เจ้าคุณประสาร (พระเทพวัชรสารบัณฑิต) ฝาก 4 ทางธรรมเพื่อการดำรงชีวิต ข้อคิดแก่นักการเมืองควรมีหิริโอตตัปปะ

เนื่องในโอกาสขึ้นปีใหม่ 2568 พระเทพวัชรสารบัณฑิต (เจ้าคุณประสาร) ผู้ช่วยเจ้าอาวาสพระอารามหลวง วัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฎิ์ราชวรมหาวิหาร ให้สัมภาษณ์ในรายการ MatiTalk มติชนสุดสัปดาห์ ฝากข้อคิดสำคัญเกี่ยวกับหลักธรรมที่คนไทยควรยึดถือและปฏิบัติเพื่อความสุขและความเจริญในชีวิตตลอดทั้งปีนี้

ต้องยอมรับทุกวันนี้สังคมไทยและสังคมโลกว่าเปลี่ยนไปทุกวัน ซึ่งคนส่วนใหญ่มักจะมองเรื่องวิถีชีวิตไปอีกในทางหนึ่ง แล้วน้อยที่จะนึกถึงธรรมะและจะดำรงตัวเองในภาระในหน้าที่หรือการเดินหน้าต่อไปในสังคมอย่างไร

ธรรมะที่อาตมาคิดว่าในโลกที่เปลี่ยนไปทุกวัน พลวัตที่เปลี่ยนไป เทคโนโลยีเข้ามาแทนผู้คน ภาวะจิตใจของผู้คนก็เปลี่ยนไป เทคโนโลยีเจริญขึ้นก็ไม่ได้หมายถึงว่าจิตใจจะสูงขึ้นตาม

อาตมาอยากฝากธรรมไว้ 4 ข้อ

ข้อแรกนั้นอยากให้ท่านทั้งหลายมี สติ

สติจะเป็นเรื่องที่บอกกับเราว่าก่อนจะทำ ระหว่างทำและหลังทำนั้นว่าเราต้องไม่พลั้งเผลอ เราต้องรู้ตัว โดยสติในทางพุทธศาสนาคือความไม่ประมาท แม้แต่พุทธองค์เมื่อปรินิพพานก็บอกพระสาวกว่ายังความไม่ประมาทให้เกิดขึ้น

เพราะฉะนั้น ตั้งแต่ปีใหม่นี้ ต่อไปนี้อยากให้ท่านทั้งหลายได้มีสติให้มาก ด้วยความไม่พลั้งเผลอ รำลึกได้ตลอดทั้งก่อนทำ ระหว่างทำ และหลังทำ

ข้อที่ 2 คือ วิริยะ ความเพียร

การที่จะทำให้ชีวิตประสบความสำเร็จและบรรลุเป้าหมายต้องมีความเพียร หรือภาษาบาลีเรียกว่าวิริยะ

ทำไมฝากถึงเรื่องความเพียร เพราะว่าสังคมเราเวลานี้เมื่อเรามีความฝัน เพ้อฝัน และต้องการที่จะประสบความสำเร็จ ต้องการความร่ำรวย ต้องการในสิ่งต่างๆ จึงเห็นข่าวแปลกๆ ว่าอยากรวย ทำแบบนี้รวยง่ายๆ โดยไม่มีวิริยะ เพราะฉะนั้น ถ้าท่านมีวิริยะ ท่านจะไม่ถูกหลอกในเรื่องเช่นนี้

ข้อที่ 3 ศรัทธา คือการเชื่อมั่นในคุณงามความดี

แต่ทุกวันนี้ในสังคมเราศรัทธามี 2 อย่างคือ ศรัทธาอย่างสุดโต่งจนนำไปสู่การถูกหลอกลวงหรือนำไปสู่ความเชื่อที่ผิดๆ หรือหลงผิด งมงาย

กับอย่างที่ 2 คือหมดศรัทธาคือไม่มีความเชื่อเลยและก็ละทิ้งหันหลังให้ ฉะนั้น ศรัทธาที่แท้จริงคือการที่เรารู้จักพอควร พอประมาณในเรื่องเชื่อมั่น ยึดถือในสิ่งที่เป็นคุณงามความดี

