ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 10 - 16 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ยุทธบทความ |
ผู้เขียน | ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข |
เผยแพร่ |
“จรวดก็คือจรวด มันไม่ได้แตกต่างกันเลยไม่ว่าคุณจะถูกฆ่าด้วยจรวดที่ยิงจากสหภาพโซเวียต หรือจากคิวบาก็ตาม”
รัฐมนตรีกลาโหม Robert McNamara
คำกล่าวในช่วงวิกฤตการณ์จรวดที่คิวบา 1962
หมายเหตุผู้เขียน :
คําว่า “จรวด” (rocket) ในบทความนี้ มีความหมายถึง “ขีปนาวุธ” (ballistic missiles) หรือในบางส่วนอาจใช้ในความหมายของจรวดที่เป็น “อาวุธปล่อย” ทางยุทธวิธี (missiles) ที่ยิงสู่เป้าหมายจากอากาศยาน หรือปล่อยจากฐานยิงที่เป็นยานยนต์
มิติใหม่ของสงครามยูเครน
สัญญาณจากการที่รัสเซียใช้ขีปนาวุธพิสัยกลาง (IRBM) ยิงถล่มเมืองของยูเครนในวันที่ 21 พฤศจิกายน 2024 นั้น ต้องถือเป็นปรากฏการณ์สำคัญที่บ่งบอกถึงการยกระดับสงครามอย่างเห็นได้ชัด เพราะปกติรัสเซียจะโจมตีเป้าหมายในยูเครนด้วยจรวดระยะใกล้
การโจมตีครั้งนี้มีรายงานว่ามีการระเบิดต่อเนื่องกันถึง 3 ชั่วโมง เนื่องจากเป็นการโจมตีอย่างรุนแรง จนในเบื้องต้นนั้น หลายฝ่ายมีการประเมินว่าน่าจะเป็นการโจมตีด้วยขีปนาวุธข้ามทวีป (ICBM) แต่ทางการของฝ่ายตะวันตกได้ปฏิเสธถึงการใช้อาวุธชนิดนี้ เพราะหากเป็นการยิงขีปนาวุธข้ามทวีปจริงแล้ว ระบบเฝ้าตรวจและเตือนภัยการยิงขีปนาวุธของสหรัฐ จะแจ้งเตือนเพื่อเตรียมพร้อมรับสถานการณ์
หลังจากการโจมตีด้วยขีปนาวุธของรัสเซียเกิดขึ้นแล้ว ประธานาธิบดีปูตินจึงแถลงผ่านทางสถานีโทรทัศน์ของรัสเซียว่า อาวุธที่ใช้ในการโจมตียูเครนเป็น “ขีปนาวุธพิสัยกลางแบบใหม่” ชื่อ “โอเรชนิก” (Oreshnik)
ประธานาธิบดีปูตินมีความเชื่อมั่นในอาวุธชนิดนี้อย่างมาก ถึงกับมีถ้อยแถลงว่า “จนถึงปัจจุบันยังไม่มีอาวุธชนิดใดที่จะสามารถต้านทานอาวุธชนิดนี้ได้” เนื่องจากอาวุธมีความเร็วเหนือเสียง 10 เท่า อันมีนัยถึงการเป็น “อาวุธความเร็วสูง” (hypersonic weapons) ที่เดินทางด้วยความเร็ว 2.5-3 กิโลเมตรต่อ 1 วินาที ซึ่งด้วยความเร็วในระดับนี้ จึงเป็นความยากที่จะมีระบบอาวุธต่อต้านขีปนาวุธโอเรชนิก
นอกจากนี้ ในการโจมตีของรัสเซียนั้น ผู้นำรัสเซียได้ประกาศแล้วว่าเป็นการทดลองอาวุธใหม่ หรืออาจกล่าวในอีกมุมหนึ่งได้ว่า ผู้นำรัสเซียใช้เป้าหมายในยูเครนเป็น “สนามทดสอบอาวุธ” โดยเขาได้กล่าวว่าการทดลองเช่นนี้จะมีอีกต่อไป และจะเป็นการทดสอบในภาวะสงคราม (test in combat conditions)
