จากปู่ถึงหลาน : การเมืองท้องถิ่น-เลือกตั้งท้องถิ่น (1)

ธเนศวร์ เจริญเมือง

2 วันก่อนที่ร่มไม้ใบคืบ กลางป่าเมืองเหนือที่ไม้ใหญ่วันนี้หายากยิ่งนัก มีแต่ไม้ต้นขนาดลำแขนเป็นส่วนใหญ่ และทิวหญ้าคาที่กำลังเตรียมตัวเข้าสู่หน้าแล้ง

ลุงสิงห์คำมีนัดให้มาคุยกับกลุ่มคนที่สนใจเรื่องท้องถิ่น มาถึงสถานที่ก็ต้องตกใจเพราะแต่ละคนที่นั่งล้อมวงกันอยู่หน้าตาอ่อนเยาว์ อายุน่าจะอยู่ระหว่าง 15-20 ปี เป็นนักเรียน-นักศึกษาทั้งนั้น

สรุปว่า ลุงสิงห์คำแก่กว่าใครในนั้น และพวกเขาอยากฟังเรื่องเล่าจากคนแก่ก่อนที่จะเคลื่อนเข้าสู่เรื่อง ราวของยุคใหม่…

 

“ลูกหลานที่รักทั้งหลาย ผมรู้สึกยินดีที่ได้มาคุยกับพวกเราคนรุ่นใหม่ และยินดีมากขึ้นที่ทราบว่า 40 กว่าคนเบื้องหน้าผมนี้มาจากทุกภาคของประเทศ พวกคุณเดินทางไกลมาเปิดหูเปิดตาหาความรู้ เพื่อไปพัฒนาท้องถิ่นหวังจะร่วมส่วนในการพัฒนาประเทศให้ดีขึ้น

ผมจึงขอฝากว่า นับจากนี้ไป ขออย่าได้ลืมนะครับว่า ที่ผ่านมา ประเทศนี้มีการเมืองและการเลือกตั้งระดับชาติที่เป็นตัวกำหนดท้องถิ่นแต่ฝ่ายเดียวและนานเกินไปแล้ว

จะเข้าใจการเมืองและการเลือกตั้งท้องถิ่นให้ดี ก็ต้องเริ่มที่การเมืองและการเลือกตั้งในระดับชาติก่อน แล้วต่อจากนั้น จึงเลื่อนลงมาทำความสนใจและศึกษาในระดับท้องถิ่นและจากนี้ไปเราจะช่วยกันผลักดันท้อง ถิ่นให้เข้มแข็งและผงาดขึ้นมามีบทบาทมากขึ้นๆ ในประเทศนี้ ไม่ใช่บนสู่ล่างเป็นทางเดียวเช่นที่ผ่านมา

รัฐไทยในอดีตมีระบบการปกครองแบบกษัตราธิราช แต่อำนาจของกษัตริย์ที่เพิ่มมากขึ้นเป็นระบบสมบูรณาญาสิทธิราชย์นั้นเพิ่งเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 นี่เอง โดยเฉพาะตั้งแต่ปี พ.ศ.2435 เป็นต้นมาที่มีการปฏิรูประบบราชการ

และการเกิดขึ้นครั้งนั้นก็มีความเป็นมา และมีเหตุและผลของมัน”

 

นั่นคือตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 2 รัฐล่าอาณานิคมจากยุโรปทยอยเข้ามาขยายอำนาจในเอเชีย เป้าหมายคือเพื่อยึดรัฐต่างๆ เป็นเมืองขึ้นและแสวงหาผลประโยชน์ โดยเฉพาะรัฐขนาดใหญ่ที่มีประชากรและทรัพยากรมากโดยเฉพาะอินเดียและจีน รัชกาลที่ 2 มีพระราชโอรสหลายองค์ องค์ที่สำคัญคือ กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์ (2331-2394) และเจ้าฟ้ามงกุฎ (2347-2411)

เมื่อรัชกาลที่ 2 เสด็จสวรรคตในปี 2367 เจ้าฟ้ามงกุฎวัย 20 ชันษากำลังทรงผนวช กรมหมื่นเจษฎาบดินทร์วัย 36 ชันษาได้ทรงขึ้นเป็นกษัตริย์รัชกาลที่ 3 คือ พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าฯ ทรงครองราชย์ 27 ปี ก็คือเวลาเดียวกับที่พระวชิรญาณภิกขุ (เจ้าฟ้ามงกุฎ) ทรงผนวช

