ปรีดี แปลก อดุล : คุณธรรมน้ำมิตร (48)

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

บทความพิเศษ | พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

 

ปรีดี แปลก อดุล

: คุณธรรมน้ำมิตร (48)

 

การเข้ามาของพญาอินทรี

ทหารบกเริ่มไม่ไว้วางใจทหารเรือตั้งแต่ครั้งปฏิเสธคำสั่งยิงในเหตุการณ์กบฏบวรเดชแล้ว ครั้นต่อมาเมื่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม หันไปใช้แนวทางอำนาจนิยมหลังขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อ พ.ศ.2481

ทหารเรือส่วนใหญ่โดยเฉพาะระดับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ที่ยังคงเชื่อมั่นในแนวทางประชาธิปไตยต่างไม่เห็นด้วย

สอดคล้องกับความคิดของคณะราษฎรสายพลเรือนที่นำโดยนายปรีดี พนมยงค์ จนนำไปสู่ความร่วมมือกันโค่นล้ม จอมพล ป.พิบูลสงคราม จากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเป็นผลสำเร็จเมื่อ พ.ศ.2487

จากนั้นบทบาททางการเมืองของจอมพล ป.พิบูลสงคราม และทหารบกก็ลดลงตามลำดับ การเมืองไทยกลับสู่เส้นทางประชาธิปไตยต่อไป

ระหว่างสงครามมหาเอเชียบูรพา แม้หลวงสินธุสงครามชัย ผู้บัญชาการทหารเรือจะไม่มีบทบาทเกี่ยวข้องโดยตรงกับเสรีไทย แต่ก็มีนายทหารเรือคนสำคัญของกองทัพเรือเข้าร่วมอย่างสำคัญยิ่ง โดยหลวงสินธุสงครามไม่ได้ขัดขวางแต่อย่างใด

จนกระทั่งสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2 ฝ่ายนายปรีดี พนมยงค์ ขึ้นมีอำนาจทางการเมือง จนกระทั่งเกิดการรัฐประหารเมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ.2490 ซึ่งไม่เพียงแต่กองทัพบกมิได้ชักชวนให้กองทัพเรือเข้าร่วมเท่านั้น แต่ครั้งนี้ฝ่ายทหารบกกลับร่วมมือกับฝ่ายอำนาจเก่าที่ต่อสู้กับนายปรีดี พนมยงค์ มายาวนานโค่นล้มรัฐบาลหลวงธำรงนาวาสวัสดิ์ที่ล้วนประกอบด้วยอดีตคณะราษฎรสายพลเรือนและอดีตสมาชิกขบวนการเสรีไทยที่ใกล้ชิดกับนายปรีดี พนมยงค์ ทั้งสิ้น จนนายปรีดี พนมยงค์ ถึงกับต้องลี้ภัยออกนอกประเทศ

“กบฏเสนาธิการ” ของทหารบกที่เกิดขึ้นในปลายปีถัดมาเมื่อตุลาคม พ.ศ.2491 แม้จะไม่มีความเกี่ยวข้องโดยตรงกับกองทัพเรือ แต่คณะรัฐประหารซึ่งมีอิทธิพลของฝ่ายอำนาจเก่าร่วมอยู่ด้วยก็มีความหวาดระแวงกองทัพเรือซึ่งถูกมองว่าสนับสนุนนายปรีดี พนมยงค์

แม้ต่อมาเมื่อคณะรัฐประหารจะแยกตัวจากฝ่ายอำนาจเก่าแล้ว แต่ความหวาดระแวงกองทัพเรือก็มิได้ลดน้อยลง โดยเฉพาะเมื่อครั้งกบฏวังหลวง กุมภาพันธ์ พ.ศ.2492 ซึ่งมีทหารเรือจำนวนไม่น้อยจับอาวุธเข้าร่วมต่อสู้อย่างเอาเป็นเอาตาย

แม้หลวงสินธุสงครามชัยและนายทหารผู้ใหญ่ของกองทัพเรือส่วนใหญ่จะไม่ได้มีส่วนร่วมแต่ก็ไม่ได้จัดกำลังเข้าร่วมปราบปรามแต่อย่างใด

ครั้นเมื่อการก่อกบฏล้มเหลว ทหารเรือก็ยังได้ให้ความช่วยเหลือหรืออย่างน้อยก็รู้เห็นเป็นใจการลี้ภัยของผู้นำฝ่ายกบฏ โดยเฉพาะนายปรีดี พนมยงค์