ขีปนาวุธโอเรชนิกติดตั้งหัวรบได้ 6 ลูก และในแต่ละหัวรบจะติดตั้งระเบิดได้ 6 ชุด ซึ่งจะทำให้เกิดอำนาจการทำลายอย่างมาก ต่างจากการโจมตีทางอากาศของรัสเซียในช่วงที่ผ่านมา ไม่ว่าจะเป็นการโจมตีด้วยโดรน หรือการโจมตีด้วยจรวดระยะใกล้ที่ปล่อยจากอากาศยาน เป็นต้น แต่การโจมตีดนิโปรในวันที่ 21 พฤศจิกายนนั้นเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างสิ้นเชิง เพราะครั้งนี้เป็นการโจมตีด้วยขีปนาวุธ ที่มีความเร็วสูง
ดังนั้น เส้นเวลาของวันที่ 21 พฤศจิกายน 2024 จึงมีความสำคัญอย่างมากที่เปิดมิติใหม่ของสงครามยูเครน ในบริบทของขีปนาวุธที่เป็นอาวุธความเร็วสูง จนอาจทำให้เห็นแนวโน้มของการเมืองโลกในปี 2025 ได้ว่า จะเป็นปีที่เห็นถึงการแข่งขันในเรื่องของขีปนาวุธนิวเคลียร์ และหัวรบความเร็วสูงมากขึ้นอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
ปรากฏการณ์ดังกล่าว ว่าที่จริงก็คือสัญญาณถึงการแข่งขันของรัฐมหาอำนาจใหญ่ในเวทีโลก ที่หันกลับสู่ “การแข่งขันสะสมอาวุธนิวเคลียร์” อีกครั้งหนึ่ง หลังจากที่แนวโน้มนี้ ดูจะลดระดับลงอย่างมากด้วยการสิ้นสุดของสงครามเย็นในช่วงปลายของศตวรรษที่ 20
แต่วันนี้ ประเด็นของขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์กลับมาเป็นประเด็นอย่างชัดเจน
และยังผนวกเข้ากับพัฒนาการของเทคโนโลยีทหารสมรรถนะสูงที่เป็นเรื่องของอาวุธความเร็วสูง ซึ่งเป็นระบบอาวุธที่ยากแก่การป้องกัน
ดังที่ประธานาธิบดีปูตินได้กล่าวว่า ขีปนาวุธโอเรชนิกมีความเร็วเหนือเสียง 10 เท่า จึง “ไม่มีใครหยุดได้” (unstoppable)
แม้กระทั่งข้อมูลข่าวกรองของยูเครนในเบื้องต้นประเมินว่าขีปนาวุธนี้อาจมีความเร็วเหนือเสียงถึง 11 เท่า เนื่องจากใช้ระยะเวลาเดินทางโจมตีเพียง 15 นาที จากฐานยิงอัสตราคาน (Astrakhan) ในรัสเซียที่อยู่ห่างจากเป้าหมายในยูเครนราว 1,000 กิโลเมตร (มากกว่า 620 ไมล์) ซึ่งต้องถือเป็น “อาวุธความเร็วสูง” อย่างชัดเจน
[เปรียบเทียบในบริบทของไทย ระยะทางของทางหลวงหมายเลข 1 กรุงเทพฯ-เชียงใหม่ 686.9 กิโลเมตร ใช้ระยะเวลาเดินทางโดยรถยนต์ส่วนบุคคลประมาณ 9 ชั่วโมง หรือในกรณีที่เดินทางด้วยเครื่องบินโดยสารพลเรือน จะใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง 20 นาที]
เร็วมากขึ้นเท่าใด
ป้องกันยากมากขึ้นเท่านั้น
หากการพัฒนาขีปนาวุธและหัวรบนิวเคลียร์เป็นจุดเปลี่ยนสำคัญของกิจการทางทหารของโลกในศตวรรษที่ 20 จนอาจกล่าวได้ว่าขีปนาวุธติดหัวรบนิวเคลียร์เป็นศูนย์กลางของปัญหาในยุคสงครามเย็น และการพัฒนาอาวุธความเร็วสูงจะเป็นหัวข้อสำคัญในมิติของสงครามในศตวรรษที่ 21 ดังได้กล่าวในข้างต้นแล้วว่า ความเร็วของขีปนาวุธเป็นปรากฏการณ์ใหม่ในสนามรบอย่างที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
อาวุธความเร็วสูงเป็นหลักการพื้นฐานในวิชาทหาร คือ “จรวดยิ่งเร็วเท่าใด ก็ยิ่งถึงเป้าหมายเร็วเท่านั้น… จรวดถึงเป้าหมายเร็วมากเท่าใด ก็ยิ่งป้องกันยากมากเท่านั้น”
