ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | สิ่งแวดล้อม |
ผู้เขียน | ทวีศักดิ์ บุตรตัน |
เผยแพร่ |
“เอิร์ธ” องค์กรด้านสิ่งแวดล้อมที่ไม่แสวงหาผลกำไร รวบรวม 15 ปมใหญ่ๆ มีผลกระทบต่อโลกทั้งในปัจจุบันและอนาคต คอลัมน์นี้นำมาเรียบเรียงไปแล้ว 10 ปม ยังมีอีก 5 ปมสุดท้ายจะขอนำเสนอเพิ่มเติม
ปมที่ 11 ความไม่มั่นคงด้านอาหารและน้ำ “เอิร์ธ” (earth.Org) มองว่าการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศที่สุดขั้วดังเช่นปัจจุบันได้ส่งผลลบต่อภาคเกษตรและแหล่งน้ำจืดทั่วโลก ขณะที่เกษตรกรใช้ปุ๋ยเคมีและสารกำจัดแมลงวัชพืชมีผลต่อคุณภาพดิน
ผิวหน้าดินทั่วโลกราว 68,000 ล้านตันเสื่อมลงทุกๆ ปีเป็นอัตราเร่งเร็วมากถึง 100 เท่าเมื่อเทียบกับการใช้สารอินทรีย์และหรือทำเกษตรด้วยวิถีธรรมชาติ
ปุ๋ยเคมีและสารกำจัดแมลง วัชพืช สะสมตกค้างในดิน และเมื่อเกษตรกรรดน้ำจะซึมลงสู่ใต้ดินและแหล่งน้ำทำให้น้ำเน่าเสีย ดินเสื่อม ผลผลิตจากการเพาะปลูกก็ลดลง เกิดผลกระทบต่อความไม่มั่นคงด้านอาหาร
องค์การอาหารและเกษตรกรรมแห่งสหประชาชาติ หรือเอฟเอโอ ทำนายว่าประชากรโลกในกลางศตวรรษจะเพิ่มขึ้นกว่า 9,000 ล้านคน และภายใน 26 ปีข้างหน้า ความต้องการบริโภคอาหารเพิ่มขึ้น 70 เปอร์เซ็นต์
นั่นหมายถึงชาวโลกราว 820 ล้านคนไม่มีอาหารให้กินเพียงพอ
“อันโตนิโอ กูเตร์เรส” เลขาธิการสหประชาชาติ ออกมาเตือนรัฐบาลทั่วโลกว่า ถ้าไม่จัดการแก้ปัญหาความมั่นคงทางอาหารซึ่งเป็นภัยฉุกเฉินในวันนี้ จะมีผลกระทบกับชาวโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
การคิดใหม่ๆ เพื่อหาวิธีปรับเปลี่ยนวิถีเกษตรกรรมให้เกิดความยั่งยืนเป็นสิ่งที่ต้องทำอย่างยิ่ง
ส่วนความมั่นคงด้านน้ำต้องคิดกันให้หนัก เพราะโลกใบนี้มีน้ำจืดแค่ 3% เท่านั้น
2 ใน 3 ของน้ำจืดทั้งหมดอยู่ในรูปของธารน้ำแข็งหรือกลาเซียร์ เอามาใช้ไม่ได้ยกเว้นว่าธารน้ำแข็งละลายทั่วโลก แต่ถึงชาวโลกมีน้ำกินน้ำใช้ ก็ยังมีผลร้ายตามมาเพราะน้ำจะเอ่อล้นท่วมชายฝั่ง ผู้คนต้องอพยพหนีน้ำขึ้นที่สูง
จำนวนประชากรโลกในวันข้างหน้ามีมากขึ้น แน่นอนว่าต้องแย่งกันใช้น้ำ อย่างน้อย 1,100 ล้านคนไม่มีน้ำกินน้ำใช้ และอีก 2,700 ล้านคนเผชิญกับวิกฤตขาดแคลนน้ำเฉลี่ยปีละ 1 เดือน
ปมที่ 12 ขยะแฟชั่นเร่งด่วนและเสื้อผ้า (Fast Fashion and Textile Waste) คำนี้เริ่มมาจากหนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทม์สของสหรัฐ หยิบมานำเสนอต่อสาธารณะ
“นิวยอร์กไทม์ส” ให้คำนิยามแฟชั่นเร่งด่วนว่าเป็นอุตสาหกรรมแฟชั่นขนาดใหญ่ที่ผลิตเสื้อผ้าคุณภาพต่ำราคาถูกและรวดเร็วเพื่อตอบสนองความนิยมของคนรุ่นใหม่เป็นเทรนด์ใหม่ล่าสุด ผู้บริโภคใส่ไม่กี่ครั้งก็ทิ้งขว้างเพราะหมดสิ้นความนิยมแล้ว
