ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ยานยนต์ |
ผู้เขียน | สันติ จิรพรพนิต |
เผยแพร่ |
เป็นประเด็นร้อนแรงอย่างยิ่งในช่วงปลายปี 2567 และลากยาวต่อถึงปีนี้
เมื่อ 3 ค่ายรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่น “ฮอนด้า-นิสสัน-มิตซูบิชิ” ประกาศผนึกกำลังรวมกันเพื่อบุกตลาดรถยนต์ไฟฟ้า หรือ EV เต็มรูปแบบ
เพราะทราบกันดีว่าในช่วงหลายปีที่ผ่านมา ยอดขายรถยนต์แบรนด์ญี่ปุ่นและยุโรป ได้รับผลกระทบอย่างมากจากการเข้ามาของรถ EV แบรนด์จีน
แม้หลายๆ ค่ายจะพยายามผลักดันเทคโนโลยีรถยนต์ EV ให้ล้ำหน้าไปเรื่อยๆ
แต่ปัญหาไม่พ้นต้นทุนการผลิตที่ค่ายจีนต่ำกว่ามาก
เนื่องจากเฉพาะในประเทศตัวเอง ก็สามารถสร้างยอดขายได้ถล่มทลาย ยิ่งผลิตมาก ต้นทุนต่อหน่วยยิ่งลดลง
ค่ายยุโรปยังไม่เท่าไหร่ครับ เพราะเน้นตลาดระดับบน บวกกับวางแผนเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์สันดาปภายใน มาเป็นพลังงานอื่นทั้งไฮบริด และ EV มาพักใหญ่แล้ว
แตกต่างจากค่ายญี่ปุ่นที่แม้จะซุ่มพัฒนาเครื่องยนต์ EV มานานแล้วก็ตาม แต่เอาจริงๆ ด้วยระบบการทำงานและวัฒนธรรมองค์กรที่ค่อนข้างจะช้าแต่ชัวร์
ไม่เพียงเท่านั้น ยังเทน้ำหนักส่วนหนึ่งไปพัฒนารถยนต์พลังาน “ไฮโดรเจน” อีกด้วย
ทำให้โดนค่ายจีนแซงหน้าไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะการพัฒนาแบตเตอรี่ ที่ถือเป็นหัวใจสำคัญของรถยนต์ EV
ในอดีตแบตเตอรี่จีนความจุไม่มากนัก แต่ปัจจุบันรถบางรุ่นชาร์จทีเดียววิ่งได้เกือบพันกิโลเมตรหรือมากกว่านั้นก็มี
ทำให้ปัจจุบันจีนเป็นหนึ่งในประเทศผู้นำการผลิตแบตเตอรี่รถ EV
มีอีกปัจจัยหนุนเสริมให้รถ EV จีน พัฒนาอย่างรวดเร็วและร้อนแรง มาจากการสนับสนุนจากภาครัฐ ทั้งรัฐบาลกลางและท้องถิ่น
หลายๆ แบรนด์ชั้นนำของจีน มีรัฐบาลท้องถิ่นเข้ามาถือหุ้นด้วย
ตลาดรถยนต์ในจีนนั้นก็ไม่ต่างจากหลายๆ ประเทศ ที่เริ่มจากการให้ต่างชาติทั้งยุโรป และญี่ปุ่น เข้ามาผลิตและจำหน่าย
แต่ด้วยข้อเด่นที่มีประชากรจำนวนมาก และการเติบโตทางเศรษฐกิจร้อนแรง ถึงขนาดตัวเลขจีดีพี เติบโตระดับ 2 หลัก ต่อเนื่องนับสิบปี
ทำให้รัฐบาลจีนวางเงื่อนไข บริษัทต่างชาติต้องให้บริษัทจีนเข้ามาถือหุ้นร่วมด้วย
จนเมื่อพัฒนาไปถึงจุดหนึ่ง บวกกับปัญหามลพิษทางอากาศที่รุนแรงขึ้น
รัฐบาลจีนจึงมีดำริต้องการสร้างแบรนด์ตัวเองให้แข็งแกร่ง และมุ่งไปยังขุมพลังไฟฟ้า เพราะไม่ปล่อยควันเสีย
อีกประเด็นก็คือผู้นำจีนมองว่าหากผลิตรถเครื่องยนต์อื่นๆ ยากจะตามทันยุโรปและญี่ปุ่น
มีแต่รถ EV นี่แหละที่ในตอนนั้นยังไม่เป็นที่นิยม
และเพราะจีนมีประชากรจำนวนมาก ถึงแม้ช่วงแรกผลิตแล้วส่งออกไม่ได้ ลำพังขายในประเทศก็ยืนด้วยลำแข้งได้แล้ว
ช่วงแรกๆ รัฐบาลจีน ลด แลก แจก แถม กันสุดเหวี่ยงเพื่อให้คนจีนหันมาใช้รถยนต์ไฟฟ้าในระเทศ
รวมถึงสนับสนุนรถรับจ้างเช่นแท็กซี่จากอดีตที่เน้นแบรนด์ “โฟล์กสวาเกน” มาเป็นค่ายจีนแทน
