ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ในประเทศ |
เผยแพร่ |
เป็นที่ประจักษ์ว่าฝ่ายประชาธิปไตยชนะสนามเลือกตั้งปี 2566
แต่เพราะเป็นชัยชนะในเกมซึ่งถูกกำหนดโดยกลุ่มอำนาจเก่า ผลลัพธ์การเมืองจึงไม่เป็นแบบที่ควรจะเป็น
ในระดับหน้าฉาก “การเมืองยุคมรดก คสช.” จบลงแล้วก็จริง
แต่ในระดับหลังฉาก เป็นที่รู้กันดีกว่า การเมืองมรดก คสช.ยังทำงานอยู่ แค่ตัวละครหลักเสื่อมสภาพลงตามกาลเวลา
แต่ตัวละครระดับรอง หรือกลไกอำนาจบางส่วน ยังสามารถแปลงสภาพ แปลงรูป เพื่อบดบังอำพรางวิถีแห่งอำนาจตัวเอง เพื่อให้เป็นเครื่องมือที่ยังมีอยู่ ใช้จัดการ “ศัตรูระบบการเมือง คสช.” เมื่อจำเป็น หรือถึงเวลาที่ควร
การเมืองไทยหลังเลือกตั้งใหญ่ ต่อเนื่องมาจนถึงตลอดปี 2567 จึงเป็นการเมืองหลังยุค คสช.
แบ่งฝ่ายทางการเมืองได้คร่าวๆ เป็น 3 กลุ่มก้อนขั้วอำนาจ คือ ฝ่ายอนุรักษนิยม ฝ่ายประชาธิปไตยรอมชอม และฝ่ายประชาธิปไตยก้าวหน้า
3 กลุ่มก้อนขั้วอำนาจ อยู่ภายใต้การนำของผู้มีอิทธิพลทางความคิดสำคัญ 3 คน เป็นเบื้องหลัง
1.ขั้วอนุรักษนิยม หนึ่งในผู้มีบทบาทนำคนสำคัญคือ “เนวิน ชิดชอบ”
บ้านใหญ่บุรีรัมย์ แม่ทัพตัวจริงกองทัพสีน้ำเงิน โดยมีนายอนุทิน ชาญวีรกูล รับบทเป็นแม่ทัพทางการ “นั่งเก้าอี้อำนาจ” ควบคุมและนำทัพสีน้ำเงินในพื้นที่การเมือง โดยมีนายเนวิน ที่เรียกตัวเองว่า “ครูใหญ่ภูมิใจไทย” เป็นผู้ชี้นำทางเดิน
โดยเฉพาะเกมการเมืองในรัฐสภา ทั้งสภาผู้แทนราษฎรและวุฒิสภา การขยับในประเด็นกฎหมายและการเมืองหลายๆ วาระ มาจากมันสมองของ “ครูใหญ่” คนนี้
ไม่ต้องแปลกใจว่าวาระทางการเมืองของภูมิใจไทยในสภาล่างและสภาบนปี 2567 ที่ผ่านมา ทำงานกันอย่างกลมกลืน มีเสถียรภาพ กล้าที่จะหักกับวาระทางการเมืองของพรรคเพื่อไทยในหลายๆ ครั้ง ทั้งๆ ที่เป็นพรรคร่วมรัฐบาลเหมือนกัน
กลายเป็นเครื่องมือสำคัญ ต่อรองกับเพื่อไทย และสกัดวาระก้าวหน้าจากพรรคประชาชน ทำให้ปีนี้ หัวหน้าพรรคภูมิใจไทยได้รับฉายาจากสื่อทำเนียบว่า “ภูมิใจขวาง”
และไม่ต้องแปลกใจอีก ที่สื่อมวลชนรัฐสภามอบฉายาให้ “วุฒิสภา” ปีนี้ ว่า “เนวิ(น)เกเตอร์”
