ยุทธการ 22 สิงหา : องค์การ ‘ร่ม’ ของ ‘คนเสื้อแดง’ คว่ำ โค่น ล้ม ปรปักษ์การเมือง

การเคลื่อนไหวในเดือนเมษายน 2552 ของแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ “นปช.” มีจุดเริ่มต้นมาจากชะตากรรมพรรคไทยรักไทย พรรคพลังประชาชน และโดยเฉพาะอย่างยิ่งจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร

จุดกำเนิดจึงสัมพันธ์กับรัฐประหารเมื่อเดือนกันยายน 2549 สัมพันธ์กับการเคลื่อนไหวของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย

การศึกษาและทำความเข้าใจต่อกระบวนการในการเคลื่อนไหวของ “คนเสื้อเหลือง” จำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจต่อรากฐานและความเป็นมาของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยฉันใด

การศึกษาและทำความเข้าใจต่อกระบวนการในเคลื่อนไหวของ “คนเสื้อแดง” ก็จำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจต่อรากฐานและความเป็นมาของแนวร่วมประชา ธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติฉันนั้น

บทความ “กำเนิดและพลวัต ‘คนเสื้อแดง'” ของ ยุกติ มุกดาวิจิตร อุเชนทร์ เชียงแสน ซึ่งตีพิมพ์ในหนังสือ “ความจริงเพื่อความยุติธรรม : เหตุการณ์และผลกระทบจาก การสลายการชุมนุม เมษายน-พฤษภาคม 53” ของศูนย์ข้อมูลประชาชนผู้ได้รับผลกระทบจากการสลายการชุมนุมกรณี เม.ย.-พค.53 (ศปช.) จะมีส่วนอย่างสำคัญในการเติมเต็มและตอบคำถามได้

ตอบคำถามจากจุดที่มีรัฐบาลพรรคไทยรักไทย ตอบคำถามจากจุดที่มีรัฐประหาร ตอบคำถามจากจุดที่มีการต่อต้านรัฐประหาร ต่อต้านรัฐบาลอันมีพื้นฐานมาจากรัฐประหารทั้งทางตรงและทางอ้อม

เมื่อทำความเข้าใจต่อรากฐานและการก่อเกิดของขบวนการต่อต้านรัฐประหารก็จะเข้าใจถึงการก่อรูปขึ้นของ “คนเสื้อแดง”

ต้องอ่าน

 

ช่วงแรก การต่อต้านรัฐประหารเกิดขึ้นจากกลุ่มกิจกรรมเล็กๆ ที่จัดตั้งกันเองและค่อนข้างอิสระ หลายกลุ่ม

โดยมีจุดยืนทางการเมืองที่หลากหลาย

คือ มีทั้งผู้ที่สนับสนุนและไม่สนับสนุนอดีตนายกรัฐมนตรีทักษิณ เช่น “เครือข่าย 19 กันยา ต้านรัฐประหาร” และ “กลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ” ซึ่งส่วนใหญ่เป็นนักกิจกรรมและประชาชนธรรมดา

กลุ่มเหล่านี้ได้เริ่มเปิดประเด็นวิพากษ์บทบาททางการเมืองของประธานองคมนตรีในการรัฐประหารและการแทรกแซงทางการเมือง รวมทั้งมีการรวมตัวกันเดินขบวนประท้วงไปยังหน้าบ้านสี่เสาเทเวศร์

ขณะที่กลุ่มผู้บริหารสถานีโทรทัศน์ People s Television (PTV) หรือพีทีวี นำโดย นายวีระ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายจักรภพ เพ็ญแข นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ และนายก่อแก้ว พิกุลทอง ซึ่งถือได้ว่าเป็น “เครือข่าย” ทักษิณ-ไทยรักไทย โดยตรง ได้ออกมาชุมนุมครั้งแรกที่สนามหลวงในวันที่ 23 มีนาคม 2550 (จากนั้นจึงจัดการชุมนุมทุกสัปดาห์)

โดยจำกัดประเด็นไว้ที่การตรวจสอบคณะรัฐประหารในนามคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) เท่านั้น