“ซาร่า” ผู้ผลิตเสื้อผ้าแฟชั่นจากสเปนเป็นบริษัทแรกในโลกที่ใช้โมเดลธุรกิจ “แฟชั่นเร่งด่วน” เมื่อราว 30 ปีก่อน ในเวลานั้น “ซาร่า” ออกแบบชุดแฟชั่นแล้วส่งเข้าโรงงานตัดเย็บเสื้อผ้า บรรจุใส่กล่องส่งไปวางโชว์ขายในร้านซาร่าที่ตั้งอยู่ใจกลางมหานครนิวยอร์ก สหรัฐ กระบวนการทั้งหมดนี้ใช้เวลาเพียง 15 วัน
“แฟชั่นเร่งด่วน” โดนใจผู้บริโภคอย่างมากเพราะได้ของมีเทสต์ ราคาถูกใส่แล้วใส่ตรงเทรนด์ ส่งผลให้ “ซาร่า” เติบโตอย่างก้าวกระโดด เพียงแค่ 3 ทศวรรษ ร้านซาร่าเปิดสาขาใหม่แผ่ขยายทั่วโลกรวมทั้งในเมืองไทย ผลิตภัณฑ์ใหม่ๆ ที่นักออกแบบของซาร่าดีไซน์มีมากถึง 12,000 แบบ ทุกวันซาร่าสามารถผลิตเสื้อผ้ามากกว่า 450 ล้านชิ้น
บรรดานักธุรกิจนานาชาติพากันอิจฉา “ซาร่า” ต่างกระโดดเข้ามาแบ่งเค้กเป็นโขยง เช่น เอชแอนด์เอ็ม, ยูนิโคล่, ฟอเอฟเวอร์ 21
โครงการสิ่งแวดล้อมแห่งสหประชาชาติ (UNEP) ระบุว่า สินค้าแฟชั่นเร่งด่วนกลายเป็นปมปัญหาของโลก เพราะกระบวนการผลิตเสื้อผ้าเหล่านี้มีสัดส่วน 10% ของการปล่อยก๊าซเรือนกระจกสู่ชั้นบรรยากาศ มากกว่าภาคการบินและภาคขนส่งสินค้าทางเรือรวมกัน แถมยังปล่อยน้ำเสียราว 20% ของปริมาณน้ำเสียทั้งโลก เฉพาะกระบวนการฟอกย้อมปล่อยน้ำเสียราว 93,000 ล้านลูกบาศก์เมตร
นอกเหนือไปจากนั้น ผลพวงการผลิตแฟชั่นเร่งด่วนกลายเป็นขยะเสื้อผ้าปีละ 92 ล้านตัน และอีกราว 6 ปีข้างหน้าจะทะลุไปถึง 134 ล้านตัน ขยะพวกนี้ไม่สามารถนำไปแปรรูปได้ การย่อยสลายใช้เวลานาน ปลายทางสุดท้ายอยู่ที่หลุมขยะหรือไม่ก็เป็นสินค้ามือสองวางขายในประเทศกำลังพัฒนา
วัตถุดิบที่นำมาผลิตเป็นแฟชั่นเร่งด่วนส่วนใหญ่เป็นเส้นใยสังเคราะห์ เช่น โพลีเอสเตอร์, ไนล่อน หรือโพลีเอไมด์ (Polyamide)
ขยะแฟชั่นแตกย่อยกลายเป็นไมโครพลาสติกขนาดจิ๋วกระจัดกระจายซึมลึกในดินแหล่งน้ำ ประเทศกำลังพัฒนาเป็นแหล่งรวมขยะแฟชั่นเพราะกลุ่มนายทุนรับซื้อขยะเหล่านี้ไปทิ้ง
ที่ทะเลทรายอะทาคามา (Atacama) พื้นที่กันดารของประเทศชิลี มีกองขยะเสื้อผ้าแฟชั่นเร่งด่วนขนาดมหึมา น้ำหนักไม่น้อยกว่า 3 หมื่นตัน
เสื้อผ้าแฟชั่นเร่งด่วนส่วนใหญ่ผลิตจากจีน บังกลาเทศ ส่งไปขายไปยุโรป เอเชียและสหรัฐ กลายเป็นขยะและสินค้ามือสองลักลอบนำเข้าไปทิ้งที่อะทาคามา สร้างความเสียหายอย่างมากเนื่องจากสิ่งแวดล้อมเป็นพิษ
สหประชาชาติมองเห็นปัญหานี้ลุกลามใหญ่โตจึงนำมาถกกันบนเวที COP24 เมืองคาโตวิซ ประเทศโปแลนด์เมื่อ 6 ปีที่แล้ว
ผลสรุปจากการหารือให้กลุ่มธุรกิจแฟชั่นเร่งด่วนซึ่งรวมถึงผู้ผลิตสินค้าแฟชั่นรายใหญ่อย่างหลุยส์ วิตตอง, แชนเนล, อาดิดาส, ไนกี้ ลงนามในข้อตกลงลดการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (The UN Fashion Industry Charter for Climate Action) ให้เป็นศูนย์ภายในปี 2593
