ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 มกราคม 2568 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความพิเศษ | เทวินทร์ อินทรจำนงค์
ตาบอดข้างเดียว
ความพิการที่ขาดการดูแล
และไม่ได้รับความเป็นธรรมในสังคมไทย
ผู้ที่ประสบเหตุพิการตาบอดในตาข้างเดียวต้องเผชิญกับความยากลำบากในหลายมิติ ทั้งด้านสุขภาพกายและจิตใจ
การสูญเสียการมองเห็นในตาข้างเดียวส่งผลกระทบต่อการทำงาน ความสามารถในการดำรงชีวิต และการเข้าสังคม
การมองเห็นที่ลดลงยังเพิ่มความเสี่ยงต่ออุบัติเหตุในการทำงานและชีวิตประจำวัน
ผู้ประสบเหตุยังต้องเผชิญกับปัญหาในการปรับตัวและการพัฒนาทักษะใหม่
ขณะที่การเข้าถึงการช่วยเหลือและการสนับสนุนจากรัฐยังคงมีข้อจำกัด
ช่องว่างข้อกฎหมาย
แม้ว่าคนทำงานที่ประสบเหตุพิการตาบอดทั้งสองข้างนั้นจะมีระบบการดูแลช่วยเหลือที่ครอบคลุมในระดับหนึ่ง
แต่ทว่ากฎหมายในประเทศไทยยังไม่คุ้มครองและชดเชยผู้ที่ประสบเหตุพิการตาบอดข้างเดียวอย่างเพียงพอ เนื่องจาก
1. เกณฑ์ความพิการที่ไม่ครอบคลุม : กฎกระทรวงพัฒนาคุณภาพชีวิตคนพิการ พ.ศ.2552 และเกณฑ์การประเมินความพิการเน้นการพิจารณาความสามารถการมองเห็นรวมของทั้งสองตา ผู้ที่ตาข้างเดียวบอดแต่ตาอีกข้างปกติจึงไม่ได้รับการรับรองเป็นผู้พิการ
2. การชดเชยไม่เหมาะสม : พระราชบัญญัติเงินทดแทน พ.ศ.2537 และพระราชบัญญัติประกันสังคม พ.ศ.2533 ไม่ได้ระบุสิทธิประโยชน์ชัดเจนสำหรับกรณีสูญเสียการมองเห็นในตาข้างเดียว
3. ขาดการฟื้นฟูที่เหมาะสม : การสนับสนุนด้านจิตใจ การพัฒนาทักษะใหม่ และการฟื้นฟูสมรรถภาพยังไม่ได้รับการจัดการในระบบที่ครอบคลุม
แนวทางที่เหมาะสม
ในการดูแลและชดเชย
การดูแลควรจะครอบคลุมในหลายมิติดังนี้
1. การชดเชยและช่วยเหลือทางการเงิน : นายจ้างและกองทุนประกันสังคมควรให้ค่าชดเชยที่เหมาะสม รวมถึงเงินช่วยเหลือพิเศษจากรัฐ ในกรณีที่ลุกจ้างประสบเหตุพิการตาบอดหนึ่งข้าง
2. การฟื้นฟูร่างกายและจิตใจ : จัดหาเครื่องมือช่วยเหลือ เช่น แว่นตาพิเศษ กายภาพบำบัด และโปรแกรมฟื้นฟูจิตใจ
3. การสนับสนุนการทำงาน : ปรับสถานที่ทำงานให้เหมาะสม เช่น การจัดแสงสว่างและการจัดหาอุปกรณ์ช่วยเหลือ
4. การเข้าถึงสิทธิและโอกาส : สนับสนุนการเรียนรู้และพัฒนาทักษะใหม่เพื่อเพิ่มโอกาสในสายงานที่เหมาะสม
ตัวอย่างจากประเทศพัฒนาแล้ว
