ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
ผู้เขียน | ภาสกร ประมูลวงศ์ |
เผยแพร่ |
สมัยที่นิก เดรก (Nick Drake) ยังมีชีวิต เขาเองไม่ได้โด่งดัง หรือพราวเสน่ห์ หรือร่ำรวย งานเพลงก็ขายได้แค่หยิบมือ
ถือเป็นนักดนตรี (อีกคน) ที่มาก่อนกาล ด้วยดนตรีในแนวไซคีเดอลิกโฟล์ก เนื้อหาฟังแล้วต้องคิดหลายซับหลายซ้อนชวนปวดกบาล แถมไม่มีท่อนฮุกติดหู เนื้อหาว่าด้วยเรื่องความคิดเชิงปรัชญาเป็นหลัก
ทว่า ในบรรดาแผ่นเสียงหยิบมือที่ว่าดันไปตกอยู่กับคนที่ถูกจริต จนกลายเป็นแรงบันดาลใจให้กับศิลปินรุ่นน้องอย่าง เดอะเคียวร์ อาร์อีเอ็ม เคต บุช พอล เวลเลอร์ เรื่อยไปจนถึง เอมี่ มานน์
นิก เดรก ยักแย่ยักยันกับอาชีพนักดนตรีจนถึงอายุแค่ 26 ผลิตงานสามอัลบั้ม ขณะกำลังวางแผนทำงานชุดที่สี่ เขาเสียชีวิตด้วยการอัพยาเกินขนาด
ถ้าจะมีป้ายจารึกบนหลุมศพ คำคำนั้นน่าจะถูกเขียนว่า “วินเซนต์ แวนโก๊ะ แห่งเสียงเพลง”
เพราะการจากไปของเขาคือจุดกำเนิดอย่างไม่เป็นทางการของเพลงแนวอัลเทอร์เนทีฟ ที่ดังกระหึ่มทั่วโลกในอีกหลายทศวรรษต่อมา
นั่นเกิดจากการบ่มเพาะคลี่คลายรูปแบบจากศิลปินไม่ต่ำกว่าสองรุ่น
เอาใกล้กว่านั้นหน่อย โศกนาฏกรรมของนิก เดรก ให้กำเนิดเพลงขึ้นมาหนึ่งบท ที่ไม่น่าเชื่อคือ ถึงเป็นเพลงที่ได้แรงบันดาลใจจากเขามาเต็มๆ หากแต่เนื้อร้องและท่วงทำนองกลับไม่มีอะไรเชื่อมโยงถึงตัวนิกโดยตรง
แปลก…แล้วมันพูดถึงอะไร?
ถ้าใครทัน The Tube รายการทีวีสุดฮิตของอังกฤษในช่วงปี 1982 ได้ คงพอจะจำพิธีกรชายหน้าหวานผมยาวสลวยนาม นิก แลรด์ โคลวส์ (Nick Laird-Clowes)
โดยนิกนั้นหาใช่เป็นพิธีกรขวัญใจสาวๆ แต่เพียงอย่างเดียว เขายังเป็นศิลปินและคนเขียนเพลงฝีมือดีอีกด้วย
คืนหนึ่งในห้องขณะพักถ่ายทำรายการโทรทัศน์ (The Tube บันทึกภาพที่เมืองนิวคาสเซิล) นิกกับเพื่อนซี้ กิลเบิร์ต แกเบรียล (Gilbert Gabriel) นั่งมองกีตาร์สองตัวในมุมห้อง เร็วเท่าความคิดเขาหยิบมันขึ้นมาแล้วตีคอร์ดเปล่า
“ตัวหนึ่งสายขาดเหลือแค่สามสายก็พอเล่นได้ แต่ไม่เป็นเพลง อีกตัว เป็นกีตาร์ที่อยู่บนหน้าปกอัลบั้ม Bryter Layter ของนิก เดรก ซึ่งผมซื้อต่อจากเพื่อนมา 100 ปอนด์ กะเก็บสะสมไว้บูชาครู ห้วงเวลานั้น ผมคิดว่าต้องมีใครกำลังเล่นตลกแน่ๆ คุณว่ามันเป็นเรื่องบังเอิญไหมล่ะ? ผมหวนคิดถึงเพลงในแบบของนิก เดรก โดยมีฮุกเป็นเสียงประสานแบบแอฟริกา” นิกให้สัมภาษณ์ไว้กับนิตยสาร MOJO (ถ้าใครเจอช่วยอุดหนุนหน่อยนะครับ สถานการณ์ตอนนี้ไม่ค่อยดี ผมเจอฟิล อเล็กซานเดอร์ บก.บห. เขาบอก ถ้าไม่ได้รายการวิทยุ MOJO Music ช่วยประคองไว้ ป่านนี้เอากระดาษไปพับถุงกล้วยแขกขายนานแล้ว)