เหตุการณ์กบฏวังหลวง ทหารบกเชื่อว่าตนเป็นฝ่ายได้รับชัยชนะ จึงทำให้เริ่มเชื่อมั่นในตัวเองมากขึ้น และ “เกรงใจ” ทหารเรือน้อยลง โดยเฉพาะเมื่อสหรัฐอเมริกาเข้ามาให้ความช่วยเหลือกองทัพไทยเมื่อต้นปี พ.ศ.2493 หลังเหตุการณ์กบฏวังหลวงผ่านไปปีเศษ โดยได้ให้ความช่วยเหลือกองทัพบกและกรมตำรวจอย่างเต็มที่เพื่อผลในการต่อต้านคอมมิวนิสต์ โดยที่กองทัพเรือไม่ได้รับความช่วยเหลือมากนัก เนื่องจากไม่ใช่เส้นทางหลักในการรุกของฝ่ายคอมมิวนิสต์

นอกจากนั้น ทางด้านการเมืองภายในของไทย สหรัฐอเมริกาย่อมตัดสินใจได้ไม่ยากนักเมื่อต้องเลือกระหว่างกองทัพบกกับกองทัพเรือ

หลังการเข้ามาของพญาอินทรี อำนาจกำลังรบของกองทัพบกเมื่อรวมกับกรมตำรวจแล้วจึงเริ่มเหนือกว่ากองทัพเรือชัดเจนยิ่งขึ้นตามลำดับ ปัจจัยอำนาจกำลังรบที่เคยก้ำกึ่งกันระหว่างกองทัพทั้งสองเริ่มเปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ

นอกจากนั้น ความพยายามทำลายล้างคณะราษฎรและนายปรีดี พนมยงค์ ด้วยข้อหาคอมมิวนิสต์ซึ่งเริ่มมาตั้งแต่หลังการเปลี่ยนแปลงการปกครอง ติดตามด้วยกรณีการสิ้นพระชนม์ของ ร.8 และการเปิดเผย “แผนการมหานคร” โดยหลวงกาจสงครามผู้นำคนสำคัญของคณะรัฐประหารซึ่งยังคงเกาะติดประเด็นภัยจากคอมมิวนิสต์อย่างไม่ลดละ

ทั้งหมดนี้สอดคล้องกับแนวทางต่อต้านคอมมิวนิสต์ของสหรัฐอเมริกาที่เข้ามีอิทธิพลในทุกอณูสังคมไทยตั้งแต่ พ.ศ.2493 เป็นต้นไป จึงส่งผลอย่างสำคัญต่อเครดิตความเชื่อถือของสังคมไทยในเชิงบวกต่อฝ่ายคณะรัฐประหารและเชิงลบต่อนายปรีดี พนมยงค์

ดุลอำนาจระหว่างกองทัพบกกับกองทัพเรือที่เคยดำรงมาช้านานจึงเปลี่ยนไป กองทัพบกพร้อมจะแตกหักกับกองทัพเรือแล้ว

 

สิ้นสุดความเกรงใจ

“กบฏแมนฮัตตัน” เมื่อ พ.ศ.2494 อาจถือเป็น “ภาคต่อ” ของ “กบฏวังหลวง” ที่มิได้เป็นเพียงความขัดแย้งระหว่างกองทัพบกกับกองทัพเรือเท่านั้น แต่มีความเชื่อมโยงไปถึงการต่อสู้อันยาวนานระหว่างฝ่าย “อำนาจเก่า” กับ “คณะราษฎร” และตัวบุคคลคือ นายปรีดี พนมยงค์

แม้อดีตคณะราษฎรสายพลเรือนและอดีตเสรีไทยจะถูกทำลายลงอย่างเบ็ดเสร็จไปแล้วหลังการกวาดล้างใหญ่เมื่อสิ้นสุดกบฏวังหลวง นายปรีดี พนมยงค์ ลี้ภัยไปต่างประเทศและหมดบทบาทอย่างสิ้นเชิง

แต่ทหารเรือที่ถูกมองอย่างหวาดระแวงมาโดยตลอดว่าเป็นปฏิปักษ์กับทหารบกยังดำรงอยู่

และหลวงสินธุสงครามชัยก็ยังคงเหนียวแน่นในตำแหน่งผู้บัญชาการทหารเรือ

 