เช่น ศรัทธาในพุทธศาสนา ศรัทธาในศาสนา ศรัทธาในพ่อแม่ครูบาอาจารย์

ข้อสุดท้าย ข้อที่ 4 ปัญญา แปลว่า สิ่งที่ฉลาดรอบรู้จากการเรียน การคิดและการปฏิบัติ

ปัญญาเกิดจากการศึกษาเรียนรู้ ต้องมีปัญญาก่อนจึงพูด

ถ้าไม่มีปัญญาแล้วไปพูดจะทำให้เพ้อเจ้อไม่มีหลักเกณฑ์ อยากให้สังคมไทยใช้ปัญญาให้มาก ใช้ความคิดไตร่ตรองให้มาก ศึกษาเรียนรู้จนตกตะกอน เป็นสิ่งที่เรียกว่าปัญญา

เพราะฉะนั้น หลักธรรมทั้ง 4 ข้อนี้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่งต่อการดำรงชีวิตของคนในสังคมทั้งในวันนี้และวันปีใหม่ และตลอดปี

เจ้าคุณประสารตั้งข้อสังเกตว่า พระพุทธศาสนาในปีที่ผ่านมา นอกจากเรื่องดราม่าที่เกี่ยวข้องกับพระสงฆ์แล้วยังมีกรณีของกลุ่มบุคคลที่ตั้งตนขึ้นเป็น “ผู้นำทางจิตวิญญาณ” ตั้งสำนัก มีพิธีกรรมอะไรต่างๆ มีอาจารย์นั่น มีน้องนี่ ปรากฏให้เห็นไม่น้อยเช่นกัน

เรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าสังคมเราพึ่งพาการอ้อนวอน ซึ่งการอธิษฐานกับการอ้อนวอนมีความต่างกัน

การอธิษฐาน คือตั้งใจบอกว่าจะทำสิ่งใดให้ประสบความสำเร็จและเดินตามวิริยะ เดินทางศรัทธา เดินตามปัญญา

แต่การอ้อนวอน คือขอให้ดลบันดาลให้อย่างเดียว และคนทุกวันนี้ส่วนหนึ่งอ้อนวอน อยากรวยทางลัด อยากมีสุขภาพดี แต่การรับประทานยังเหมือนเดิม ไม่ออกกำลังกาย

ซึ่งตอบทางใจด้วยว่าอยากจะมีความสุขแต่ไม่ปฏิบัติ อยากจะร่ำรวยแต่ไม่มีวิริยะ ทำให้ถูกหลอกได้

รวมทั้งศรัทธาไปในทางที่จะให้น้ำหนักไปทางงมงาย จึงนำไปสู่การสมยอมกันทั้งสองฝ่าย

ฝ่ายหนึ่งก็อวดอ้างคุณวิเศษ ซึ่งไม่สามารถที่จะตรวจสอบได้ ไม่เป็นวิทยาศาสตร์

ส่วนอีกฝ่ายก็มักง่ายไม่มีความเพียร ไม่มีวิริยะ ไม่ปฏิบัติ อาศัยสิ่งที่เรียกว่าการอ้อนวอน การขอ การไปดูว่าวันเดือนปีไหนจะได้โชคได้ลาภ ก็สมยอมกันทุกฝ่ายก็เลยเป็นปัญหาใหญ่

โดยหลักคือเราเข้าไม่ถึงคำสอนที่แท้จริงในทางพุทธศาสนาว่าคนจะประสบความสำเร็จในแต่ละด้านต้องประกอบด้วยอะไร อันนี้เป็นสิ่งสำคัญ

เจ้าคุณประสารยังได้ฝากหลักธรรมที่เป็นข้อคิดสำคัญถึงนักการเมืองว่า การเมืองเป็นองคาพยพใหญ่ เป็นกระจกบานใหญ่ของสังคมและการเมือง เป็นตัวนำในหลายๆ เรื่อง ไม่เว้นแม้แต่เรื่องศาสนา คุณภาพของนักการเมืองเป็นเรื่องสำคัญ