พระวชิรญาณภิกขุทรงใช้เวลาดังกล่าวศึกษาหาความรู้ด้านภาษาฝรั่งเศส ละติน ศาสนาคริสต์นิกายโรมันคาทอลิก และประวัติศาสตร์ยุโรปจากบาทหลวงปาลเลอกัวซ์ (2348-2405) และเรียนภาษาอังกฤษ คริสต์ศาสนานิกายโปรเตสแตนต์ และประวัติศาสตร์สหรัฐจากหมอเดเนียล บรัดเลย์ (2347-2416)

ทั้งสองท่านนี้เข้ามาเผยแผ่ศาสนาคริสต์ในไทยยาวนาน (โปรดสังเกตปีเกิดของทั้ง 3 ท่านใกล้เคียงกันอย่างน่าสนใจยิ่ง) ท่านทั้งสองทุ่มเททำงานยาวนานและได้เสียชีวิตบนแผ่นดินสยาม

การได้เรียนรู้แทบทุกเรื่องของยุโรปและอเมริกาเป็นเวลานานถึง 27 ปีก่อนที่จะเสด็จขึ้นครองราชย์ทำให้กษัตริย์สยามองค์นี้เป็นผู้นำเอเชียคนเดียวที่รู้ภาษาตะวันตกและเข้าใจลัทธิล่าอาณานิคมอย่างดีในเวลานั้น

ผลคือ เมื่ออังกฤษเข้ามาขอทำสัญญาการค้า เรียกว่า สัญญาเบาว์ริ่ง (Bowring Treaty) ในปี 2398 สยามก็ยอมทำสัญญา

และในช่วงทศวรรษต่อจากนั้น สยามก็ทำสัญญาเนื้อหาเดียวกันนี้กับอีก 13 ชาติตะวันตก (รวมญี่ปุ่น)

 

การทำสัญญาการค้าที่สยามเสียเปรียบกับ 14 ชาติซึ่งดำรงอยู่นานถึง 80 กว่าปี (ยกเลิก พศ.2482) น่าเป็นเหตุสำคัญที่ทำให้สยามไม่ตกเป็นเมืองขึ้นของชาติใด แต่ต้องตกเป็นรัฐกึ่งเมืองขึ้น (Semi-Colonial State) ของชาติเหล่านั้น เพราะเสียเปรียบทั้งอัตราภาษีการนำเข้า-ส่งออก, การกำหนดชนิดและปริมาณของสินค้านำเข้า-ส่ง ออก และสิทธิสภาพนอกอาณาเขต ตลอดจนการแก้ไขหรือยกเลิกสัญญานี้ทั้ง 2 ฝ่ายจะต้องให้ความเห็นชอบ

ผลกระทบของสัญญาดังกล่าวทำให้ผู้นำสยามได้ครองอำนาจต่อไปผิดจากรัฐเพื่อนบ้าน

สยามไม่ตกเป็นอาณานิคมของใคร ไม่สูญเสียเอกราชก็จริง แต่การถูกเอาเปรียบหลายข้อได้สร้างความเสียหายใหญ่หลวงแก่สยาม

นั่นคือประชาชนไม่ได้รับรู้และเรียนรู้ผลที่เกิดขึ้นต่อชาติ

ไม่ทราบว่า รัฐทำสัญญาเสียเปรียบกับ 14 ชาติ ไม่รู้ว่าประเทศตนกลายเป็นกึ่งเมืองขึ้น เราไม่ใช่รัฐเอกราชอีกต่อไป

เมื่อไม่รู้ ความตื่นตัวเรื่องบ้านเมืองและการเมืองจึงจำกัด ไม่เกิดความคิดและขบวนการชาตินิยมเพื่อความเป็นธรรมเช่นรัฐเพื่อนบ้าน

นอกจากนั้น ยังได้เกิดผลกระทบที่สำคัญอีก 3 ข้อ คือ

1. ผู้นำได้เร่งปรับตัวให้เข้มแข็งเพื่อป้องกันความขัดแย้งหรือภัยที่อาจเกิดขึ้นจากชาตินักล่าอาณานิคม ด้วยการปฏิรูประบบราชการ, ส่งคนไปเรียนต่อที่ยุโรปหวังจะเรียนรู้เท่าทัน ทั้งเร่งปรับปรุงกองกำลังป้องกันประเทศ

