AI ในปี 2025 เก่งขึ้น แพงขึ้น เจ้าเล่ห์ขึ้น

จิตต์สุภา ฉินFacebook.com/JitsupaChin

ในฐานะที่ปี 2024 เป็นปีแห่งเทคโนโลยี AI และเราก็ได้พูดถึง AI กันแทบจะไม่ว่างเว้นผ่านหน้ากระดาษของคอลัมน์ Cool Tech นี้

เมื่อขึ้นปีใหม่ ปี 2025 นี้ เรามาลองดูกันสักหน่อยไหมคะว่าเทคโนโลยี AI จะเปลี่ยนแปลงไปยังไงบ้าง ใครจะมา ใครจะไป และความทรงพลังของมันอาจจะนำพาไปสู่เหตุการณ์อะไรได้บ้าง

อ้างอิงจากบทความเรื่อง ’10 AI Predictions For 2025′ ที่ตีพิมพ์บนเว็บไซต์ Forbes โดยฉันจะเลือกหยิบมาแค่บางหัวข้อเท่านั้น

หากใครอยากอ่านเต็มๆ สามารถอ่านได้จากบนหน้าเว็บไซต์ของ Forbes ได้เลย

 

ปี 2024 ที่ผ่านมาน่าจะเป็นปีที่ OpenAI และ Google ครองพื้นที่ของการเป็นผู้ให้บริการโมเดล AI ไปได้มากที่สุดและเป็นสองเจ้าที่คนพูดถึงเยอะที่สุด โดยมี Meta ตามมาติดๆ และเปิดให้ใช้โมเดล Llama ของบริษัทได้ฟรีๆ ในขณะที่ OpenAI และ Google คิดเงินสำหรับการใช้โมเดลที่เก่งระดับแถวหน้า

ความเปลี่ยนแปลงในปีหน้าที่เราอาจจะได้เห็นคือแม้กระทั่ง Meta ก็จะเริ่มคิดค่าใช้บริการบ้างแล้วโดยอาจจะเลือกคิดค่าบริการกับบริษัทที่ใช้งานโมเดล AI ในเชิงพาณิชย์ แม้ว่าปีที่ผ่านมา Meta ก็มีการคิดค่าบริการสำหรับการใช้งานของบริษัทขนาดใหญ่จริงๆ อยู่บ้างแล้วก็ตาม แต่เราน่าจะเห็นเทรนด์นี้ได้เด่นชัดขึ้นในปี 2025

สาเหตุที่ต้องเริ่มคิดค่าบริการบ้างก็คือการทำ Large Language Model หรือ LLM เก่งๆ มีต้นทุนที่สูงมาก

Meta ต้องใช้เงินลงทุนหลายพันล้านต่อปีในการทำให้โมเดล Llama เก่งกาจในระดับที่จะกอดรัดฟัดเหวี่ยงกับคู่แข่งคนอื่นๆ ได้

ในปี 2025 นี้ คนที่ใช้งาน AI ในแบบสเกลเล็กๆ อย่างผู้ใช้งานรายบุคคล นักพัฒนา หรือบริษัทสตาร์ตอัพขนาดไม่ใหญ่ก็น่าจะยังคงใช้งานโมเดล AI แบบฟรีได้ต่อไป

แต่บริษัทใหญ่ๆ ก็จะต้องเริ่มเตรียมงบประมาณสำหรับการใช้งานไว้แล้ว ซึ่งฉันคิดว่าหลังจากนี้ไปอีกไม่นานนักแม้กระทั่งผู้ใช้งานทั่วไปถ้าอยากใช้โมเดล AI ที่เก่งพอจะทำอะไรจริงจังได้ก็น่าจะต้องเริ่มแบ่งสันปันส่วนค่าใช้จ่ายรอไว้ว่านอกจากค่าสมัครสมาชิกสตรีมมิ่งหรือการเก็บข้อมูลบนคลาวด์ที่ต้องจ่ายกันทุกวันนี้อยู่แล้ว

การจ่ายเงินเพื่อให้ได้ใช้โมเดล AI อาจจะกลายเป็นค่าใช้จ่ายจำเป็นที่ต้องควักกันทุกเดือนติดต่อไปอีกนาน

 

อีกเทรนด์ที่ Forbes ทำนายไว้อย่างน่าสนใจก็คือ ความสัมพันธ์ระหว่าง Donald Trump และ Elon Musk จะแหลกเละไม่เป็นท่าและจะส่งผลกระทบต่อโลกแห่ง AI ด้วย

รัฐบาลสหรัฐ ภายใต้การนำของ Donald Trump จะบังคับใช้นโยบายและกลยุทธ์ที่เกี่ยวข้องกับ AI หลายอย่าง และเมื่อเราได้เห็นแล้วว่า Trump กับ Musk สนิทสนมกลมเกลียวกันขนาดไหน เราก็พอจะบอกได้ว่าโลกของ AI จะเปลี่ยนแปลงไปตามทิศทางและความชอบของ Musk เป็นหลัก

สิ่งที่เห็นว่าเกิดขึ้นแล้วแน่ๆ ก็คือ Elon Musk ไม่ชอบ OpenAI ดังนั้น จึงอาจจะมีนโยบายที่ออกมาอย่างไม่เป็นมิตรหรือไม่เป็นธรรมต่อ OpenAI ซึ่งทางบริษัทก็ได้แสดงความเป็นห่วงเรื่องนี้ออกมาแล้ว อาจจะมีการเอื้อประโยชน์ให้บริษัท xAI ของ Musk อย่างการอนุมัติให้สร้างศูนย์ข้อมูล หรือเซ็นยินยอมให้ทำการทดสอบเรื่อง AI ได้ง่ายกว่าคนอื่น

