เผยแพร่ |
---|
นั่งห้อยขาคร่ำครวญที่วงกบหน้าต่างฯ | ญาณทีโป
เรื่องสั้นรางวัลรองชนะเลิศอันดับ 2 มติชนอวอร์ด 2024
ฉันได้กลิ่นหอมปริศนา ระบุชนิดไม่ได้ กลิ่นนั้นพยายามกวักมือเรียกฉัน…
ก่อนหนีออกจากบ้าน ฉันขับถ่ายของเสียจนหมดตัว หลังทำกิจกรรมบรมสุข ฉันแหงนหน้าชมนภากาศ ดวงดาวพร่างพราวทั่วแผ่นพื้นสีดำ ฉันรวบรวมสมาธิ ก่อนบรรจงสูดอากาศเต็มปอด รู้สึกถึงออกซิเจนที่วิ่งทั่วร่าง เริ่มมีชีวิตชีวา กระปรี้กระเปร่า มีกำลังวังชา
ฉันนั่งห้อยขาที่วงกบหน้าต่างชั้นสองของตัวบ้าน นึกถึงคำสอนของแม่ อย่าเอาผัวทหาร ไอ้พวกใช้ความรุนแรงกับผู้หญิงก็อย่าเอา บ้าอำนาจก็อย่าเอา ไอ้ผู้ชายไม่มีหูไม่รู้จักฟังคนอื่นก็อย่าเอา ไอ้ผู้ชายกลับกลอกก็อย่าเอา มันเชื่อไม่ได้ พูดง่ายๆ ก็คือ อย่าเอาผู้ชายอย่างพ่อมึง ฉันถอนหายใจ รู้สึกเครียด ก่อนเริ่มกำหนดลมหายใจเข้า-ออกราวยี่สิบนาที
วันนี้แปลก กลิ่นดอกลีลาวดีข้างบ้านส่งกลิ่นหอมมาถึงชั้นบน ฉันรู้มาว่ากลิ่นดอกลีลาวดีช่วยลดความกระสันอยากทางเพศ จึงนิยมนำไปปลูกในวัด เพราะเชื่อว่ากลิ่นดอกลีลาวดีจะช่วยลดความต้องการทางเพศของพระสงฆ์ได้ แม่อาจรู้เรื่องนี้ จึงจงใจปลูกมันข้างห้องนอนฉัน
ระหว่างแกว่งขาไปมา ฉันนึกถึงเวลาที่หมดไปกับการป้อนข้าวแม่ แต่ละมื้อกินเวลาเกือบชั่วโมง ข้าวแต่ละคำใช้เวลาห้าถึงสิบนาที บางคำนานกว่านั้น แม่ตัวใหญ่กว่าฉัน เวลาอุ้มแม่ขึ้นรถเข็นผู้ป่วยเพื่อไปสูดอากาศราวกับแบกก้อนหิน หนักมาก แต่ละก้าวแสนลำบากและต้องระมัดระวัง กลัวแม่ร่วงต้องประคองให้ดี กิจกรรมตรงนี้ใช้เวลาเจ็ดถึงสิบสองนาที เวลาชีวิตฉันถูกทำให้เชื่องช้าตามกิจวัตรของแม่
ระหว่างแกว่งขาไปมา ฉันนึกถึงคำบ่นด่าของยาย นับได้ประมาณหมื่นครั้ง ฉันต่อปากต่อคำแกเช่นกัน เพื่อนบ้านคงมองฉันเป็นเด็กอกตัญญูเรียบร้อยแล้ว แต่ใครจะเข้าใจความรู้สึกฉัน…
เหนื่อยใจฉิบหาย…
คืนนี้กลับไม่รู้สึกกลัวความสูง เมื่อก่อนแค่ชะโงกหน้าจากชั้นสี่ของอาคารเรียนก็หายใจไม่ทั่วท้อง ใจหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เหงื่อเม็ดโตผุดทั่วใบหน้า วันนี้ไม่รู้เอาความกล้ามาจากไหน จึงริแขวนตัวเองยังขอบหน้าต่าง รู้สึกมั่นใจในตัวเองเป็นพิเศษ สงบ รื่นรมย์ เป็นอิสระ ฉันเพียงอยากนั่งอยู่ตรงนี้ หากเป็นไปได้คงใช้เวลาสักหนึ่งถึงสองชั่วโมง เพื่อคร่ำครวญอะไรบางอย่าง