2. ขณะนั้น สยามรัฐมีลาว เขมร ล้านนา และปาตานีเป็นประเทศราช เมื่อฝรั่งเศสแผ่อิทธิพลเข้ายึดครองลาวและเขมร และอังกฤษรุกเข้าไปในลังกา, อินเดีย, พม่า และมลายู

ผู้นำสยามจึงเร่งขยายอำนาจเข้าควบคุมเมืองขึ้นที่เหลือ เพื่อมิให้อังกฤษหรือฝรั่งเศสมายึดไป ด้วยการยกเลิกฐานะประเทศราชของล้านนาและปาตานีและผนวกดินแดนทั้ง 2 เป็นส่วนหนึ่งของราชอาณาจักรสยามในปี พ.ศ.2442 และ 2445 ตามลำดับ

และ 3. ผลจากข้อ 1-2 ทำให้ประชากรเหล่านั้นขาดความรู้และประสบการณ์ทางการเมืองแบบใหม่ อีกทั้งอำนาจท้องถิ่นของเจ้าเมืองต่างๆ ในล้านนาและปาตานีต้องสิ้นสุดลง

รัฐไทยจึงกลายเป็นรัฐรวมศูนย์อำนาจอย่างมาก และภาคประชาสังคมก็อ่อนแอทางการเมือง (Siam as a Highly Centralized State and a Weak Civil Society) เมื่อเทียบกับรัฐเมืองขึ้นรอบๆ

 

ครั้นคณะราษฎรก่อการปฏิวัติประชาธิปไตยในปี 2475 และสถาปนาระบอบประชาธิปไตยอันมีกษัตริย์อยู่ใต้รัฐธรรมนูญ ภายใต้รัฐสมบูรณาญาสิทธิราชย์ คณะปฏิวัติจึงต้องเตรียมงานที่เงียบเชียบที่สุด ขาดการปลุกระดมและการมีส่วนร่วมอย่างเปิดเผยและกว้างขวางของประชาชน

ขณะที่ภาคประชาสังคมยังไม่เข้มแข็งดังที่กล่าวมา เราจึงได้พบว่า ระบอบใหม่ที่เกิดขึ้นเริ่มมีความขัดแย้งกันเองตั้งแต่ปี 2476 คือกบฏบวรเดช, ปีต่อมา ในหลวงรัชกาลที่ 7 ก็สละราชสมบัติ และนโยบายเศรษฐกิจของหัวหน้าคณะราษฎรถูกต่อต้านโดยกลุ่มอำนาจเก่า

เมื่อกระแสสังคมนิยมสูงขึ้นในจีนและอินโดจีนในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 สหรัฐ-กลุ่มอำนาจเก่าและกองทัพของสยามจึงฉวยโอกาสร่วมกันยึดอำนาจในปี 2490

และรื้อฟื้นระบอบเก่า ทั้งได้ขัดขวาง-ทำลายแนว ทางประชาธิปไตยอันเป็นเจตนารมณ์ของคณะราษฎรเป็นขั้นๆ

 

นับแต่นั้นคือในช่วง 77 ปีมานี้ (2490-2567) รัฐไทยจึงเกิดรัฐประหารขึ้นถึง 13 ครั้งเพื่อทำลายรัฐบาลเลือกตั้ง, การเลือกตั้งและระบบพรรคการเมือง ทั้งพยายามรักษาระบอบอำนาจนิยมนั้นไว้ทุกวิถีทาง

เราจะพบว่ามีการพัฒนาประชาธิปไตยแบบครึ่งใบหลายรูปแบบ เช่น นายกฯ แต่งตั้ง ส.ว.แต่งตั้ง และองค์กรอิสระ-ฝ่ายกฎหมายก็มาจากแต่งตั้งของฝ่ายอำนาจนิยมเป็นหลัก ฯลฯ

นอกจากการแทรกแซงการเมืองด้วยวิธีการที่หลากหลายโดยเฉพาะรัฐประหารและประชาธิปไตยครึ่งใบ การรักษาระบบรวมศูนย์อำนาจและไม่ยอมกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นนับเป็นมาตรการที่สำคัญยิ่งตลอดมา