ต่อมา ในเดือนพฤษภาคม 2550 ส่วนใหญ่ของกลุ่มย่อยต่างๆ (ประกอบด้วยกลุ่มคนวันเสาร์ไม่เอาเผด็จการ, กลุ่มเพื่อนรัฐธรรมนูญ 2540, กลุ่มคนจนเมืองรักประชาธิปไตย, สมาพันธ์ประชาธิปไตย, พันธมิตรสหภาพแรงงานประชาธิปไตย, สมาพันธ์คนรักประชาธิปไตย, นิตยสาร “สยามปริทัศน์”, พรรคแนวร่วมภาคประชาชน, สหพันธ์นิสิตนักศึกษาแห่งประเทศไทย (สนนท.), เครือข่ายรามคำแหงรักประชาธิปไตย, สหพันธ์แรงงานอาหารและเครื่องดื่ม, กลุ่มพลเมืองภิวัฒน์, กลุ่มกรรมกรปฏิรูป, ชมรมคนรักอุดร, มูลนิธิวีรชนประชาธิปไตย, สมาพันธ์แนวร่วมประชาธิปไตยอีสาน, สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอตัดเย็บเสื้อผ้า, กลุ่มประชาธิปไตยไม่ใช่แค่กิ๊ก (กปก.), กลุ่มพลังหนุ่มสาวเพื่อประชาธิปไตย, โครงการรณรงค์เพื่อแรงงานไทย, สหพันธ์แรงงานกระดาษ และแนวร่วมประชาชนแห่งประเทศไทย

ได้ร่วมกันก่อตั้ง “องค์กรร่ม” (umbrella organization) ขึ้นเพื่อต่อต้านรัฐประหาร คือ “แนวร่วมประชาชนต่อต้านรัฐประหาร” (นป.ตร.) ภายใต้ยุทธศาสตร์ “คว่ำ โค่น ล้ม”

“คว่ำ” หมายถึงคว่ำรัฐธรรมนูญ 2550 เอารัฐธรรมนูญ 2540 คืนมาให้ประชาชนปรับแก้ในบรรยากาศประชาธิปไตย

“ล้ม” หมายถึงล้ม คมช.และผลิตผลทั้งหมดของ คมช.

“โค่น” หมายถึงโค่นล้มระบอบอำมาตยาธิปไตยอันมี พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ เป็นตัวแทน เพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริงของประชาชนขึ้นมา

แต่ไม่นานสถานการณ์ก็เปลี่ยน

 

หลังจากตุลาการรัฐธรรมนูญตัดสินใจยุบพรรคไทยรักไทย (30 พฤษภาคม 2550) กลุ่มพีทีวีเริ่มต้นปักหลักชุมนุมใหญ่ทันทีที่สนามหลวงในวันที่ 2 มิถุนายน 2550 โดยได้ประกาศ “ขับไล่ คมช.”

และจัดองค์กรการนำใหม่ในนามของ “แนวร่วมประชาธิปไตยขับไล่เผด็จการ (นปก.)”

ในช่วงนี้การเคลื่อนไหวของกลุ่มต่างๆ เกือบทั้งหมดได้ถูกผนวกรวมไว้ภายใต้การนำของ นปก. รวมทั้งมีการระดมผู้สนับสนุนจากต่างจังหวัดเข้าร่วมการชุมนุมโดยมียุทธศาสตร์หลักคือ

มุ่งระดมกำลังเข้าร่วมการชุมนุมใหญ่เพื่อโค่นล้ม คมช.