ลมวูบหนึ่งโชยพัดใบหน้า หอบความชื้นพายุฝนเมื่อคืนวานมาพร้อมกับกลิ่นดินกลิ่นหญ้า ฉันก้มลงมองกรงเหล็กดัดที่ถูกถีบลงไปกองยังพื้น ไม่ใช่ฝีมือฉันคนเดียวหรอก เวลาต่างหากที่ลงแรงกัดกร่อนกระทั่งมันมีสภาพปกป้องใครไม่ได้ ฉันเพียงไขน็อตบางตัวออก หลังจากนั้นยืนบนเตียงนอน และใช้เท้าถีบช่วงที่ฝนฟ้าคะนอง กรงเหล็กดัดก็ลงไปกองข้างล่างและไม่เกิดเสียงดัง
ฉันไม่ชอบกรงเหล็กดัดติดหน้าต่างห้องนอนและอะไรอีกหลายอย่างในบ้านหลังนี้ กรงเหล็กดัดเหมือนกรงขัง ประหนึ่งติดคุก และอีกอย่างรูปลักษณ์มันเชย ซ้ำยังเป็นต้นเหตุให้ฉันกับพ่อมีปากเสียงกัน ฉันเคยบอกพ่อให้ช่วยถอดมันออกไปที พ่อกลับบอกว่ามันมีไว้เพื่อความปลอดภัยและป้องกันขโมย ฉันถามกลับหากไฟไหม้บ้านล่ะ หากโจรอุกอาจเข้ามาทางหน้าบ้านแล้วพังประตูห้องเข้ามาฉันจะหนีไปทางไหน “ของมันอยู่ดีๆ จะไปถอดมันทำไม” ยายซึ่งนอนติดเตียงและได้ยินบทสนทนาพูดแทรกขึ้น
ใช่! ยายยังยึดติดกับสภาพแวดล้อมเดิมๆ คนแก่ก็แบบนี้แหละ
ฉันเข้าใจความเป็นห่วงเป็นใยของผู้ใหญ่ ทว่า ภาพจำเกี่ยวกับหัวขโมยของพวกแกคงหนีไม่พ้นชายใส่ชุดม่อฮ่อมปกปิดใบหน้าด้วยผ้าขาวม้า พาดบันไดที่ขอบหน้าต่าง และปีนขึ้นมาปล้นและข่มขืน ซึ่งสมัยนี้มันไม่มีกันแล้ว ปัจจุบันเขาโจรกรรมเงินด้วยการโทรศัพท์เพียงแค่ครั้งเดียว
แต่แง่มุมน่ารักและความเป็นคนตรงๆ ของคนโบราณที่น่าสนใจก็มี จำไม่ได้ว่ารับรู้มาจากไหน ไม่จากยูทูบก็จากหนังสือสักเล่ม คนหนุ่มสาวสมัยก่อนเขามักนัดเจอกันที่งานวัด (ไม่ใช่ห้างสรรพสินค้า โรงหนัง ร้านกาแฟ ผับ หรือมหา’ลัย เหมือนทุกวันนี้) หากรักใครชอบใครฝ่ายชายจะบอกฝ่ายหญิงว่า “จะขึ้นไปหา” ขึ้นไปหาก็คือการพาดบันไดไปยังขอบหน้าต่างห้องนอนฝ่ายหญิงและปีนขึ้นไป หากฝ่ายหญิงยินยอมจะเปิดหน้าต่างรอไว้ แต่หากไม่ เธอจะปิดหน้าต่างและไปนอนห้องพ่อแม่ ส่วนฝ่ายชายการจะขึ้นหาฝ่ายหญิงต้องเปลื้องผ้าออกหมด เพื่อให้แตกต่างจากพวกโจรปล้นฆ่า ฉันชอบภูมิปัญญาในส่วนนี้ เพราะถือว่าเป็นการเคารพการตัดสินใจของฝ่ายหญิง