“ผมจำได้ชัดเจนเหมือนเหตุการณ์เพิ่งเกิดเมื่อวาน ผมถ่ายรายการ The Tube ละแวกไทน์ไซต์ บังเอิ๊ญ เพื่อนผม เจฟฟ์ วอนฟอร์ (Geoff Wonfor) ดันมาถ่ายสารคดี The Beatles Anthology พอดี เขายื่นหนังสือพิมพ์ให้ผมอ่าน พาดหัวเป็นข่าวคนตกงานเพราะโรงต่อเรือเลิกกิจการ ล้อมกรอบด้วยเรือร้างเหมือนคนสูญสิ้นความหวัง ภาพนั้นมันฝังหัวจนสลัดไม่ออก จนเมื่อมาบวกกับความระลึกถึงนิก เดรก กลายเป็นแรงบันดาลใจประมาณถ้านิกรับรู้ข่าวนี้ เขาจะสื่อสารมันอย่างไร?”
นิก เดรก ไม่มีโอกาสได้สื่อสารอะไรได้เลยเพราะเสียชีวิตไปแล้ว สิ่งที่เราคนฟังรับทราบก็คือ เรื่องราวถูกถ่ายทอดเป็นเพลง Life in a Northern Town โดยมีลักษณะการเขียนแบบ Slide Of Life (ฉากชีวิตที่เรียงต่อกัน) ซึ่งเป็นงานถนัดสไตล์ นิก เดรก อันเป็นรากฐานของอัลเทอร์เนทีฟทั้งมวล
Life in a Northern Town ได้รับการบันทึกเสียงสองครั้ง
ครั้งแรกทำตามมีตามเกิดแก้คันแถมไม่มีชื่อเพลงอย่างเป็นทางการ “ผมเอาไปให้พอล ไซม่อน ฟัง” นิก แลรด์ โคลวส์ กล่าว
“เขาชอบมาก ถามว่าเพลงน้องชื่ออะไร”
ผมก็ตอบเก้ๆ กังๆ ไปว่า “เฮ มามามามามา” ตามเสียงคอรัสแบบแอฟริกาในท่อนฮุก
“ไม่เวิร์กว่ะ” พอล ไซม่อน หล่นความเห็น “งั้นผมเปลี่ยนก็ได้วะ เป็น Morning Lasted All Day” ใช่ครับ มันมาจากเนื้อเพลงท่อนหนึ่งที่เขียนได้สวยงามหมดจด
“ก็ไม่เวิร์กอยู่ดีว่ะ” พอล ไซม่อน แย้ง
งั้นเอางี้ Life in a Northern Town เจอลูกนี้เข้าไป พอล ไซม่อน หัวเราะในลำคอ “แจ่มว่ะ เป็นชื่อที่โคตรดี”
การบันทึกเสียงครั้งที่สองและเป็น Official Production ได้รับการดูแลโดยโปรดิวเซอร์เอกอุระดับพระกาฬ สมาชิกและผู้ก่อตั้งพิงค์ ฟลอย นาม เดวิด กิลมอร์ (David Gilmour) จนเป็นที่โจษจันในหมู่นักฟังเพลงว่า นี่คือ Pink Floyd ในเวอร์ชั่นที่ไม่ต้องปีนกระไดฟัง
ยิ่งได้เคต เซนต์ จอห์น (Kate St. John ผมเจอหนก่อนที่อังกฤษ ตัดผมสั้นจำแทบไม่ได้ แต่เจ๊ยังสวยไม่สร่าง หุ่นเช้งกระเดะ แถมมีแฟนเป็นคนทำหนัง) มาร่วมวง เพิ่มเสียงแตรฝรั่ง (English Horn) กับเครื่องสายเพื่อสร้างวอลุ่มที่กระตุ้นความหวัง
เมื่อนั้นเพลงนี้ก็ขึ้นชั้นนีโอ-คลาสสิคฮิต
“ผมขอบอกอะไรอย่าง ฝากให้คิดต่อ” นิก แลรด์ โคลวส์ เอ่ยขึ้น
“คนเรามันไม่มีใครหรอกครับที่ชนะทุกสมรภูมิชีวิต ชนะบ้าง แพ้บ้าง เรื่องปกติ ท่ามกลางความพ่ายแพ้ คุณอาจเห็นคนนั่งคอตกหมดอาลัยตายอยาก นั่นเราอาจกำลังคิดผิด พวกเขากำลังคิดหาทางไปต่อต่างหาก เหมือนรถไฟที่แล่นตะบึงไปสู่จุดหมาย ระหว่างทางจะแวะพักตามสถานี มันไม่ได้หยุด แค่แวะข้างทางจนกว่าจะถึงชานชาลาสุดท้าย ฉะนั้น คำว่าลาก่อน จึงแปลได้อีกอย่างหนึ่งว่า แล้วพบกันใหม่ในสถานีถัดไป” สิ่งนั้นคือเนื้อร้องที่เขียนว่า And though he never would wave goodbye. You could see it written in his eyes as the train rolled out of sight.
