ตาบอดข้างเดียว ความพิการที่ขาดการดูแล และไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคมไทย

บทความพิเศษ | เทวินทร์ อินทรจำนงค์

 

ตาบอดข้างเดียว

ความพิการที่ขาดการดูแล

และไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคมไทย

 

ผู้ที่ประสบเหตุพิการตาบอดในตาข้างเดียวต้องเผชิญกับความยากลำบากในหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพกายและจิตใจ

การสูญเสียการมองเห็นในตาข้างเดียวส่งผลกระทบต่อการทำงาน ความสามารถในการดำรงชีวิต และการเข้าสังคม

การมองเห็นที่ลดลงยังเพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุในการทำงานและชีวิตประจำวัน

ผู้ประสบเหตุยังต้องเผชิญกับปัญหาในการปรับตัวและการพัฒนาทักษะใหม่

ขณะที่การเข้าถึงการช่วยเหลือและการสนับสนุนจากรัฐยังคงมีข้อจำกัด

 

ช่องว่างข้อกฎหมาย

แม้ว่าคนทำงานที่ประสบเหตุพิการตาบอดทั้งสองข้างนั้นจะมีระบบการดูแลช่วยเหลือที่ครอบคลุมในระดับหนึ่ง

แต่ทว่ากฎหมายในประเทศไทยยังไม่คุ้มครองและชดเชยผู้ที่ประสบเหตุพิการตาบอดข้างเดียวอย่างเพียงพอ เนื่องจาก

1. เกณฑ์ความพิการที่ไม่ครอบคลุม : กฎกระทรวงพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2552 และเกณฑ์การประเมินความพิการเน้นการพิจารณาความสามารถการมองเห็นรวมของทั้งสองตา ผู้ที่ตาข้างเดียวบอดแต่ตาอีกข้างปกติจึงไม่ได้รับการรับรองเป็นผู้พิการ

2. การชดเชยไม่เหมาะสม : พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ไม่ได้ระบุสิทธิประโยชน์ชัดเจนสำหรับกรณีสูญเสียการมองเห็นในตาข้างเดียว

3. ขาดการฟื้นฟูที่เหมาะสม : การสนับสนุนด้านจิตใจ การพัฒนาทักษะใหม่ และการฟื้นฟูสมรรถภาพยังไม่ได้รับการจัดการในระบบที่ครอบคลุม

 

แนวทางที่เหมาะสม

ในการดูแลและชดเชย

การดูแลควรจะครอบคลุมในหลายมิติดังนี้

1. การชดเชยและช่วยเหลือทางการเงิน : นายจ้างและกองทุนประกันสังคมควรให้ค่าชดเชยที่เหมาะสม รวมถึงเงินช่วยเหลือพิเศษจากรัฐ ในกรณีที่ลุกจ้างประสบเหตุพิการตาบอดหนึ่งข้าง

2. การฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ : จัดหาเครื่องมือช่วยเหลือ เช่น แว่นตาพิเศษ กายภาพบำบัด และโปรแกรมฟื้นฟูจิตใจ

3. การสนับสนุนการทำงาน : ปรับสถานที่ทำงานให้เหมาะสม เช่น การจัดแสงสว่างและการจัดหาอุปกรณ์ช่วยเหลือ

4. การเข้าถึงสิทธิและโอกาส : สนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสในสายงานที่เหมาะสม

 

ตัวอย่างจากประเทศพัฒนาแล้ว

  1. ญี่ปุ่น : การสูญเสียการมองเห็นในตาข้างเดียวได้รับการจัดเป็นผู้พิการบางส่วน (Partial Disability) ภายใต้พระราชบัญญัติการประกันเงินทดแทนอุบัติเหตุแรงงาน (Workers’ Accident Compensation Insurance Act) และจะได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย

2. สหรัฐอเมริกา : ผู้สูญเสียการมองเห็นข้างเดียวสามารถรับสิทธิประโยชน์จากการประกันสังคมกรณีทุพพลภาพ (Social Security Disability Insurance : SSDI) และมีโครงการสนับสนุนการฟื้นฟูสมรรถภาพด้วย

นอกจากนี้ ประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ อาทิ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เยอรมนี แคนาดา ล้วนมีกฎหมายและมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้พิการตาบอดหนึ่งข้างกันอย่างครอบคลุมทั่วถึง

โดยประเทศต่างๆ เหล่านี้จะประเมินอัตราความพิการโดยพิจารณาจาก ผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและการทำงาน โดยวิธีการคำนวณของแต่ละประเทศส่วนใหญ่จะกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์

การสูญเสียการมองเห็นในตาข้างเดียวจะถูกประเมินให้มีระดับความพิการอยู่ระหว่าง 20-30% ของความบกพร่องทั้งหมด

ซึ่งประเทศไทยอาจนำแนวทางนี้มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนากฎหมายและระบบการชดเชยที่เหมาะสมมากขึ้นในอนาคต

 

ข้อเสนอเพื่อปรับปรุงกฎหมาย

1. ปรับเกณฑ์ความพิการ : แก้ไขเกณฑ์การประเมินความพิการให้ครอบคลุมการสูญเสียการมองเห็นในตาข้างเดียว

2. ปรับปรุงพระราชบัญญัติประกันสังคมและเงินทดแทน : ขยายสิทธิประโยชน์สำหรับกรณีสูญเสียสมรรถภาพบางส่วน เช่น การเพิ่มค่าชดเชยและเงินช่วยเหลือพิเศษ

3. ออกกฎกระทรวงเพิ่มเติม : ระบุสิทธิและหน้าที่ของนายจ้างในการดูแลผู้ประสบเหตุพิการในที่ทำงาน

4. เร่งฟื้นฟูระบบสนับสนุน : พัฒนาบริการฟื้นฟูที่เหมาะสมทั้งด้านการแพทย์และการพัฒนาคุณภาพชีวิต

 

สิ่งที่ควรดำเนินการ

ดังนั้น จึงควรมีการศึกษาข้อมูลเปรียบเทียบจากต่างประเทศและรวบรวมสถิติในประเทศ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

เช่น กระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคม ควรมีการนำเสนอยื่นร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภา

และองค์กรภาคส่วนต่างๆ ควรมีการจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักและสนับสนุนการแก้ไขกฎหมาย

 

บทสรุป

ผู้ประสบเหตุพิการตาบอดข้างเดียวในประเทศไทยยังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบกฎหมายปัจจุบัน

การแก้ไขและปรับปรุงกฎหมาย รวมถึงการสร้างระบบสนับสนุนแบบบูรณาการ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้พวกเขาได้รับการดูแลและชดเชยอย่างเหมาะสม

การดำเนินการดังกล่าวไม่เพียงช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ประสบเหตุเท่านั้น แต่ยังจะช่วยสร้างความเป็นธรรมในสังคมไทยในระยะยาวต่อไป