มาตรการที่สำคัญ มีอย่างน้อย 8 ข้อ

ได้แก่

1.ทุกครั้งที่ทำรัฐประหาร รัฐธรรมนูญก็จะถูกทำลาย เกิดกฎหมายสูงสุดฉบับใหม่ ออกกฎเกณฑ์ใหม่เพื่อเอื้อประโยชน์ให้แก่กลุ่มรัฐประหารและพวกพ้อง และลิดรอนมาตรการประชาธิปไตยต่างๆ ระยะหลังๆ มีการใช้กฎหมายตัดสินให้ยุบพรรคการเมือง และตัดสิทธินักการเมืองในการเข้าร่วมการเมืองแบบตลอดชีวิตหรือ 10 ปี เพื่อสกัดกั้นเส้นทางของนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่ได้รับความนิยม

2. การไม่ยอมปฏิรูปการศึกษา แต่ยืนยันจัดระบบที่ไม่ต้องการให้ผู้มีการศึกษาได้รู้เรื่องการเมืองและการบริหารประเทศไม่ว่าจะเป็นระดับชาติหรือท้องถิ่น ไม่จัดการเรียนการสอนวิชาเหล่านั้นในคณะต่างๆ ยกเว้นรัฐศาสตร์ การศึกษาที่ผ่านมายกย่องและเน้นให้เกิดคนเก่งเฉพาะทาง เช่น แพทย์ วิศวกร สถาปนิก เภสัชกร สัตวแพทย์ ทันตแพทย์ ฯลฯ แต่คนเก่งเหล่านั้นกลับไม่มีโอกาสได้เรียนรู้วิชาประวัติศาสตร์สังคม ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น และการเมืองระดับต่างๆ ผิดกับบัณฑิตในสังคมประชาธิปไตยตะวันตก

รัฐไทยและฝ่ายประชาสัมพันธ์กลับไม่เคยสอนสิ่งเหล่านั้น เก่งแต่พูดเรื่องจริยธรรม ว่าจบออกไป จะต้องเป็นคนดี มีคุณธรรม ไม่โกงไม่กิน ให้บัณฑิตกล่าวคำปฏิญาณ เน้นการพูด แต่การปฏิบัติ มีใครใส่ใจ

3. รวมศูนย์อำนาจด้านการศึกษาไว้ที่กระทรวงศึกษาธิการตลอดมา ไม่เคยกระจายอำนาจให้ อปท. มีบทบาทจัดการศึกษาอย่างจริงจัง จนถึงขณะนี้ อบต.จัดได้เพียงดูแลเด็กเล็ก เทศบาลและ อบจ.จัดการศึกษาระดับประถมเพียงไม่กี่โรงเรียน ส่วน อบจ.ได้ดูแลจัดการระดับมัธยมที่น้อยมากๆ นอกนั้น กระทรวงควบคุมการศึกษาทุกๆ ระดับ ขณะที่ในต่างประเทศ อปท.ดูแลโรงเรียนมัธยมทั้งหมด และ อบจ.สามารถบริหารจัดการการศึกษาระดับวิทยาลัยและมหาวิทยาลัย ฯลฯ นี่คือการควบคุมจิตสำนึก ความคิดและความรู้ของผู้คน

4. จัดศาสนนำของชาติให้เป็นระบบราชการ มีตำแหน่ง ระบบบังคับบัญชาและเงินเดือนประจำ ผลคือศาสนาพุทธที่ใช้ปัญญาและการใฝ่รู้กลายเป็นการทำตามกฎระเบียบ

การศึกษาและถกเถียงด้านปรัชญาของชาวพุทธแทบไม่เห็น น้อยครั้งที่เราจะได้ยินคำสอนดังจากวัดที่ท้าทายสังคมที่เปลี่ยนแปลงไม่หยุดยั้ง

ไปที่ไหนก็เห็นแต่ศาสนวัตถุที่ใหญ่โต เน้นการทำบุญ เน้นการสอนเรื่องทำความดี ประพฤติดี เน้นการสวดมนต์ และให้อยู่อย่างพอเพียงท่ามกลางโลกวัตถุนิยมและข่าวการทุจริตคอร์รัปชั่น ฯลฯ

ความเป็นราชการของศาสนาไม่อาจช่วยสร้างความเป็นพลเมืองที่ใฝ่คิดใฝ่รู้ของชาวพุทธ และไม่อาจทำให้สังคมเข้มแข็งขึ้นได้ทางปัญญา