ความร้าวฉาน

ความร้าวฉานระหว่างกองทัพบกกับกองทัพเรือเกี่ยวข้องแยกไม่ออกกับปัญหาผู้นำ 3 ท่าน

ได้แก่ จอมพล ป.พิบูลสงคราม นายปรีดี พนมยงค์ และหลวงสินธุสงครามชัย ซึ่งปรากฏขึ้นบ่อยครั้งหลังจอมพล ป.พิบูลสงคราม ขึ้นดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีเมื่อปลายปี พ.ศ.2481

ความร้าวฉานต่อเนื่องยาวนานกว่าทศวรรษจนถึงเหตุการณ์กบฏวังหลวงเมื่อ พ.ศ.2492

มีลำดับความเป็นมาดังนี้

 

ความไม่พอใจครั้งที่ 1

: จอมพล ป.พิบูลสงคราม ลาออก

เดือนกุมภาพันธ์ พ.ศ.2486 จอมพล ป.พิบูลสงคราม ได้ยื่นใบลาออกจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรีต่อผู้สำเร็จราชการโดยมิได้มีเจตนาจะลาออกจริงเพราะเชื่อว่าคณะผู้สำเร็จราชการที่มีพระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภา เป็นประธานจะไม่อนุมัติ

แต่ผลกลับออกมาในทางตรงข้าม สร้างความไม่พึงพอใจต่อจอมพล ป.พิบูลสงคราม เป็นอันมาก

พระองค์เจ้าอาทิตย์ทิพอาภาทรงเกรงความปลอดภัยจึงเสด็จไปประทับอยู่กับนายปรีดี พนมยงค์ ที่ทำเนียบผู้สำเร็จราชการ ท่าช้าง ซึ่งได้แจ้งไปยังกองทัพเรือขอความอารักขา กองทัพเรือที่มีหลวงสินธุสงครามชัยเป็นผู้บัญชาการจึงส่งเรือยามฝั่งในบังคับบัญชาของเรือเอกวัชรชัย ชัยสิทธิเวช มารักษาเหตุการณ์

เป็นเหตุให้จอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่พอใจทั้งนายปรีดี พนมยงค์ และหลวงสินธุสงครามชัย

 

ความไม่พอใจครั้งที่ 2

: ความหวาดระแวงจากเหตุการณ์ในอิตาลี

ช่วงปลายสงครามโลกครั้งที่ 2 นายปรีดี พนมยงค์ ได้กล่าวถึงเหตุการณ์ภายในประเทศอิตาลีซึ่งรัฐบาลส่งตัวมุสโสลินีให้ฝ่ายสัมพันธมิตร

เมื่อล่วงรู้ไปถึงจอมพล ป.พิบูลสงคราม ก็สั่งให้สอบสวนทันที โดยมองว่ากำลังคิดกระทำในทำนองเดียวกันในประเทศไทย

โดยระแวงสงสัยทั้งต่อนายปรีดี พนมยงค์ หลวงอดุลเดชจรัส และหลวงสินธุสงครามชัย

แต่เหตุการณ์สงบลงเมื่อปราฏชัดว่ามิได้มีความพยายามใดๆ ในลักษณะนั้นจึงสามารถปรับความเข้าใจกันได้

 

ความไม่พอใจครั้งที่ 3

: กองทัพเรือกับรัฐบาลนายควง อภัยวงศ์

กลางปี พ.ศ.2487 โดยการวางแผนของนายปรีดี พนมยงค์ จอมพล ป.พิบูลสงคราม พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี นายควง อภัยวงศ์ ขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีแทน หลวงสินธุสงครามชัยก็ได้เข้าดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมแทน จอมพล ป.พิบูลสงครามทันที

รวมทั้งยังมีนายทหารเรืออีก 4 ท่านได้เข้าร่วมเป็นรัฐมนตรีด้วย คือ น.อ.ผัน นาวาวิจิต (หลวงนาวาวิจิตร) น.อ.บุง ศุภชลาศัย (หลวงศุภชลาศัย) น.อ.ทหาร ขำหิรัญ และ น.อ.ชลิต กุลกำม์ธร จากนั้นเป็นต้นมา รัฐบาลฝ่ายพลเรือนกับทหารเรือต่างก็พึ่งพาอาศัยกันมาโดยตลอด

ยิ่งสร้างความไม่พึงพอใจแก่จอมพล ป.พิบูลสงคราม มากยิ่งขึ้นไปอีก