ตอนนี้ในรัฐธรรมนูญ ในกฎหมายก็ตาม เราพยายามจะพูดถึงคุณภาพนักการเมืองผ่านปริญญา ตัวปริญญาก็ต้องกลับไปดูว่าวิธีการเรียน การได้มาและหลักสูตรเหล่านั้นใช่คำตอบที่แท้จริงของคนในสังคมไหม

แต่ว่าในที่สุดทางออกที่เรายังไม่เคยพูดถึงเลยว่าคำว่านักการเมืองที่มีคุณภาพ มันหมายถึงคุณภาพทางด้านจิตใจด้วย ไม่ใช่คุณภาพที่เป็นตัวใบปริญญาอย่างเดียว

และตัวใบปริญญานี้ก็เป็นปัญหาใหญ่ที่เรากำลังประสบอยู่ เช่น ไปเรียนจริงไหม หรือไปเรียนมาแล้วคุณภาพในหลักสูตรเป็นอย่างไร

เพราะฉะนั้น เรื่องจิตใจจึงเป็นเรื่องสำคัญ เรื่องคนจะพัฒนาหรือไม่พัฒนาอยู่ที่การประพฤติปฏิบัติ อยู่ที่ภาวะที่เรียกว่าได้รับการอบรมสั่งสอนฝึกฝนมาดีแล้ว นักการเมืองจะต้องเอาให้ชัดว่าวันนี้โลกเปลี่ยนไปไกลแล้ว ทำอย่างไรท่านจึงจะรู้จักคำว่าพอ

อยากให้นักการเมืองทั้งหลายรู้จักคำว่าพอ ท่านทั้งหลายที่เข้ามาเล่นการเมืองส่วนใหญ่จะเป็นคนชั้นกลางไปถึงจนถึงขั้นคนที่เป็นมหาเศรษฐี

แต่ว่ากิเลสของคนมันเหมือนแม่น้ำ มันไหลไม่มีที่สิ้นสุด ไม่รู้จะอะไรมากมาย ประชาชนก็ไปพึ่งนักการเมืองโดยพึ่งพาผ่านวัตถุไปพึ่งพาเรื่องขอโน่นขอนี่ โดยที่ไม่ได้ดูว่าบ้านเมืองมีฝ่ายบริหาร มีนิติบัญญัติ มีตุลาการ และนักการเมืองส่วนหนึ่งจึงแสวงหาผลประโยชน์เพื่อตอบสนองทั้งตัวเอง ครอบครัว และเอามาใช้จ่ายเพื่อดูแลประชาชน

ซึ่งก็ผิดทั้ง 2 ฐาน และเมื่อได้รับเลือกจากประชาชนมาแล้วก็ไม่คำนึงถึงหลักสำคัญในการบริหารประเทศ ทำอย่างไรจึงจะพัฒนาประเทศนี้ให้เจริญก้าวหน้าได้ บ้านเมืองวันนี้เราจะต้องเดินหน้าไปให้ทัดเทียมนานาอารยประเทศ ไม่ใช่ให้เขามองว่าเรายังเป็นประเทศที่ดูจะล้าหลังอยู่ ต้องทั้งหมด ต้องอาศัยนโยบาย อาศัยคุณภาพและหลักปฏิบัติของสิ่งที่เรียกว่านักการเมือง

เพราะฉะนั้น นักการเมืองยิ่งเมื่อมารวมกลุ่มกันมากขึ้นจากปัจเจก มาเป็นพรรค จากพรรคมาเป็นพรรคร่วม ก็ยิ่งไม่อยากเห็นสิ่งที่เรียกว่าต่อรองผลประโยชน์กันโดยไม่คำนึงถึงประชาชน โดยไม่คำนึงถึงบ้านเมือง โดยไม่คำนึงถึงประเทศชาติ

อันนี้เป็นหลักสำคัญ อยากให้นักการเมืองตั้งแต่นี้เป็นต้นไปไม่ว่าจะปีไหนๆ ก็ตาม ได้คำนึงถึงมากที่สุดหลักง่ายๆ คือให้รู้จัก บาปบุญคุณโทษ บาปมีจริง บุญมีจริง นรกมีจริง นรกในปัจจุบันนี้ นรกในจิตใจ นรกในสิ่งที่ร้อนรุ่มในจิตใจของเรา