การยิงขีปนาวุธที่เป็นอาวุธความเร็วสูง จะทำให้ความเร็วที่เพิ่มมากขึ้นนั้น ทำให้เกิด “พลังงานจลน์” มากขึ้น และพลังงานจลน์ที่เพิ่มมากขึ้นเช่นนี้ ยิ่งทำให้ขีปนาวุธมีอำนาจมากขึ้นในขณะที่หัวรบกำลังตกลงสู่เป้าหมาย (kinetic energy – พลังงานที่เกิดจากการเคลื่อนที่ของวัตถุ) และการตกลงด้วยพลังงานจลน์ที่สูงมากเช่นนี้ จะทำให้ “ระบบป้องกันขีปนาวุธ” (BMD) หรือ “จรวดจากพื้นสู่อากาศ” (SAM) ไม่สามารถทำลายเป้าหมายที่ต้องการได้
ตัวอย่างเช่น ระบบป้องกันขีปนาวุธแบบ “แพทริออต” (MIM-104 Patriot) ที่สหรัฐให้แก่ยูเครน อาจจะไม่สามารถใช้ป้องกันขีปนาวุธความเร็วสูงได้
ในช่วงแรกของสงครามยูเครน ระบบป้องกันขีปนาวุธแบบแพทริออตมีประสิทธิภาพอย่างมากในการป้องกันการโจมตีทางอากาศของรัสเซีย ที่ใช้จรวดทางยุทธวิธีแบบ “สกั๊ด” (SS-1, Scud) ซึ่งเป็นขีปนาวุธทางยุทธวิธีแบบมาตรฐานของรัสเซีย ที่ใช้มากในช่วงสงครามอ่าวเปอร์เซีย
พิสัยของระบบแพทริออตมีระยะอยู่ระหว่าง 40-160 กิโลเมตร (ประมาณ 100 ไมล์) ซึ่งจะใช้เพื่อครอบคลุมพื้นที่ “จุดป้องกัน” (point defense) ที่มีความสำคัญ เช่น เมืองหรือโครงสร้างพื้นฐานที่มีความสำคัญ
อย่างไรก็ตาม ระบบอาวุธชุดนี้มีราคาสูงมาก ชุดหนึ่งมีมูลค่าราว 3 ล้านเหรียญสหรัฐ ซึ่งต้องยอมรับว่ามีประสิทธิภาพอย่างมากในการป้องกันการโจมตีของรัสเซียที่ใช้ขีปนาวุธแบบเดิม
ซึ่งประมาณว่าร้อยละ 80 จะถูกยูเครนทำลายได้ในช่วงที่อาวุธดังกล่าวอยู่ในอากาศ
ดังนั้น การใช้ขีปนาวุธความเร็วสูงที่เปิดการโจมตีเป้าหมายในยูเครนเป็นครั้งแรกในวันที่ 21 พฤศจิกายนนั้น คือความพยายามที่รัสเซียจะลดอัตราความสูญเสียของการโจมตีที่เกิดขึ้น
ขณะเดียวกัน การเปิดปฏิบัติการเช่นนี้ ก็เป็นสัญญาณเตือนยุโรปทั้งหมด โดยเฉพาะทางนาโตที่เฝ้ามองการโจมตีของขีปนาวุธโอเรชนิกด้วยความวิตกกังวลอย่างมาก
หัวรบ-ความเร็ว-อำนาจทำลาย
การพัฒนาอาวุธความเร็วสูงของรัสเซียถูกปิดเป็นความลับมานาน ดังได้กล่าวแล้วว่าจรวดทางยุทธวิธีที่ใช้โจมตียูเครนนั้น เห็นได้ชัดว่าไม่มีประสิทธิภาพมากนัก แต่อำนาจการทำลายที่เกิดขึ้น เพราะจรวดที่หลุดรอดจากระบบป้องกันทางอากาศของยูเครนได้ประมาณร้อยละ 20 นั้น ทำลาย “เป้าหมายอ่อน” (soft targets) ที่เป็นสถานที่ของพลเรือน เช่น ที่อยู่อาศัย เป็นต้น
การโจมตีครั้งนี้จึงเป็นดังการเปิดตัวของระบบอาวุธชนิดใหม่ของรัสเซีย ซึ่งเมื่อการโจมตีเกิดขึ้นแล้ว หลายฝ่ายในช่วงต้นประมาณการณ์จากภาพของการทำลายที่เกิดขึ้นว่า น่าจะเป็นการโจมตีด้วย “ขีปนาวุธข้ามทวีป”
แต่สื่อรัสเซียคือ Izvestiya ให้ข้อมูลว่า อาวุธนี้เป็นขีปนาวุธพิสัยกลาง ที่มีพิสัยสูงสุดของขีปนาวุธในระดับนี้ คือ 2,500-3,000 กิโลเมตร (1,550-1,860 ไมล์) ซึ่งสามารถโจมตีเป้าหมายของเมืองในยุโรปได้ทั้งหมด