ฉันมองไปยังกำแพงบ้าน พบเศษขวดเศษแก้วแหลมคมเรียงรายเหนือขอบกำแพง เป็นภูมิปัญญาที่ควรหมดไปได้แล้ว เพราะมันดูน่ากลัวและไม่สบายตา ฉันคิดว่ามันเชย และทำให้รู้สึกขายหน้าทุกครั้งเมื่อมีคนมองเข้ามา
ก่อนหน้านี้ฉันคิดว่าหากเรียนจบสูงๆ และมีงานทำ ฉันจะทยอยซ่อมแซมบ้านให้น่าอยู่ ทว่า ทุกอย่างต้องพังลง เมื่อบ้านกลายสภาพเป็นเรือนจำ
ฉันเคยคิดเล่นๆ ว่าอยากพาดบันไดไม้ไผ่และปีนขึ้นไปบนหลังคา หลังจากนั้นหามุมเหมาะๆ ถอยหลังเล็กน้อย ก่อนวิ่งและพุ่งตัวไปในอากาศ จุดหมายคือใช้พุงพาดไปยังขอบกำแพง ปล่อยให้คมกระเบื้องชำแรกหน้าท้องอ่อนนุ่ม ทิ่มตำอวัยวะภายใน ความรู้สึกแรกคงชา ตามมาด้วยจุกเสียด หลังจากนั้นความเจ็บสะท้านคงแพร่กระจ่ายไปทั่วร่าง ฉันอาจหน้ามืดเพราะเสียเลือดมาก และค่อยๆ หมดสติไป
ฉันกลายเป็นประติมากรรมสยดสยอง กำแพงถูกราดรดด้วยเลือดสีแดงสด ฉันภาวนาให้วิญญาณมีลักษณะเหมือนลม เพื่อจะได้ล่องลอยออกไปจากบ้านหลังนี้
ฉันคิดเรื่องการตายของตัวเองกี่ครั้งกัน ไม่แน่ชัดในจำนวน…
ฉันได้กลิ่นหอมปริศนา ระบุชนิดไม่ได้ กลิ่นนั้นกำลังอ้าแขนรอฉัน…
บ้านหลังนี้เก่าโทรมและอุดมไปด้วยคนป่วย ฉันติดแหง็กอยู่ระหว่างชายแดนความแก่เฒ่าและความตาย ฉันเด็กอายุสิบแปด ให้ตายเถอะ! ทำไมต้องเป็นฉันที่ถูกคุมขังทั้งที่ไม่มีความผิด
พี่สาวฉันมีอิสระมากกว่าฉัน เธอรับราชการครูอยู่ต่างจังหวัด คอยส่งเสียดูแลค่าใช้จ่ายภายในบ้านทั้งหมด นานครั้งจะกลับมาเยี่ยมบ้าน
พี่สาวบอกว่าหลังฉันเรียนจบมัธยมปลายให้หยุดเรียนก่อน เพื่อเธอจะได้เก็บเงินสักก้อนเป็นทุนการศึกษา ฉันคิดว่าเป็นเหตุผลที่พอรับฟังได้ เพราะพี่สาวต้องหาเงินจุนเจือครอบครัวลำพัง
ระหว่างเอ้อระเหยใช้ชีวิตหลังเรียนจบไปวันๆ ฉันก็คิดได้ว่าทำไมไม่ให้ฉันออกไปหางานทำเพื่อแบ่งเบาภาระ ระหว่างทำงานอาจเรียนควบคู่กันไปด้วย ขณะอธิบายความน่าจะเป็นอื่นๆ ให้พี่สาวฟัง เธอก็หลุดคำพูดมาว่า “แล้วใครจะดูแลแม่กับยาย ที่บ้านมีแต่คนแก่แถมเจ็บป่วย” ครั้นได้ฟัง ฉันจึงรู้เหตุผลที่แท้จริงของพี่สาว ที่ไม่ต้องการให้ฉันเรียนต่อระดับมหาวิทยาลัย ฉันรู้สึกโกรธ เพราะอิสรภาพกวักมือเรียกอยู่เบื้องหน้า ทว่า กรงขังล่องหนได้ล้อมฉันไว้เสียก่อน