ขณะที่งานพรรคการเมือง นายเนวินส่งบุตรชาย นายไชยชนก ชิดชอบ เข้ามาเล่นการเมืองเต็มสูบ ปี 2567 ที่ผ่านมานั่งเก้าอี้เลขาธิการพรรค แถมฉายแววคล่องแคล่ว นำทีมยังบลัดภูมิใจไทย แถลงประเด็นการเมืองแล้วหลายรอบ ประเด็นเดือดๆ ก็ไม่มีหลบ
ในระดับมวลชน เนวินเองยังใช้พื้นที่ จ.บุรีรัมย์นำจัดอีเวนต์แสดงพลังจงรักภักดีระดับประเทศอยู่บ่อยครั้ง
กองทัพสีน้ำเงินยังขยายฐานอำนาจผ่านกลไกมหาดไทยที่มี รักษาเครือข่ายบ้านใหญ่ท้องถิ่น ซึ่งขณะนี้หลายพื้นที่เริ่มเทใจไปให้ “ขั้วสีแดง” มากขึ้นเรื่อยๆ
จบปี 2567 ต่อปี 2568 เนวินจึงเป็นผู้มีบทบาทสำคัญของขั้วการเมืองอนุรักษนิยม
สร้าง “ระบอบ 2 น.” ตรึงพื้นที่การเมือง แทนที่ “ระบอบ 3 ป.” ได้สำเร็จ
2.ขั้วประชาธิปไตยแบบรอมชอม ผู้มีบทบาทนำโดดเด่นในตอนนี้คือ “ทักษิณ ชินวัตร”
“บ้านจันทร์ส่องหล้า” แม่ทัพตัวจริงกองทัพแดง หลังเจอความผันผวนทางการเมืองอย่างหนัก พายุการเมืองเศรษฐกิจ และนิติสงคราม พัดถล่มรัฐบาลเศรษฐา ทวีสิน ล้มพังครืนต่อหน้าต่อตา
แม้จะยังไม่พร้อมมาก แต่เป็นไฟต์บังคับ ต้องดันบุตรสาว น.ส.แพทองธาร ชินวัตร เข้ามาครองอำนาจ พยุงรัฐนาวาเพื่อไทยไปให้ได้ตลอดรอดฝั่ง
จากปัจจัยทางการเมืองเศรษฐกิจที่รุมเร้ารัฐบาล ที่สุดแล้วก็บีบให้นายทักษิณต้องออกมาฉากหน้าเพิ่มขึ้น เดินบนเวทีการเมือง จับไมค์ขึ้นเวทีเดินสายปราศรัย ภาพย้อนกลับไปยุค 20 กว่าปีที่แล้วอีกครั้ง
ในระดับพื้นที่ นายทักษิณลุยเดินสายทั่วประเทศ ปลุกกระแสความนิยมไทยรักไทย เสื้อแดง กลับคืน ทวงคืนเก้าอี้เลือกตั้งท้องถิ่นทุกระดับเพื่อเพิ่มอำนาจต่อรอง พร้อมประกาศทวงคืนเก้าอี้ที่เคยเสียไปให้กับ “กองทัพส้ม”
ในระดับประเทศ นายทักษิณเดินสายโชว์วิสัยทัศน์ ประกาศนโยบายเปลี่ยนประเทศที่จะเกิดจากพรรคเพื่อไทย ให้สัมภาษณ์ตอบโต้ ต่อสู้ทางความคิดกับ “กองทัพส้ม” แบบเปิดหน้า ล่าสุดเปิดฉากซัดว่าเป็นพรรค “พูดเก่งแต่ทำไม่เป็น”
แต่การกลับมาของทักษิณในรอบนี้ ไม่เหมือนเช่นเคย ต้องยอมรับว่าด้วยการพลิกขั้วตั้งรัฐบาล และการชนะเลือกตั้งเป็นอันดับ 2 ทำให้อำนาจต่อรองลดลง ไม่เข้มแข็งเช่นยุคไทยรักไทย
นั่นจึงเป็นที่มาของการแข็งข้อขึ้นของพรรคร่วมรัฐบาลอย่าง “กองทัพสีน้ำเงิน”