หนึ่งในค่ายส้มหล่นคือ “BYD” ผู้ผลิตแบตเตอรี่รายใหญ่ของจีน ที่หันมาผลิตรถยนต์แบรนด์ตัวเอง
น่าตกใจคือรถไฟฟ้ารุ่นแรกของ “BYD” ออกมาเมื่อปี 2010 นี่เอง
ไม่เชื่อก็ต้องเชื่อว่าเพียง 10 กว่าปีผ่านไป “BYD” เป็นค่ายรถยนต์ไฟฟ้าระดับท็อปของโลกไปแล้ว
จากนั้นมีแบรนด์จีนอื่นๆ ตามออกมาจำนวนมาก และติดท็อป 20 ของโลก หลายเจ้าด้วยกัน

การก้าวกระโดดของรถ EV จีน บวกกับความสำเร็จของค่ายอเมริกาอย่าง “Tesla” ส่งผลต่อยอดขายรถแบรนด์อื่นๆ ทั่วโลก
ค่ายญี่ปุ่นที่ตอนแรกเหมือนให้ความสำคัญกับรถ EV ไม่มากนัก ท้ายที่สุดต้านกระแสไม่ไหว
อย่างไรก็ตาม ปัญหาใหญ่ไม่พ้นต้นทุนการผลิตที่สูงเกินไป รวมถึงการพัฒนาเทคโนโลยี
สังเกตได้ว่ารถ EV แบรนด์ญี่ปุ่น หากเทียบเซ็กเมนต์เดียวกันแพงว่ารถจีนเกือบทั้งหมด
ไม่ต้องอื่นไกล เช่น Nissan Leaf หรือ Honda e:N1 รถ EV ที่จำหน่ายในไทย ราคาแตะล้านกลางๆ
เมื่อหันมามองรถจีนในเซ็กเมนต์เดียวกันที่จำหน่ายในประเทศไทย หลายยี่ห้อสามารถหาซื้อได้ในราคาต่ำล้าน
ในเมื่อแต่ละแบรนด์ต้องเหนื่อยหนักหากเดินหน้าสู้ตามลำพัง การรวมตัวกันจึงเป็นทางออกที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
ในอดีตความร่วมมือระหว่างค่ายรถเกิดขึ้นหลายครั้ง ทั้งแลกเปลี่ยนเทคโนโลยี แลกเปลี่ยนสายพานการผลิต หรือกระทั่งเข้าถือหุ้นไขว้กัน
การรวมตัวของค่ายรถจะได้เปรียบหลายๆ เรื่อง เช่น ต้นทุนการผลิต การพัฒนา และอื่นๆ รวมถึงสามารถใช้เทคโนโลยีเด่นๆ ของแต่ละค่ายได้ด้วย
หลังจากเจรจากันมาพักใหญ่ ในที่สุดช่วงปลายเดือนธันวาคม 2567 ฮอนด้า มอเตอร์ นิสสัน มอเตอร์ และมิตซูบิชิ มอเตอร์ส ประกาศความร่วมมือก่อตั้งบริษัทร่วมทุน หรือโฮลดิ้ง
นโยบายหลักศึกษาความเป็นไปได้เชิงกลยุทธ์ ยานยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังงานไฟฟ้า และการเคลื่อนที่อัจฉริยะ
จากแผนงานจะสรุปการควบรวมกิจการกันให้เรียบร้อยกลางปี 2568
จากนั้นนำบริษัทโฮลดิ้ง เข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ฯ ภายในไตรมาส 3 ปี 2569
ความน่าสนใจของโฮลดิ้ง ที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่พ้นเป็นอีกหนึ่งยักษ์ใหญ่ของวงการยานยนต์โลก
เพราะตัวเลขยอดผลิต-ขายของแต่ละค่ายรวมกันราวๆ 8 ล้านคัน
เมื่อรวมกันจะกลายเป็นอันดับ 3 ของโลก ต่อจากโตโยต้า และโฟล์กสวาเกน
และอาจดึงค่ายรถจากยุโรป-อเมริกา มาร่วมแจมด้วย
เพราะฮอนด้าเป็นพันธมิตรกับค่าย GM หรือเจเนอรัล มอเตอร์
ขณะที่นิสสันกับมิตซูบิชิ เป็นพันธมิตรกับ Renault
ที่ผ่านมาทั้ง 2 ฝ่ายกับพันธมิตร ริเริ่มพัฒนารถยนต์ EV แบตเตอรี่ และระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติ มาพักใหญ่แล้ว
เชื่อได้ว่าภายใน 1-2 ปีจากนี้ โฮลดิ้งของทั้ง 3 บริษัทน่าจะมีความเคลื่อนไหวให้เห็นเป็นรูปธรรมมากขึ้น
แน่นอนว่าสงครามรถยนต์ไฟฟ้าจะยิ่งเข้มข้น และฟาดฟันกันสนุกแน่นอน •
ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022