ฉันตกอยู่ในกิจกรรมซ้ำซาก ในแต่ละวันคือภาพถ่ายเลียนแบบของเมื่อวาน ฉายซ้ำวนเวียนไม่สิ้นสุด ฉันคงตายอยู่ในวงล้อความซ้ำเดิม ฉันเริ่มกัดเล็บหัวแม่มือเมื่อถูกพ่อใช้ให้เช็ดขี้เช็ดเยี่ยวแม่ ฉันเริ่มเอาหัวโขกผนังเมื่อถึงเวลาเช็ดตัวให้ยาย และฉันเริ่มหาวิธีการตายของตัวเองเมื่อแม่ละเมอเพ้อพกถึงคนที่ตายไปแล้วตอนดึกดื่น เสียงแม่ดังไปถึงชั้นบน
เมื่อคิดไม่ตก ความเครียดขึงพืดความคิด ฉันเริ่มสาปแช่งสถานการณ์ที่เผชิญ ด่าทอโชคชะตา และประณามอาการป่วยไข้ของคนในบ้าน ฉันรู้สึกมืดแปดด้าน
ฉันภาวนาให้วิญญาณมีลักษณะคล้ายลม เพื่อจะได้ล่องลอยไปจากบ้านหลังนี้…
ระหว่างที่อยู่ในบ้านหลังนี้ ฉันต้องป้อนข้าว เช็ดตัว ขจัดของเสีย ทั้งของแม่และยาย ส่วนพ่อมักพาตัวเองออกไปนอกบ้านเสมอ แม่เป็นเนื้องอกบริเวณกระดูกสันหลังและเป็นโรคพาร์กินสัน ส่วนยายเป็นโรคชราและล้มในห้องน้ำกระทั่งไม่สามารถกลับมาเดินได้อีก ทุกขั้นตอนของการดูแลคนป่วยช่างเชื่องช้าและยาวนาน ราวกับเวลาถูกแช่แข็ง ฉันต้องต่อสู้อย่างหนัก ทั้งความดื้อดึงของแม่ และความเอาแต่ใจของยาย ฉันต้องประคับประคองความอดทนของตัวเองให้มีมากที่สุด เพราะทุกกิจกรรมที่ปฏิบัติต่อคนป่วยมันไม่ง่ายเลย เป็นต้นว่า ฉันจะป้อนข้าวแม่ แต่แม่กลับเหม่อลอย ไม่ยอมอ้าปาก โอ้โลมก็แล้ว แสร้งดุก็แล้ว แต่แม่ก็ไม่ยอมอ้าปากกินอาหาร บางมื้อแม่ยอมอ้าปากกิน ทว่า เคี้ยวได้สักพักก็คายออกมา ฉันหลุดคำพูดแรงๆ ออกไป พลันน้ำตาซึม
ส่วนยาย ฉันต้องพลิกตัวแกบ่อยๆ เพื่อไม่ให้เกิดแผลกดทับ ฉันพยายามเบามือทุกขั้นตอน ทว่า แกกลับร้องโอดโอยด้วยความเจ็บปวด และตะโกนเรียกเพื่อนบ้านให้มาช่วย บอกว่าฉันกำลังจะฆ่าแก ฉันเหนื่อย ฉันแอบร้องไห้ และไม่รู้จะรับมืออย่างไร เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นแทบทุกวัน ทางออกยังคงเป็นปริศนา ฉันจัดการกับความรู้สึกตัวเองไม่ได้ สะเปะสะปะไปหมด