- ญี่ปุ่น : การสูญเสียการมองเห็นในตาข้างเดียวได้รับการจัดเป็นผู้พิการบางส่วน (Partial Disability) ภายใต้พระราชบัญญัติการประกันเงินทดแทนอุบัติเหตุแรงงาน (Workers’ Accident Compensation Insurance Act) และจะได้รับค่าชดเชยตามกฎหมาย
2. สหรัฐอเมริกา : ผู้สูญเสียการมองเห็นข้างเดียวสามารถรับสิทธิประโยชน์จากการประกันสังคมกรณีทุพพลภาพ (Social Security Disability Insurance : SSDI) และมีโครงการสนับสนุนการฟื้นฟูสมรรถภาพด้วย
นอกจากนี้ ประเทศที่พัฒนาแล้วอื่นๆ อาทิ สหราชอาณาจักร ออสเตรเลีย เยอรมนี แคนาดา ล้วนมีกฎหมายและมาตรการเยียวยาช่วยเหลือผู้พิการตาบอดหนึ่งข้างกันอย่างครอบคลุมทั่วถึง
โดยประเทศต่างๆ เหล่านี้จะประเมินอัตราความพิการโดยพิจารณาจาก ผลกระทบต่อการดำรงชีวิตและการทำงาน โดยวิธีการคำนวณของแต่ละประเทศส่วนใหญ่จะกำหนดเป็นเปอร์เซ็นต์
การสูญเสียการมองเห็นในตาข้างเดียวจะถูกประเมินให้มีระดับความพิการอยู่ระหว่าง 20-30% ของความบกพร่องทั้งหมด
ซึ่งประเทศไทยอาจนำแนวทางนี้มาประยุกต์ใช้เพื่อพัฒนากฎหมายและระบบการชดเชยที่เหมาะสมมากขึ้นในอนาคต
ข้อเสนอเพื่อปรับปรุงกฎหมาย
1. ปรับเกณฑ์ความพิการ : แก้ไขเกณฑ์การประเมินความพิการให้ครอบคลุมการสูญเสียการมองเห็นในตาข้างเดียว
2. ปรับปรุงพระราชบัญญัติประกันสังคมและเงินทดแทน : ขยายสิทธิประโยชน์สำหรับกรณีสูญเสียสมรรถภาพบางส่วน เช่น การเพิ่มค่าชดเชยและเงินช่วยเหลือพิเศษ
3. ออกกฎกระทรวงเพิ่มเติม : ระบุสิทธิและหน้าที่ของนายจ้างในการดูแลผู้ประสบเหตุพิการในที่ทำงาน
4. เร่งฟื้นฟูระบบสนับสนุน : พัฒนาบริการฟื้นฟูที่เหมาะสมทั้งด้านการแพทย์และการพัฒนาคุณภาพชีวิต
สิ่งที่ควรดำเนินการ
ดังนั้น จึงควรมีการศึกษาข้อมูลเปรียบเทียบจากต่างประเทศและรวบรวมสถิติในประเทศ รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง
เช่น กระทรวงแรงงานและสำนักงานประกันสังคม ควรมีการนำเสนอยื่นร่างกฎหมายแก้ไขเพิ่มเติมต่อรัฐสภา
และองค์กรภาคส่วนต่างๆ ควรมีการจัดกิจกรรมรณรงค์เพื่อสร้างความตระหนักและสนับสนุนการแก้ไขกฎหมาย
บทสรุป
ผู้ประสบเหตุพิการตาบอดข้างเดียวในประเทศไทยยังไม่ได้รับความเป็นธรรมจากระบบกฎหมายปัจจุบัน
การแก้ไขและปรับปรุงกฎหมาย รวมถึงการสร้างระบบสนับสนุนแบบบูรณาการ เป็นสิ่งจำเป็นเพื่อให้พวกเขาได้รับการดูแลและชดเชยอย่างเหมาะสม
การดำเนินการดังกล่าวไม่เพียงช่วยเพิ่มคุณภาพชีวิตของผู้ประสบเหตุเท่านั้น แต่ยังจะช่วยสร้างความเป็นธรรมในสังคมไทยในระยะยาวต่อไป
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022