จึงทำให้เกิดมุมมองในอีกด้านว่า ขีปนาวุธโอเรชนิกเป็นการ “ลดรูป” ขีปนาวุธข้ามทวีปให้มีขนาดเล็กลง เพื่อใช้ในการโจมตีเป้าหมายในยุโรปได้โดยตรง
นอกจากนี้ ขีปนาวุธดังกล่าวมีศักยภาพที่จะพัฒนาให้เป็น “ขีปนาวุธข้ามทวีป” ที่มีพิสัยถึง 5,000 กิโลเมตร (3,100 ไมล์) และจะทำให้สามารถใช้ในการโจมตีเป้าหมายในสหรัฐได้ด้วย
สำหรับอำนาจการทำลายนั้น โอเรชนิกเป็น “ขีปนาวุธแบบหลายหัวรบ” จำนวน 6 ลูก ที่หัวรบแต่ละหัวสามารถตกลงสู่เป้าหมายแยกจากกันได้อย่างเป็นอิสระ ด้วยระบบนำวิถีของตัวเอง (มิใช่หัวรบที่ถูกบังคับวิถีให้ตกลงในจุดเดียวกัน คือเป็น “mobile independently guided warheads) ทั้งยังมีการพัฒนาเครื่องยนต์ของจรวดนี้ให้มีขีดความสามารถมากขึ้น เพื่อรองรับต่อการเป็นอาวุธความเร็วสูง
ขีปนาวุธชนิดนี้ยังถูกออกแบบให้มีศักยภาพโดยตรงต่อการทำลายเป้าหมายที่ความแข็งแรง ทนทานต่อการถูกโจมตี (hard target) เช่น บังเกอร์ใต้ดินที่เป็นศูนย์บัญชาการทางทหาร หรือศูนย์กลางใต้ดินของรัฐบาล เป็นต้น
และเป็นการทำลายโดยไม่มีความจำเป็นต้องติดหัวรบนิวเคลียร์ ที่จะทำให้เกิดความเสี่ยงต่อการเกิดของสงครามนิวเคลียร์
ความท้าทาย
สําหรับฝ่ายตะวันตกแล้ว อาจจะยังไม่มีขีปนาวุธชนิดใดที่อาจเทียบเคียงได้กับโอเรชนิก
แม้สหรัฐอาจจะมีขีปนาวุธแบบ “มินิตแมน 3” (LGM-30G, Minuteman III) ที่มีความสามารถข้ามทวีป แต่ก็เป็นขีปนาวุธนิวเคลียร์โดยตรง และอาจจะไม่สามารถติดตั้งหัวรบตามปกติได้ เพราะเป็นขีปนาวุธที่ออกแบบเพื่อใช้กับหัวรบนิวเคลียร์โดยตรง ขณะที่โอเรชนิกติดตั้งหัวรบได้ทั้ง 2 แบบ
ส่วนจรวดทางยุทธวิธีที่ใช้ในสนามรบของกองทัพยูเครนก็มีศักยภาพต่ำกว่ามาก เพราะถูกออกแบบส่วนหนึ่งเพื่อสนับสนุนปฏิบัติการของทหารราบและทหารม้าในสนาม จึงมีพิสัยการโจมตีไม่ไกลมากนัก เช่น “สตอมชาโดว์” (Storm Shadow) ของอังกฤษมีระยะยิงประมาณ 155 ไมล์ และมีความเร็วประมาณ 600 ไมล์/ชั่วโมง สำหรับ “ATACMS” ของสหรัฐ มีระยะประมาณ 180 ไมล์ และมีหัวรบขนาด 225 กิโลกรัม ซึ่งต่างจากขีปนาวุธพิสัยกลางของรัสเซีย ที่มีอำนาจการทำลายและความเร็วมากกว่า
ดังนั้น การเปิดตัวของขีปนาวุธโอเรชนิกจะกลายเป็น “แรงกระตุ้น” ให้ฝ่ายตะวันตกต้องเร่งพัฒนาขีปนาวุธความเร็วสูงในแบบที่ไม่แตกต่างกัน…
จึงไม่แปลกนักที่ปี 2025 จะเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญของการแข่งขันด้านจรวดความเร็วสูง เพราะการไม่พัฒนาจะทำให้เกิด “ช่องว่างขีปนาวุธ” (missile gap) เช่นที่ฝ่ายตะวันตกเคยถูกทิ้งห่างมาแล้วในยุคสงครามเย็น!
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022