5. ส่วนกลางจัดตั้งหน่วยบริหารราชการส่วนภูมิภาค ราว 35 หน่วยในทุกๆ จังหวัด กำหนดให้มีภารกิจดูแลเรื่องต่างๆ ในจังหวัดนั้น เช่น น้ำ ถนน ต้นไม้ ป่าไม้ คุก การจัดเก็บภาษีอากรส่วนใหญ่ ผังเมือง ระบบคมนาคมขนส่ง การตรวจวัดอากาศ ฯลฯ

ในจังหวัดใหญ่ๆ ส่วนกลางยังจัดตั้งหน่วยงานที่ขึ้นตรงต่อส่วนกลาง เช่นที่เชียงใหม่ ในปี 2535 มีหน่วยราชการส่วนกลาง 194 หน่วย และเพิ่มเป็นเกือบ 300 หน่วย ในปี 2565 ผลก็คือ มีหน่วยงานทั้ง อปท. หน่วยราชการส่วนภูมิภาค และหน่วยงานจากส่วนกลางถูกส่งเข้ามาดูแลท้องถิ่นโดยตรง

เกิดความสับสน ซ้ำซ้อน คนท้องถิ่นต้องไปสอบถามเองว่าหน่วยงานไหนดูแลรับผิดชอบเรื่องอะไร หญ้าที่รกรุงรังริมคลองชลประทาน ไม่มีใครดูแล (กรมชลประทานหรือกรมเจ้าท่า) ถนนที่ผุพัง หรือไม่มีไฟสว่างริมทาง หน่วยงานไหนรับผิดชอบ (กรมทางหลวง หรือกองทัพ หรือ อบต. หรือ อบจ. ฯลฯ)

การใช้ระบบรวมศูนย์อำนาจด้านผังเมือง การบริหารทรัพยากรธรรมชาติ และการคมนาคมขนส่ง ฯลฯ ส่วนกลางจะทราบปัญหาในรายละเอียดแต่ละจุดอย่างไร เช่น พื้นที่ป่าไม้มีกี่ไร่ ต้นไม้กี่ต้น ต้นอะไร มีสัตว์อะไรในพื้นที่ป่า การเปลี่ยนแปลงของอากาศเป็นอย่างไร ลำธารจากที่สูงสู่แม่น้ำมีกี่สาย เมื่อจะสร้างบ้าน จะทำถนน สะพาน การขุดลอกแม่น้ำเพื่อมิให้ปริมาณน้ำมากเอ่อล้น ใครทำ ใครแอบถมห้วย-ลำธาร ฯลฯ

การจะตัดสินว่าชาวบ้านที่อยู่ในป่าเขาก่อนที่จะมี พ.ร.บ.ป่าไม้ของทางการ แล้วให้ชาวบ้านอยู่ต่อไป เขาควรจะมีบทบาทอย่างไรในการดูแลรักษาผืนป่า ไม่ใช่เป็นแค่ผู้อาศัยทั้งๆ ที่อยู่ตรงนั้น; การจะตัดสินว่าที่ดินของจังหวัดหนึ่งควรกำหนดให้เป็นเขตเกษตรกรรมเท่าใด โรงงานตั้งอยู่ที่ใด พื้นที่ว่างริมน้ำควรกว้างเท่าใด เมืองต่างๆ ควรมีสวนสาธารณะเท่าใด และถนนควรกว้างเท่าใด ฯลฯ การส่งหน่วยราชการส่วนกลางออกไปบริหารงานตามจังหวัดต่างๆ และการให้หน่วยบริหารราชการส่วนภูมิภาคทำงานต่างๆ ของท้องถิ่น แทนที่จะให้ อปท.คิดและทำ เกิดปัญหาและคำถามตามมา หลายเรื่องขาดความชัดเจน หลายๆ เรื่องรอคอยการแก้ไข ฯลฯ

6. การโยกย้ายของข้าราชการส่วนกลางและส่วนภูมิภาคที่เกิดขึ้นบ่อยครั้ง จะมีใครติดตามตรวจสอบ และพัฒนางานให้คืบหน้า รู้จักงานที่ตนเองรับผิดชอบได้เพียงใดในพื้นที่ทั้งจังหวัด โดยเฉพาะผังเมือง การจัดการทรัพยากร การเดินทางรายวัน ฯลฯ บวกกับความไม่รู้ ไม่สนใจ ไม่ผูกพัน หรือคิดว่าอีกไม่นานก็จะย้าย เพราะไม่มีในระบบการศึกษาไม่ว่าระดับใด จะคาดหวังให้มีใครสนใจปัญหาต่างๆ ของท้องถิ่นจริงๆ จังๆ เกิดปัญหาต่างๆ ที่หมักหมมตลอดมา และระบบดังกล่าวไม่อาจแก้ไขปัญหาได้เร็ว