นอกจากนี้ นปก.ยังได้เคลื่อนขบวนไปกดดัน พล.อ.เปรมให้ลาออกจากตำแหน่งที่บ้านสี่เสาเทเวศร์ และถูกสลายการชุมนุมในวันที่ 22 กรกฎาคม 2550

ต่อมา เมื่อการเคลื่อนไหวไม่ประสบความสำเร็จจึงหันมารณรงค์ไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ 2550 ในระยะสุดท้าย แต่ก็พ่ายแพ้ในการลงประชามติเมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2550

อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นพรรคพลังประชาชนซึ่งสืบเนื่องมาจากพรรคไทยรักไทยที่ถูกยุบไปก็ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้ง 23 ธันวาคม 2550 จนเป็นแกนนำในการจัดตั้งรัฐบาลที่มี นายสมัคร สุนทรเวช หัวหน้าพรรค เป็นนายกรัฐมนตรี

ส่วน นปก.นั้นหลังเสร็จสิ้นประชามติรับร่างรัฐธรรมนูญ 2550 แล้ว แกนนำ นปก.ได้จัดตั้ง “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)” ขึ้นมาแทนในวันที่ 23 สิงหาคม 2550 ที่โรงแรมรัตนโกสินทร์ เพื่อเคลื่อนไหวทางการเมืองต่อไป

ต่อมา เมื่อแกนหลักของ นปก.ได้เข้าไปทำงานในส่วนของรัฐบาลและยุติการเคลื่อนไหวนอกสภาไปโดยปริยาย การนำหลักของ นปช.จึงอยู่กับแกนนำกลุ่มย่อย

ที่ไม่ได้อยู่ในเครือข่ายทักษิณ-ไทยรักไทยโดยตรง

 

กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยออกเคลื่อนไหวอีกครั้งหลังจากพรรคพลังประชาชนมีชัยชนะการเลือกตั้ง โดยอ้างว่ารัฐบาลสมัครเป็น “นอมินี” ของทักษิณ-ไทยรักไทย

เมื่อพันธมิตรฯ เริ่มต้นเคลื่อนไหวจากประเด็นคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญ 2550 และยกระดับขับไล่รัฐบาลโดยทันที

หลังจากเริ่มต้นการชุมนุมใหญ่ในวันที่ 25 พฤษภาคม 2551 กลุ่มผู้สนับสนุนรัฐบาลที่เป็นกลุ่มอิสระย่อยๆ รวมทั้ง “นปช.” จึงออกมาเคลื่อนไหวต่อต้านโดยทันทีที่สนามหลวง

ขณะที่แกนนำพีทีวีเดิมที่เข้าไปเป็นส่วนหนึ่งในรัฐบาลได้จัดรายการ “ความจริงวันนี้ “ออกอากาศในเดือนกรกฎาคม 2551 ทางสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทยเพื่อตอบโต้ข้อกล่าวหาของพันธมิตรฯ

ต่อมาได้มีการยกระดับเป็นการจัดชุมนุมทางการเมืองผ่านการจัดรายการ “สัญจร” ในนามของ “ครอบครัวความจริงวันนี้” โดยจัดเป็นครั้งแรกที่อาคารธันเดอร์โดม เมืองทองธานี เมื่อวันเสาร์ที่ 11 ตุลาคม 2551 โดยผู้จัดได้ประกาศให้ผู้เข้าร่วมใส่เสื้อแดง

นี่เป็นครั้งแรกที่มีการใช้ “สีแดง” เป็นสัญลักษณ์ในการเคลื่อนไหวอย่างเป็นทางการ

จากนั้น การเคลื่อนไหวทั้งหมดจึงรวมศูนย์อยู่ที่รายการความจริงวันนี้สัญจร

การเคลื่อนไหวนี้ประสบความล้มเหลวอีกครั้งเมื่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญมีมติยุบพรรคพลังประชาชนในวันที่ 2 ธันวาคม 2551 หลังจากพันธมิตรบุกยึดสนามบิน การยุบพรรคนำไปสู่การเปลี่ยนขั้วทางการเมือง พรรคร่วมรัฐบาลเดิมและสมาชิกพรรคพลังประชาชนเดิมจำนวนหนึ่งกันไปสนับสนุนพรรคประชาธิปัตย์ ภายใต้ข่าวลืออย่างหนาหูว่ามีการจัดตั้งรัฐบาลในค่ายทหาร

และพรรคการเมืองบางพรรคถูกบังคับให้เปลี่ยนขั้วโดย “อำนาจพิเศษ” ที่ไม่สามารถปฏิเสธได้