อีกเรื่องก็คือ Elon Musk เป็นคนที่มีจุดยืนเรื่องความปลอดภัยในการพัฒนา AI มาอย่างยาวนาน ดังนั้น ภายใต้อิทธิพลของ Musk ก็น่าจะคาดหวังได้ว่ากฎระเบียบเรื่อง ความปลอดภัยด้าน AI ในสหรัฐจะค่อนข้างเข้มงวดเป็นพิเศษ

อย่างไรก็ตาม Forbes ก็ฟันธงว่าถ้าดูจากเทรนด์ของคนสนิทคนอื่นๆ ของ Trump ก็จะเห็นว่าไม่มีใครที่จะซื่อสัตย์กับเขาได้นานสักเท่าไหร่ จึงไม่ยากที่จะทำนายว่าปี 2025 สองคนนี้น่าจะมีเรื่องให้ผิดใจกันจนกลายเป็นการทะเลาะเบาะแว้งและแยกทางกันอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

หากความสัมพันธ์ขาดสะบั้นลง ทิศทาง AI ที่พูดถึงไปแล้วก็อาจจะถูกเปลี่ยนใหม่ทั้งหมดซึ่งอาจจะเป็นเรื่องดีสำหรับบางคนและแย่สำหรับบางคนก็ได้

 

อีกเทรนด์หนึ่งคือ Web agents ที่จะกลายเป็นแอพพ์ระดับท็อปที่ผู้บริโภคขาดไม่ได้

ในปี 2025 เราจะเข้าใกล้กับสิ่งที่เรียกว่า web agents หรือเรียกง่ายๆ ก็คือการมีผู้ช่วยสักคนที่จะจัดการธุระปะปังหลากหลายอย่างให้โดยที่เราไม่ต้องลงมือทำเอง

ไม่ว่าจะเป็นการจ่ายเงินค่าสมัครสมาชิก การจองร้านอาหาร นัดแพทย์ หรือสั่งของ ที่ตามปกติแล้วเราจะต้องเปิดแอพพ์หรือเว็บไซต์เพื่อจัดการเอง แต่เมื่อมี web agent ทำให้ เราก็อาจจะไม่ต้องเปิดแอพพ์อะไรด้วยตัวเองอีกเลย

คอนเซ็ปต์ของ web agent มีมานานหลายปีแล้ว เราได้เห็นบริษัทเทคโนโลยีสาธิตการใช้งานผู้ช่วยแบบนี้บนเวทีกันหลายต่อหลายครั้ง แต่ที่ผ่านมามันก็ไม่เคยเก่งกาจพอที่จะใช้งานได้จริงจัง

ซึ่งในปี 2025 นี้เราน่าจะเริ่มได้เห็น web agent จากหลายๆ ค่ายเริ่มเก่งพอจนสามารถใช้งานได้เป็นวงกว้าง

และมันอาจจะกลายเป็นแอพพ์ที่เหนือคู่แข่งไปแบบเทียบไม่ติด

 

ปิดท้ายด้วยการคาดการณ์ที่น่าตื่นเต้นประจำปี 2025 คือระบบ AI จะผ่านการทดสอบ Turing test for speech

Turing test หรือการทดสอบทัวริงคือการทดสอบที่ออกแบบมาเพื่อทดสอบความสามารถของเครื่องจักรหรือคอมพิวเตอร์ ตั้งชื่อตาม Alan Turing ผู้คิดค้นการทดสอบนี้

การที่ระบบ AI จะผ่านการทดสอบทัวริ่งได้ มันจะต้องสามารถสื่อสารผ่านการเขียนได้อย่างเป็นธรรมชาติจนมนุษย์ทั่วไปไม่สามารถแยกแยะได้ว่ากำลังคุยกับมนุษย์ด้วยกันหรือคุยกับระบบ AI อยู่ หรือพูดง่ายๆ ก็คือเก่งและเนียนจนตบตาคนได้

ส่วน Turing test for speech นั้นก็ยิ่งมีความท้าทายเพิ่มขึ้นไปอีก เพราะแทนที่จะทดสอบ AI ที่ความสามารถการเขียนก็จะเป็นการทดสอบที่ความสามารถในการพูดสื่อสารด้วยเสียงแทน

ดังนั้น AI จะต้องมีทักษะในการพูดสื่อสารที่เก่งกาจและไหลลื่นมากๆ ในการที่จะหลอกให้มนุษย์เข้าใจว่าตัวเองกำลังคุยกับมนุษย์อีกคนหนึ่งอยู่ได้ และจะต้องไม่มีความหน่วงหรือความช้าในการโต้ตอบไปกลับให้จับสังเกตได้ด้วย

Forbes จึงคาดหวังว่าเทคโนโลยี Voice AI จะพัฒนาอย่างรวดเร็วขึ้นได้ในปี 2025 นี้

ยังมีอีกหลายเทรนด์ที่น่าสนใจ อย่างเช่น หัวข้อเรื่องความปลอดภัยด้าน AI ที่ Forbes บอกว่า 2025 อาจจะเกิดเหตุการณ์ที่เกี่ยวกับความปลอดภัยของ AI ที่แม้จะไม่ได้เกิดขึ้นในรูปแบบของหุ่นยนต์วิ่งไล่เข่นฆ่ามนุษย์ แต่ AI อาจจะหมกเม็ด ซุกซ่อนความฉลาดหลอกสายตามนุษย์เพื่อสร้างความเสียหายอย่างใดอย่างหนึ่งให้บังเกิดขึ้น

และมันจะทำให้เราได้ตาสว่างมองเห็นภัยของ AI ที่อาจมีต่อชุมชนและสังคมได้ชัดๆ เป็นครั้งแรก