7. การไม่กระจายอำนาจสู่ท้องถิ่นให้แก่ อปท. มาเป็นเวลานาน การยุติการเลือกตั้งฝ่ายนิติบัญญัติและฝ่ายบริหารท้องถิ่นทุกครั้งที่มีรัฐประหาร แล้วให้ข้าราชการเข้าไปทำงานแทน การให้งบประมาณเพียง 9% ของงบระดับประเทศแก่ อปท. (เทียบกับประเทศอื่นๆ คือ 35%-50% ไม่ว่าจะเป็นเทศบาล อบจ. และ อบต. และเพิ่งมาเปลี่ยนหลังปี พ.ศ.2540 แต่แล้วก็สะดุดอีกครั้งหลังรัฐประหารในปี 2549

จวบจนกระทั่งขณะนี้ อปท.ทั่วประเทศมีรายจ่ายแท้จริงเพียง 19% แม้ว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 26% แต่ก็ถือว่ายังน้อยมากในการจัดการปัญหาต่างๆ ของท้องถิ่น เพราะหลายอย่างเป็นเงินฝากจากส่วนกลาง เช่น ค่าอาหารกลางวันของนักเรียน ตำแหน่งต่างๆ ของ อปท. ถูกกฎหมายส่วนกลางกำหนดไว้ทั้งหมด แต่ละปีมีงบประมาณเงินเดือนของพนักงาน อปท. ราว 40% ของงบประมาณทั้งหมด

และเนื่องจากหน่วยราชการส่วนภูมิภาคเป็นผู้อนุมัติโครงการต่างๆ ของ อปท. ดังนั้น อปท.ก็ต้องเตรียมงบฯ อีกไม่น้อยให้แก่หน่วยราชการส่วนภูมิภาคที่มาแอบขอใช้งบฯ ของ อปท.ในแต่ละปี ถ้าหากไม่มีให้ โครงการต่างๆ ของ อปท.ก็จะไม่ได้รับการอนุมัติ ส่งผลให้งบฯ ของ อปท.ที่ใช้พัฒนาท้องถิ่นแต่ละปีมีน้อยลงไปอีก นั่นคือ งบฯ พัฒนามีเพียง 20-30% ของงบฯ รายจ่ายทั้งหมด

และ 8. เรากระจุกความเจริญทุกๆ ด้านไว้ที่เมืองหลวง สุดท้าย ผู้คนก็ไปแออัดที่นั่น ส่งผลให้กรุงเทพฯ เป็นเอกนครหรือเมืองโตเดี่ยว (Primate City) ที่แตกต่างจากเมืองอื่นๆ หลายสิบร้อยเท่าที่ประเทศไหนไม่มี และเราก็ไม่แก้ไข เรารักษาไว้แล้วสร้างเมืองโตเดี่ยวระดับภาคที่เชียงใหม่ แต่บริหารด้วยระบบผู้ว่าฯ ชนิดปี 2 ปีย้าย ขาดการวางผังเมืองและจัดระบบคมนาคมส่งผลให้การจราจรเป็นปัญหามากขึ้นๆ โลกร้อนที่จะทำให้น้ำท่วมรุนแรงและปัญหาหมอกควันรวมทั้งพื้นที่ป่าไม้ไม่ได้รับการเยียวยา

ทั้งหมดนี้คือปัญหาของรัฐรวมศูนย์มากเกินไปและท้องถิ่นที่ไม่มีอำนาจในการจัดการบ้านเมืองของเขาเอง เห็นได้ชัดเจนว่า อดีตคือปัญหาของปัจจุบันทั้งหมด ระบบการเมืองและการศึกษาที่คนรุ่นเก่าสร้างไว้และจนบัดนี้ก็ไม่ยอมแก้ไขก็คือการจูงมือกันเพื่อก้าวไปหาปัญหาที่จะใหญ่โตและสลับซับซ้อนมากขึ้นๆ ในอนาคต

ยังมีต่อ