อยากให้ท่านทั้งหลายรู้จักบาปบุญคุณโทษโดยมีหลักธรรมที่สำคัญที่นักการเมืองควรปฏิบัติให้มี หิริโอตตัปปะ ให้มีความละอายแก่ใจ มีความเกรงกลัวต่อบาป ให้สิ่งเหล่านี้ทั้งเบื้องหน้าเบื้องหลัง ทั้งในที่ลับ ทั้งในที่แจ้ง ให้คำนึงถึงหิริโอตตัปปะให้มาก

ถ้านักการเมืองไม่มีหิริโอตตัปปะตั้งแต่ต้น หลักธรรมประตูบานแรกนี้ไม่เปิดตั้งแต่ต้น ต่อไปท่านก็จะไม่เห็นแสงสว่างอื่นๆ ท่านจะไม่เห็นศรัทธา ไม่เห็นวิริยะ ไม่เห็นปัญญา ไม่เห็นอริยมรรค

ฉะนั้น นักการเมืองทั้งหลายในยุคปัจจุบันนี้การเมืองเปลี่ยนไปมาก ประชาชนก็เปลี่ยนไปมาก เด็กอายุ 18 ก็เปลี่ยนไปมาก และเขาเองก็โหวตอะไรที่จะทำให้เราเห็นรำไรๆ อยู่ถึงอนาคต

การที่จะคำนึงถึงผลประโยชน์ของตัวเอง คำนึงถึงกลุ่มของตัวเอง คำนึงถึงกิเลสตัณหาของตัวเองเพื่อจะสนองต่อตัวเอง อาตมาว่าอันนี้เป็นปัญหาของท่านแล้ว

แต่ปัญหาของท่านนี้เป็นปัญหาใหญ่ของบ้านเมืองด้วย คำนึงถึงเถอะ คำนึงถึงบาปบุญคุณโทษ และก็ให้มีความรู้สึกละอาย ให้มีความเกรงกลัวต่อบาป

ละอายนี้ไม่ใช่ละอายทั้งต่อหน้าอย่างเดียว อายลับหลังด้วย ระหว่างที่ท่านจะนอน ท่านทั้งหลายลองดูว่าอาบน้ำทำร่างกายให้ดีแล้วใส่เสื้อผ้าขาวเพื่อเห็นถึงความขาวสะอาดทางด้านกายลงไปถึงความสะอาดทางด้านใจ

และให้ท่านได้ภาวนาดูว่าเรานี้ที่ผ่านมาเราทำถูกไหม

เราได้ทำเพื่อประชาชนอย่างแท้จริงไหม

เราได้ทำเพื่อประเทศชาติอย่างแท้จริงไหมหรือเป็นแต่เพียงปากว่าไปอย่างนั้น แต่วิธีปฏิบัติทำให้คนเอือมระอา

ทำให้นักการเมืองเกิดความนิยมจากประชาชนและระบบอื่นก็จะมีโอกาสที่เข้ามาแทรกแซงในระบอบประชาธิปไตยได้มากขึ้น

เพราะฉะนั้น อยากให้ท่านทั้งหลายได้คำนึงถึงตัวเอง แล้วก็ให้คำนึงถึงหิริโอตตัปปะให้มาก เป็นหลักธรรมที่ควรจะมีอยู่ในใจของตัวเองให้มากที่สุด

มีมากเท่าไหร่แปลว่าเป็นคุณภาพของการเมืองไทยเป็นคุณภาพของประเทศไทย

และถ้าท่านมีหิริโอตตัปปะแล้วจะเป็นโอกาสของประเทศชาติ เป็นโอกาสของประชาชนที่จะพัฒนาไปในทุกๆ ด้าน นำพาประเทศไปสู่ความเจริญรุ่งเรืองอย่างที่ประเทศต่างๆ ทั้งในยุโรป ในอเมริกาเขาทำอยู่ในปัจจุบัน

เจริญพร