮอนด้า มอเตอร์ นิสสัน มอเตอร์ และมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประกาศความร่วมมือก่อตั้งบริษัทร่วมทุน หรือโฮลดิ้ง

นโยบายหลักศึกษาความเป็นไปได้เชิงกลยุทธ์ ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และการเคลื่อนที่อัจฉริยะ

จากแผนงานจะสรุปการควบรวมกิจการกันให้เรียบร้อยกลางปี 2568

จากนั้นนำบริษัทโฮลดิ้ง เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในไตรมาส 3 ปี 2569

ความน่าสนใจของโฮลดิ้ง ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่พ้นเป็นอีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ของวงการยานยนต์โลก

เพราะตัวเลขยอดผลิต-ขายของแต่ละค่ายรวมกันราวๆ 8 ล้านคัน

เมื่อรวมกันจะกลายเป็นอันดับ 3 ของโลก ต่อจากโตโยต้า และโฟล์กสวาเกน

และอาจดึงค่ายรถจากยุโรป-อเมริกา มาร่วมแจมด้วย

เพราะฮอนด้าเป็นพันธมิตรกับค่าย GM หรือเจเนอรัล มอเตอร์

ขณะที่นิสสันกับมิตซูบิชิ เป็นพันธมิตรกับ Renault

ที่ผ่านมาทั้ง 2 ฝ่ายกับพันธมิตร ริเริ่มพัฒนารถยนต์ EV แบตเตอรี่ และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ มาพักใหญ่แล้ว

เชื่อได้ว่าภายใน 1-2 ปีจากนี้ โฮลดิ้งของทั้ง 3 บริษัทน่าจะมีความเคลื่อนไหวให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น

แน่นอนว่าสงครามรถยนต์ไฟฟ้าจะยิ่งเข้มข้น และฟาดฟันกันสนุกแน่นอน •

 

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต

[email protected]