การเมืองสไตล์ทักษิณปลายปี 2567 ต่อเนื่องไปยังปี 2568 จึงอยู่ในมาดที่เกรี้ยวกราดมากขึ้น เพื่อแตะเบรกและควบคุมอำนาจต่อรองของ “พรรคร่วมรัฐบาล” ที่จะมีมากขึ้น
การด่าพรรคร่วมรัฐบาลบางพรรคว่า “อีแอบ” พร้อมไล่ออกจากรัฐบาล เมื่อเดือนธันวาคมปี 2567 คือตัวอย่างแรก
แน่นอนว่าจะมีให้เห็นอีกในปี 2568
3.ขั้วประชาธิปไตยก้าวหน้า ผู้มีบทบาทนำเบื้องหลังคือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
แม่ทัพตัวจริงกองทัพส้ม ผู้ปักหมุดคนแรกๆ วางรากฐานพรรคการเมืองฝ่ายก้าวหน้า หวังสร้างการเปลี่ยนแปลงการเมืองไทยให้ดีขึ้น เป็นประชาธิปไตยจริงตามหลักการ ไม่ต้องมีระบบอำนาจนิยมอำพรางผสมอยู่
แต่เข้ามาอยู่ในระบบการเมืองไม่นาน ก็ถูกมรดกคณะรัฐประหารเล่นงาน ถูกตัดสิทธิ์การเมืองยาวนาน
จนถึงวันนี้ ไม่มีใครปฏิเสธว่า ผู้นำตัวจริงที่มีอิทธิพลทางความคิดระดับสูงจนถึงวันนี้ของ “กองทัพส้ม” และนักการเมืองพรรคประชาชน ก็คือ ธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ
ธนาธรยังคงเดินสาย บุกตะลุยท้องถิ่น สร้างฐานทางการเมืองในระดับพื้นที่มาตลอดปี 2567 และต่อเนื่องจนปี 2568
และยังคงจับมือปิยบุตร แสงกนกกุล อย่างแข็งขัน เพื่อรักษาแนวร่วมเดิม และขยายแนวร่วมใหม่กับประชาธิปไตยระดับท้องถิ่น
หมุดหมายอยู่ที่การได้เก้าอี้นายก อบจ. เพื่อหวังสร้างการเปลี่ยนแปลงจากการลงมือบริหารงบประมาณเองจริงๆ โดยหากทำได้ จะเปลี่ยนภูมิทัศน์การเมืองท้องถิ่นระดับมหาศาล
ในระดับประเทศก็ไม่เว้น ธนาธรยังคงทำงานกรรมาธิการที่สำคัญ บทบาทเด่นชัดสุดในปี 2567 ที่ผ่านมา คือการนำทีมพรรคประชาชน ฝ่าด่านปฏิรูปกองทัพ จนเกิดแรงกระเพื่อมรุนแรง หลายเหล่าทัพต้องเสียงอ่อน ยอมเฉือนผลประโยชน์ที่เคยยึดถือ มาให้คนส่วนใหญ่ได้ใช้ประโยชน์
นั่นคือสิ่งที่ธนาธรจะคงทำต่อเนื่องในปี 2568 คือ ปักธงทางความคิด สร้างฐานการเมืองเพื่อคว้าชัยในเลือกตั้งปี 2570
สมรภูมิการเมืองปี 2568 จึงยังเป็นการเมืองการต่อสู้ในกรอบ “ประชาธิปไตย” ปะทะ “อำนาจนิยมอำพราง”
โดยมี 3 กลุ่มก้อนอำนาจที่ต่อสู้-ต่อรองกัน