ทุกครั้งที่ฉันเสียใจอยู่ในบ้านหลังนี้ ฉันจะพาตัวเองไปยังห้องนอน หลังจากนั้นพันตัวเองด้วยผ้าห่มตั้งแต่หัวจรดเท้า กรี๊ดออกมาดังๆ หรือไม่ก็แอบร้องไห้ บางวันฉันพาร่างดักแด้มุดไปอยู่ใต้เตียง บางวันพาไปยืนพิงเสาบ้าน บางวันใช้สองเท้าเกาะขอบหน้าต่างและห้อยหัวลงมา
ทุกครั้งที่ฉันแปลงกายเป็นดักแด้ ฉันจะอดอาหาร
เช้าวันหนึ่งขณะฉันกำลังเช็ดตัวให้ยาย ส่วนพ่อเป็นคนป้อนข้าวแม่ อย่างเคย แม่มีอาการเหม่อลอยและไม่ยอมอ้าปาก พ่อพยายามป้อนข้าวให้แม่กิน จนแล้วจนรอดแม่ก็ไม่ยอมอ้าปาก แล้วเหตุการณ์ไม่คาดคิดก็เกิดขึ้น พ่อตบหน้าแม่ ก่อนวางจานข้าวและเดินออกจากบ้านไป ฉันหันมองหน้าแม่ เห็นหยดน้ำตาค่อยๆ ไหลอาบสองแก้ม ฉันสะท้านในอก น้ำตาคลอ สะเทือนใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ลังเลว่าควรโทร.บอกเรื่องนี้กับพี่สาวไหม แต่เลือกเก็บงำ เพราะคิดว่าพี่สาวเหนื่อยมากพอแล้วกับการหาเงินมาเลี้ยงทุกคนในครอบครัว ไหนจะเรื่องงานที่พี่มักโทร.บ่นให้ฟัง
แม่ถูกพ่อตบหน้าอีกหลายหน แต่ที่ตลกก็คือ รุ่งเช้าแม่จะลืมทุกอย่าง และกลับมาพูดคุยกับพ่อตามปกติ โรคร้ายทำให้แม่ทิ้งอดีตได้รวดเร็ว แม่ลืมไปว่าพ่อเคยเอาปืนจ่อหัวแม่เพราะหึงหวง เคยทุบตีแม่เพียงเพราะแม่ซื้อเหล้าผิดยี่ห้อจากที่พ่อสั่ง พ่อให้แม่กลับไปซื้อใหม่ แม่พูดกลางวงเหล้าว่ากินยี่ห้อไหนก็เมาเหมือนกัน พ่อไล่เพื่อนๆ กลับ และเริ่มทุบตีแม่ แม่ลืมไปแล้วว่าพ่อมีเมียน้อยจนทำให้คนทั้งคู่เลิกรากัน และฉันกับพี่สาวต้องมาอาศัยอยู่กับยาย และเป็นพ่อที่ไปไม่รอดกลับมาง้อขอคืนดีกับแม่ เป็นเวลาเดียวกันกับที่แม่เริ่มมีอาการหลงๆ ลืมๆ
ทุกครั้งที่พ่อใช้ความรุนแรง ฉันไม่เคยพอใจ และรู้สึกเจ็บแค้นแทนแม่ แต่ที่น่าเจ็บใจมากกว่าก็คือ แม่ไม่เคยจดจำการใช้ความรุนแรงของพ่อได้เลย ซ้ำดูรักพ่อมากกว่าเก่า ราวกับว่าความผิดที่พ่อก่อถูกทำให้สาบสูญ ทำไมต้องเป็นฉันที่เก็บเรื่องนี้มาคิดมาก อาจเพราะฉันก็เคยโดน เมื่อครั้งรวมกลุ่มประท้วงกับเพื่อนให้ยกเลิกการใช้ความรุนแรงในโรงเรียน ดูเหมือนเวลาพวกฉันพูดอะไรออกไปพวกผู้ใหญ่และครูจะไม่ฟัง