ยูเอ็นยังขอให้กลุ่มธุรกิจเสื้อผ้าสิ่งทอดังกล่าวใช้วัตถุดิบที่มีผลกระทบกับสภาพภูมิอากาศให้น้อยที่สุด ต้องนำไปรีไซเคิลได้และวัสดุที่ใช้ไม่มีส่วนทำลายป่าไม้หรือเปลี่ยนแปลงสภาพที่ดิน รวมถึงหยุดใช้ถ่านหินหรือไม่ใช้โรงงานผลิตที่ใช้เชื้อเพลิงฟอสซิล
“ซาร่า” ประกาศแผนใช้วัตถุดิบเฉพาะฝ้ายและโพลีเอสเตอร์ซึ่งนำมาแปรรูปกลับมาผลิตซ้ำได้อีก
ส่วนเอชแอนด์เอ็ม เป็นยักษ์ใหญ่อันดับ 2 มีสโตร์โชว์สินค้า 5,000 แห่งทั่วโลก พยายามแก้ภาพลักษณ์ด้วยการทำตัวเป็นเด็กดีภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยการใช้วัสดุยั่งยืนในการผลิตสินค้าอย่างน้อย 50% เพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ก่อนหน้านี้เอชแอนด์เอ็มมีเรื่องอื้อฉาวทั้งปมการผลิตสินค้าแฟชั่นเร่งด่วนยังมีปมการใช้สารอันตราย เช่น เพอร์ฟลูโอโรคาร์บอน หรือ PFCs อยู่ในกลุ่มก๊าซฟลูโอริเนต, พาทาเลต (phthalates) สารที่ทำให้พลาสติกอ่อนตัว รวมถึงการกดค่าแรง
พยายามแก้ภาพลักษณ์ด้วยการทำตัวเป็นเด็กดีภายใต้ข้อตกลงว่าด้วยการใช้วัสดุยั่งยืนในการผลิตสินค้าอย่างน้อย 50% เพื่อลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์
ปมที่ 13 การจับปลาเกินขนาด (Over Fishing) เป็นปมปัญหาของโลกมานานแล้วเนื่องจากกลุ่มอุตสาหกรรมประมงเห็นเพียงแค่ผลประโยชน์ทางธุรกิจมองหาแต่ผลกำไรจับปลาให้มากเข้าไว้เพื่อตอบสนองต่อความต้องการของผู้บริโภคโดยไม่คำนึงถึงความสมดุลทางธรรมชาติและระบบนิเวศน์ทางทะเล
ชาวโลกราว 3,000 ล้านคน นิยมชมชอบปลาเพราะเชื่อว่าเป็นแหล่งโปรตีนที่สร้างเสริมสุขภาพได้ดีเยี่ยม
ความนิยมปลาเพิ่มจากอดีตเมื่อ 50 ปี 2 เท่าตัว เมื่อก่อนคนกินปลาเฉลี่ยคนละ 9.9 กิโลกรัม เดี๋ยวนี้คนละ 20.2 กิโลกรัม
ตลาดปลาทั้งโลกมีมูลค่า 406,000ล้านเหรียญสหรัฐ (เอา 35 บาทคูณเป็นเงินไทย) ผลิตภัณฑ์ทางทะเลพุ่งขึ้นทุกปี เฉลี่ยราว 214 ล้านตัน
ความต้องการมากขึ้น การจับปลาจึงมีมากกว่าเดิม
ประเมินว่า การจับปลาเกินขนาดเพื่อหวังผลทางการค้ามีมากถึง 30% ทำให้เกิดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ทางทะเลอย่างรุนแรง
ปลาแอตแลนติกทูน่าครีบน้ำเงิน (Atlantic Bluefin Tuna) เป็นปลาที่ชาวประมงจ้องจับมากที่สุด เพราะราคาแพงนำไปทำเป็นซาซิมิ ชูซิรสชาติอร่อย
เมื่อ 3 ปีก่อน ตลาดปลาโตโยสุ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น เปิดประมูลขายปลาแอตแลนติกทูน่าครีบน้ำเงินเพียงตัวเดียวราคาสูงถึง 333.6 ล้านเยน หรือราว 98 ล้านบาท
ชาวประมงเล็งหาเทคนิคใหม่ๆ เพื่อจับปลาแอตแลนติกทูน่าครีบสีน้ำเงินให้ได้มาก ส่งผลให้ปลาสายพันธุ์นี้ลดลงจนเกือบจะสูญพันธุ์
“แอตแลนติกทูน่าครีบสีน้ำเงิน” มีความสำคัญมากในระบบนิเวศน์ทางทะเล เป็นปลาที่ปรับตัวได้ดี เป็นนักเดินทางไกล ชอบอาศัยในทะเลเปิด