ความจับจิตลึกซึ้งของเพลงนี้ คือการเล่าเรื่องที่เหมือนพาคนฟังไปดูหนังแนว Montage ภาพชีวิตที่เรียงรายต่อเนื่องโดยไม่มีบทสนทนา กลับสาธยายถึงจุดสูงสุด/ต่ำสุด สมหวัง/ผิดหวัง หัวเราะ/ร้องไห้ อิ่มหนำ/หิวโหย รัก/เกลียด ประหนึ่งคนที่ผ่านโลกมาแล้วอย่างโชกโชน ทรุดตัวนั่งบนหินก้อนเขื่อง ล้วงมือหยิบกลักไม้ขีดจากกระเป๋าเสื้อมอซอ ทันทีที่ปลายบุหรี่สว่างวาบ เมื่อนั้นเขาก็เริ่มต้นเล่าเรื่อง
The Morning Lasted All Day คำคำนี้ถูกหยิบมาใช้อีกรอบในปี ค.ศ.2014 กับอัลบั้มรวมฮิต The Morning Lasted All Day : A Retrospective คล้ายๆ นิกจะสลัดคำนี้ยังไงก็ไม่หลุด เมื่อราตรีอันมืดมิดได้จากไป มีรุ่งอรุญเข้ามาแทนที่ สิ่งมีชีวิตรวมทั้งมนุษย์ออกเดินทางตามเส้นทางที่ฝันไว้ คล้องจองกับชื่อวง The Dream Academy แล้วค่าหน่วยกิตของสถานศึกษาแห่งนี้ราคาเท่าใด? เมื่อเงิน 100 ปอนด์ หรือ 100 บาทของแต่ละคนไม่เท่ากัน และ/หรือ เวลาหนึ่งชั่วโมงของสิ่งมีชีวิตก็ยาวนานไม่เท่ากันอีก
หรือควรเปลี่ยนคำถามใหม่…ว่าเราพร้อมจะจ่ายอะไรเป็นค่าเล่าเรียน?
เหมือนมีใคร ปักตอกลิ่ม ทิ่มผิวเนื้อ ตัวสั่นเครือ เหน็บและหนาว ราวเหล็กแหลม
เรื่องแก่เก่า เถ้าอดีต กรีดทิ่มแทง ทนแร้นแค้น ไม่ร้องไห้ ให้ใครฟัง
ซ่อนเร้นกาย ไม้ใกล้ฝั่ง ดั่งเสือเจ็บ จำใจเก็บ เรื่องแย่ๆ แค่ความหลัง
มีดีบ้าง ผุดขึ้นก่อ พอประทัง ให้มีหวัง หากแน่วแน่ แค่หายใจ
อันชีวิต ปุถุชน คนเดินเท้า บางเรื่องราว ผ่านเข้ามา ถ้าไม่ไหว
เอนกายเถิด เกิดปัญญา หาทางไป ดั่งรถไฟ ที่มุ่งหน้า สถานี
หยุดชีวิต สักหน่อยก่อน วอนให้คิด ยังมีสิทธิ์ ได้ลืมตา ถ้าไม่หนี
ล้มตรงไหน ลุกตรงนั้น ทันท่วงที ไม่ก็ตาย ด้วยศักดิ์ศรี ในท่ายืน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022