แต่เมื่อพวกฉันแสดงออกทางสัญลักษณ์โดยการวาดภาพควายใส่ชุดนักเรียนและมีข้อความใต้ภาพว่า ‘พวกฉันไม่ใช่ควาย ตีฉันทำไม’ หลังจากนั้นนำมาปริ๊นต์และแปะไปทั่วโรงเรียน ภาพดังกล่าวถูกแชร์ในโลกออนไลน์ พวกฉันก็ถูกกล่าวหาว่าทำชื่อเสียงโรงเรียนเสียหาย และมีพฤติกรรมไม่เหมาะสม ครูฝ่ายปกครองเรียกผู้ปกครองเข้าพบ พวกผู้ใหญ่คุยกันไม่นานก็เข้าใจกัน ต่างจากพวกฉันที่รู้สึกสมเพชกับการปรองดองครั้งนี้ พวกผู้ใหญ่ไม่เคยพยายามทำความเข้าใจถึงสิ่งที่พวกฉันจะสื่อเลย
หลังเกิดเรื่อง เป็นพ่อที่มาสะสางเรื่องนี้ เมื่ออยู่บนรถยนต์ ฉันถูกพ่อตบหน้าพร้อมกับคำพูดที่ว่า “กูส่งให้มาเรียน ไม่ได้ส่งให้มาสร้างปัญหา ที่กูได้ดีทุกวันนี้ก็เพราะไม้เรียวนี่แหละ”
ฉันยังจดจำทุกความรุนแรงที่เกิดขึ้นได้ ฉันไม่ลืมเหมือนแม่…
ฉันได้กลิ่นหอมปริศนา ระบุชนิดไม่ได้ กลิ่นนั้นเอียงแก้มคอยท่าฉันอยู่…
ฉันใช้เวลาว่างหลังดูแลคนป่วยจัดการบ้านให้น่าอยู่ ฉันเริ่มจากแกะภาพดารารุ่นเก่าและปฏิทินพ้นสมัยที่แขวนตามผนังออก หลังจากนั้นปัดกวาดเช็ดถูขจัดฝุ่นและหยากไย่ ระหว่างนั้นฝุ่นปลิวเข้าตาและจมูก ฉันจามติดกันสามครั้งและหลับตาปี๋ รู้สึกเคืองตาจนต้องใช้มือขยี้ ฉันค่อยๆ ประคองตัวลงจากเก้าอี้ ได้ยินเสียงหัวเราะของแม่และยาย คงขำท่าทางเงอะๆ งะๆ ของฉัน ระหว่างหันไปทางต้นเสียงและพาตัวเองไปยังห้องน้ำ หันมาอีกทีต้นขาฉันก็ชนเข้ากับมุมโต๊ะ เสียงหัวเราะของแม่และยายดังขึ้นอีกคำรบ ฉันโกรธและรู้สึกเจ็บเสียดที่ต้นขา ก่อนค่อยๆ เดินกะเผลกไปห้องน้ำ
ฉันไม่ยอมแพ้ กลับมาอีกครั้งพร้อมหน้ากากอนามัย ขยับเก้าอี้ไปยังตำแหน่งที่ต้องการ หลังจากนั้นปีนขึ้นไปอีกครั้ง กวาดตาไปยังผนัง พบภาพถ่ายบุคคลกระจัดกระจายไปทั่ว มีทั้งที่ฉันรู้จักและไม่รู้จัก บางคนตายก่อนฉันจะเกิดด้วยซ้ำ ทุกรูปเป็นภาพขาวดำ คงเกี่ยวพันกับครอบครัวฉันไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง
ฉันรู้สึกหดหู่ทุกครั้งเมื่อเข้าใกล้บริเวณนี้ เพราะรู้สึกเหมือนอยู่หน้าสุสาน ฉันเอื้อมมือพยายามปลดกรอบรูปอันหนึ่ง ขณะสอดมือไปใต้กรอบภาพ เลื่อนหาตำแหน่งจับที่เหมาะสม มือเจ้ากรรมก็ถูกเสี้ยนของกรอบรูปที่แตกหักตำ ฉันชักมือออก กรอบรูปกระทบผนังฝุ่นฟุ้งกระจาย กลิ่นความเก่าคร่ำครึพุ่งใส่จมูก ฉันสบถคำหยาบออกมา ก้มมองนิ้วที่มีเลือดซึมออกมา