บางปีเดินทางหลายพันกิโลเมตร วางไข่ในอ่าวเม็กซิโก มหาสมุทรแปซิฟิกและมหาสมุทรแอตแลนติก อพยพไปหากินทางตอนเหนือที่มีอุณหภูมิเย็นกว่าอยู่ในน้ำลึกกว่า 900 เมตร ปลาชนิดนี้มีชีวิตอยู่นานถึง 40 ปี (ถ้าไม่ถูกล่าไปกินซะก่อน)
รัฐบาลหลายประเทศเห็นว่าอุตสาหกรรมประมงสร้างรายได้มากจึงมุ่งส่งเสริมด้วยการอัดฉีดเงินสนับสนุนสร้างเรือใหม่ๆ อุปกรณ์จับปลาที่มีเทคโนโลยีทันสมัย บางประเทศยังลดราคาน้ำมันให้ด้วย
เมื่อ 2 ปีที่แล้ว องค์การการค้าโลกประกาศห้ามนานาประเทศให้ทุนอุดหนุนการทำประมงเพื่อป้องกันการจับปลาเกินขนาด
ส่วนสหประชาชาติเร่งหามาตรการการจับปลาให้เป็นไปอย่างยั่งยืนสมดุลกับธรรมชาติ เพราะถ้ายังขืนจับปลากันอย่างวันนี้ อีกไม่เกิน 30 ปีข้างหน้าปลาจะไม่มีเหลือให้จับ
ปมที่ 14 “เหมืองโคบอลต์” แร่โคบอลต์มาแรงจัดเพราะใช้เป็นวัตถุดิบในการผลิตอุปกรณ์เพื่อทำพลังงานหมุนเวียน เป็นหัวใจสำคัญของแบตเตอรี่ในรถยนต์พลังงานไฟฟ้า หรืออีวี (Electric Vehicle)
สถานการณ์โลกผันผวนไม่แน่นอน การเกิดสงครามระหว่างยูเครน-รัสเซีย การสู้รบในตะวันออกกลาง อิสราเอล-เลบานอนและกลุ่มฮามาส มีส่วนสำคัญที่ทำให้ราคาน้ำมันปั่นป่วนและเป็นตัวเร่งให้นานาประเทศหันเหไปพึ่งพาพลังงานหมุนเวียนเร็วกว่าเดิม
แหล่งแร่โคบอลต์ใหญ่สุดในโลกอยู่ที่สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโต ทวีปแอฟริกา แต่การทำเหมืองโคบอลต์มีความเสี่ยงทั้งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อมและสุขภาพร่างกายของคนงาน เนื่องจากโคบอลต์มีกัมมันตภาพรังสีปนเปื้อนในระดับสูง
ถ้าควบคุมการผลิตไม่ได้มาตรฐานสารพิษอันตรายจะกระจายสู่สิ่งแวดล้อมปนเปื้อนแหล่งน้ำและอากาศ
ปมที่ 15 “ภาวะดินเสื่อม” เป็นปมปัญหาท้าทายโลกที่องค์กร “เอิร์ธ” รวบรวมข้อมูลนำมาเผยแพร่ต่อสาธารณะ เพราะเห็นว่า ส่วนประกอบของดินที่สมบูรณ์จะช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์จากชั้นบรรยากาศ ต้นไม้ที่ปลูกในผืนดินก็ช่วยทำให้อากาศสะอาด
แต่วันนี้ ภาวะดินเสื่อมเกิดขึ้นทั่วโลก ดินเสื่อมเพราะเกษตรกรใช้ยาเคมีเร่งการเติบโตของพืชผักผลไม้ ใช้สารเคมีฉีดป้องกันแมลงและฆ่าหญ้า
ภาคอุตสาหกรรมการเกษตรยังมีพฤติกรรมเดิมๆ เช่นนี้และยังไม่คิดปรับเปลี่ยนสู่วิถีใหม่ๆ จะทำให้ภาวะดินเสื่อมเพิ่มระดับความรุนแรง ผลผลิตลดลงสวนทางกับการขยายตัวของประชากรโลก
ทั้ง 15 ปมที่องค์กร “เอิร์ธ” ได้สรุปไว้ และคอลัมน์นี้นำมาเรียบเรียงเป็นตอนๆ รวมทั้งหมด 3 ตอน นับเป็นปมใหญ่ท้าทายชาวโลกให้ขบคิดเพื่อหาทางแก้อย่างเร่งด่วนนับแต่บัดนี้
สวัสดีปีใหม่ 2568 •
สิ่งแวดล้อม | ทวีศักดิ์ บุตรตัน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022