“ครูใหญ่ภูมิใจไทย” ในปี 2568 จะเดินหน้ายุทธศาสตร์ “หัวขบวนอนุรักษนิยม” สร้างฐานกำลังทางการเมืองและมวลชน แสดงอาการงัดข้อกับบ้านใหญ่จันทร์ส่องหล้า แตะเบรกพรรคเพื่อไทย ไม่ให้ผลักดันวาระทางการเมือง ผ่านการใช้เสียงของสภาล่าง-สภาบน ที่มีอยู่ในมือ
ส่วนระดับพื้นที่ ก็ยังคงขยายฐานอำนาจเครือข่ายบ้านใหญ่สู้กับขั้วอำนาจสีแดง ซึ่งปี 2567 ที่ผ่านมา กองทัพสีน้ำเงินกวาดรวมบ้านใหญ่ไว้ได้ในมือจำนวนมาก รักษาเก้าอี้นายก อบจ.ไว้ได้เพียบ
ขณะที่ “บ้านใหญ่จันทร์ส่องหล้า” ในปี 2568 มีความจำเป็นที่จะต้องเปิดศึกวิวาทะการเมือง กับกองทัพส้มมากขึ้นเพื่อดึงคะแนนการเมืองกลับมา พร้อมๆ กับการแตะเบรก “ความห้าว” ของ “กองทัพสีน้ำเงิน” ผ่านการดึงเครือข่ายท้องถิ่น-บ้านใหญ่ ที่เคยย้ายข้างไปให้กลับคืนมา เปิดฉากสู้ผ่านสนามเลือกตั้งท้องถิ่น ดึงพันธมิตรพรรคอื่น เขี่ยศัตรูทางการเมืองที่จำเป็น ถ้าทำได้ เพื่อรวบและสร้างฐานอำนาจ เตรียมพร้อมรับเลือกตั้งปี 2570
ส่วนธนาธรในปี 2568 ก็ยังเป็นปีแห่งการรักษา “วาระทางการเมืองแบบก้าวหน้า” ขยายพื้นที่การเมืองท้องถิ่น ต้องยึดเก้าอี้ให้ได้เพื่อสร้างผลงานรูปธรรม ขณะที่งานการเมืองระดับประเทศก็ผลักดันวาระผ่านรัฐสภาต่อเนื่อง รวมถึงเปิดแผลทางนโยบายของรัฐบาล เช่นที่เคยทำมาในปี 2567 ต่อ
นั่นคือการเมือง 3 ขั้วอำนาจ ในสนามการต่อสู้การเมืองไทย
บางช่วงขณะจะได้เห็น “กองทัพแดง” ผนึก “กองทัพสีน้ำเงิน” รวมตัวสู้ “กองทัพส้ม” โดยเฉพาะการเมืองในระบบ
บางช่วงเวลา จะได้เห็น “กองทัพส้ม” จับมือ “กองทัพแดง” ผลักดันวาระสำคัญ โดยมี “ทัพสีน้ำเงิน” ชักอาวุธ ขัดขวาง
บางช่วงเวลาจะได้เห็น “กองทัพน้ำเงิน” ส่งเสียงสนับสนุน “กองทัพส้ม” ตีหัว “กองทัพแดง” ก็เป็นไปได้
การเมืองปี 2568 จึงยังเป็นสมรภูมิการเมืองที่เดือดระอุ ต่อเนื่องจากปี 2567 โดยมี 3 บุคคลสำคัญ เป็นผู้นำทางจิตวิญญาณ/ความคิด
หากเปรียบการเมืองไทยยุค 3 ขั้วอำนาจ เป็นซีรีส์เรื่องหนึ่ง
ก็ต้องบอกว่า ซีรีส์เรื่องนี้ เพิ่งจะจบ EP 2 เท่านั้นเอง ยังเหลืออีกหลาย EP โดย 3 บุคคลสำคัญหลังฉากการเมือง ยังคงทำหน้าที่อย่างแข็งขัน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022