ฉันรู้สึกหงุดหงิดที่การลุกขึ้นมาปรับปรุงบ้านให้ดีขึ้นมีอุปสรรค ทั้งคนในบ้านและตัวบ้านดูเหมือนจะคอยเล่นงานฉันอยู่ตลอดเวลา ขณะพาตัวเองไปล้างแผล ฉันรู้สึกโกรธแม่และยาย ทว่า แวบหนึ่งก็เข้าใจ เพราะพวกเขาอยู่กับสภาพแวดล้อมเดิมจนเคยชิน จนคิดว่ามันคือความปกติ ทั้งที่ความจริงมันเต็มไปด้วยไรฝุ่น ที่คอยทำลายสุขภาพคนในบ้าน ฉันพยายามทำให้บ้านสะอาดและน่าอยู่ กลับถูกค่อนแคะจากแม่ “มันอยู่ดีๆ ของมันอยู่แล้ว” ส่วนยายก็พูดว่า “จะไม่เหลืออะไรให้คนอื่นคิดถึงเลยเหรอ”
ฉันไม่ได้ต้องการทำลายความทรงจำของใคร เพียงแต่จะปัดกวาดมันและจัดเก็บให้เหมาะสมกับยุคปัจจุบันเท่านั้น
วันหนึ่งฉันหลีกหนีความจริงและจมหายไปในโลกออนไลน์ เพื่อนหลายคนอยู่ในชุดนักศึกษา และบางคนเริ่มต้นชีวิตวัยทำงาน ทุกคนอยู่ห่างจากจุดเดิม มีเพียงฉันที่ย่ำอยู่กับที่ ใช้คำว่า ‘ถอยหลัง’ จะถูกต้องกว่า เพื่อนวัยเดียวกันมีอนาคตให้มุ่งไปหา มีความฝันให้ไขว่คว้า มีความท้าทายให้พิสูจน์ พวกเขาได้พบเจอสภาพแวดล้อมใหม่ ความรู้ใหม่ ได้เพื่อนใหม่ ต่างจากฉันที่ติดแหง็กอยู่นี่ เวลาของฉันหยุดนิ่ง…
ยิ่งจมในโลกออนไลน์ ฉันยิ่งเห็นเพื่อนแต่ละคนเริ่มเติบโตกลายเป็นผู้ใหญ่ ไม่ใช่เด็กมัธยมอีกต่อไป บางคนแต่งตัวเซ็กซี่เช็กอินอยู่ร้านเหล้า บางคนแต่งตัวหรูหราถ่ายภาพที่ห้างสรรพสินค้าใจกลางเมือง บางคนสวมชุดบิกินีถ่ายภาพอยู่ริมชายหาด บางคนถ่ายภาพวาบหวิวในอ่างอาบน้ำ บางคนถ่ายรูปคู่กับแฟน ดูสิจู่ๆ น้ำตาฉันก็ไหล
วันรุ่งขึ้นฉันเดินไปยังปฏิทินพร้อมปากกาในมือ ฉันเริ่มเขียนนัดลงไป วันไหนลงนัดไว้ว่าไปเที่ยวผับ ฉันจะสวมชุดเซ็กซี่และแต่งหน้าจัดเต็ม วันไหนลงนัดไว้ว่าไปดูหนังกับเพื่อนฉันจะแต่งตัวสบายๆ ด้วยเสื้อยืดเอวลอยกับกางเกงยีนส์และสวมรองเท้าผ้าใบ วันไหนลงนัดว่ามีเรียนฉันจะสวมชุดนักศึกษาที่สั่งทางออนไลน์ วันไหนลงนัดว่าไปเที่ยวทะเลฉันจะสวมชุดบิกินี การเปลี่ยนชุดแต่ละครั้งประหนึ่งการลอกคราบ ซึ่งจะทำให้ฉันเติบโต
แท้จริงแล้วฉันไม่ได้ออกไปไหน ฉันเพียงแต่หลอกตัวเอง และสวมชุดเหล่านั้นเดินเตร็ดเตร่ไปทั่วบ้าน จนทุกคนในครอบครัวต่างลงความเห็นว่าฉันตกอยู่ในกำมือความวิกลจริตไปแล้ว
ฉันได้กลิ่นหอมปริศนา ระบุชนิดไม่ได้ และฉันไม่รู้ตำแหน่งแห่งหนของมัน…
ตั้งแต่เข้ามาอยู่บ้านหลังนี้แทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย รูปถ่ายบรรพบุรุษผู้วายชนม์ยังฝังรากอยู่ในผนังเช่นเดิม ตู้ไม้เก่าบุกระจกยังคงยัดทะนานไปด้วยหมอนสวมปลอกไหมพรมถัก และบรรดาถ้วยชามกระเบื้องรวมถึงของชำร่วยในพิธีกรรมต่างๆ สิ่งของเหล่านี้ไม่ต่างจากฟอสซิลที่ถูกกาลเวลาแช่แข็ง ตู้เสื้อผ้าไม้อัดเต็มไปด้วยเสื้อผ้าของทุกคนในครอบครัว ถูกฝังกลบด้วยไรฝุ่นและความอับชื้น ซึ่งเหมาะสำหรับเป็นที่อยู่อาศัยของแมลงสาบ แมงป่อง และตะขาบ สีรอบบ้านลอกล่อน เสาบ้านบางต้นมีรอยร้าว ลานพื้นปูนหน้าบ้านมีรอยแยกและทรุดลง กำแพงรอบบ้านเต็มไปด้วยตะไคร่น้ำ ฉันกวาดตาไปยังบ้านใกล้เรือนเคียง บ้านแต่ละหลังถูกตกแต่งอย่างสวยงามและทันสมัย หลังจากถูกส่งต่อให้รุ่นถัดไปแล้ว ต้องสารภาพเลยว่าฉันอิจฉาพวกเขา ที่สามารถกำหนดวิถีชีวิตและความเป็นอยู่ของตัวเองได้ ต่างจากบ้านของฉัน ที่พร้อมจะทรุดโทรม ผุพัง และล่มสลายไม่วันใดก็วันหนึ่ง
ฉันยังจำภาพวันแรกในบ้านหลังนี้ได้ หลังจากพ่อแม่ตัดสินใจแยกทางกัน ฉันกับพี่สาวก็ถูกส่งตัวมาอาศัยอยู่กับยาย วันนั้นฉันถือหนังสือติดมือมาด้วย เป็นหนังสือเกี่ยวกับการเจริญเติบโตของผีเสื้อ ฉันยังจดจำเนื้อหาบางส่วนในหนังสือได้ มันเขียนว่า “หลังผสมพันธุ์ ผีเสื้อจะบินไปวางไข่ยังใบไม้ที่มันคิดว่าจะสามารถเป็นอาหารของตัวหนอนได้ และนั่นคือความสามารถพิเศษของมัน”
ฉันได้กลิ่นหอมปริศนา ระบุชนิดไม่ได้ แต่ฉันหลงรักมันเข้าแล้ว…
ปีกแห้งสนิทแล้ว ฉันกลายเป็นผีเสื้อโดยสมบูรณ์ ฉันลองขยับปีกสองสามที ก่อนพุ่งตัวออกจากวงกบหน้าต่าง และทะยานขึ้นสู่ท้องฟ้า ฉันกระพือปีก กระพือปีกอีกครั้ง และอีกครั้ง…
โดยหวังว่าวันหนึ่งฉันจะพบเจอกลิ่นปริศนา •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022