ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | คำ ผกา |
ผู้เขียน | คำ ผกา |
เผยแพร่ |
จบปี 2024 ที่ฉันอยากจะสรุปความเป็นไปของปีนี้ว่าเป็นปีที่มีความสุขที่สุด
เป็นปีที่หัวเราะได้เต็มเสียงที่สุด
เป็นปีที่เดินไปไหนต่อไหนในประเทศไทยแล้วรู้สึกถึงศักดิ์ศรี รู้สึกถึงความเป็นพลเมืองเจ้าของประเทศทุกตารางนิ้ว
รู้สึกว่าตัวเองสวย เป็นที่รัก เป็นที่ต้องการ เพราะอยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งในวงเล็บว่า มีเสียงแค่ 141 เสียงและต้องไปรวมกับพรรคอื่น ทำให้พรรคเพื่อไทยที่เป็นแกนนำในการตั้งรัฐบาลต้องมีความ “เกรงใจ” ประชาชนมากเป็นพิเศษ ต้องฟังเสียงและต้องแคร์ประชาชนอย่างยิ่ง
นานเท่าไหร่แล้วที่เราไม่ได้รู้สึกว่าเราเป็นประชาชนที่รัฐบาลต้องเกรงใจ ต้องตั้งใจฟังว่าเราบ่นอะไรบ้าง?
นอกจากจะมีความสุขกับการอยู่ภายใต้รัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แถมยังเป็นรัฐบาลที่ค่อนข้างอ่อนแอแล้ว (ใครชอบรัฐบาลเข้มแข็งก็ไม่ผิดนะ แต่ฉันชอบที่รัฐบาลในช่วงเปลี่ยนผ่านนี้ไม่เข้มแข็งจนเกินไป เพื่อเปิดพื้นที่ให้หน่วยทางอำนาจอื่นๆ มีพื้นที่หายใจ ปรับตัว ปรับตำแหน่งแห่งที่ของตัวเอง มีเวลาให้การต่อรองเรื่องดุลของอำนาจมันเปลี่ยนผ่านแบบไม่ต้องปะทะกันมาก)
ฉันยังสนุกสุดสุดที่คุณทักษิณ ชินวัตร แอ๊กทีฟ
เดินสายช่วยหาเสียงนายกฯ อบจ. เดินสายขึ้นเวทีสัมมนาที่หลายๆ สื่อแย่งตัวสปีกเกอร์คนนี้ขึ้นเวที เพราะได้เนื้อหาเอามาถกเถียงกันต่อในแบบที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่า สังคมไทยขาดบทสนทนาที่สนุก ก้าวหน้า เป็นชิ้นเป็นอันแบบนี้มานานมาก
แต่ละไอเดียที่โยนออกมา เช่น เงินจะไหลไปยังที่ที่มีเงินอยู่มาก ประเทศไทยตอนนี้มีเงินอยู่ในประเทศน้อยมาก จึงขาดแรงดึงดูด วิธีเดียวที่จะเติมเงินลงไปในตลาดคือ เติมเงินเข้าสู่ระบบในรูปของเหรียญคริปโตฯ โดยออกพันธบัตรขายให้บุคคลทั่วไป ขายตั้งแต่ 1,000 บาทขึ้นไปในรูปของเหรียญคริปโตฯ ประชาชนจะเก็บไว้กินดอกเบี้ยก็ได้ จะขายเอากำไรหรือขาดทุนก็ขึ้นอยู่ตัวผู้ถือ
แต่ที่แน่ๆ คือ เงินจะหมุนเวียนในระบบ แทนที่จะแช่ไว้ในสถาบันการเงินเฉยๆ
จะเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับไอเดียนี้ แต่ก็ต้องยอมรับว่าไม่มีใครกล้าเสนออะไรที่มันชวนให้ตาแตก ชวนให้คิดต่อ
ชวนให้เราเดินออกจากเซฟโซนแล้วเริ่มออกไปผจญภัยด้วยกันแบบนี้มานานมากแล้ว
และจะใจร้ายเกินไปไหมที่ฉันจะบอกว่า เราไม่มีนักการเมืองที่สามารถแสดงวิสัยทัศน์และให้จินตนาการแก่เราได้ทัดเทียมคุณทักษิณมายาวนานเหลือเกิน และคนสุดท้ายที่เรามีในทัศนะของฉันคือ จอมพล ป.พิบูลสงคราม
ขณะเดียวกันก็มีเสียงท้วงติง ห่วงใย (และโดยมากมาจากฝั่งที่ไม่เชียร์ ไม่ได้เลือกพรรคเพื่อไทย) ว่าทำไมคุณทักษิณพูดเยอะ ทำไมคุณทักษิณเคลื่อนไหวเยอะ ทำแบบนี้ไม่รักลูกเหรอ?
ทำแบบนี้เหมือนไปทำให้ภาพของนายกฯ แพทองธาร ชินวัตร ไม่โดดเด่น ไปบดบังรัศมีของนายกฯ แพทองธารหรือเปล่า?
ตกลงใครเป็นนายกฯ ตัวจริง?
นายกฯ แพทองธาร เป็นแค่หุ่นเชิดของพ่อเหรอ?
แบบนี้เรียกว่าครอบงำหรือไม่?
ก่อนอื่นฉันต้องถามว่า เราเห็นด้วยกับกฎหมายครอบงำพรรคการเมืองหรือ?
เราคิดว่าหัวหน้าพรรคภูมิใจไทยคือ เนวิน ชิดชอบ หรือคือ อนุทิน ชาญวีรกูล?
เราคิดว่าหัวหน้าพรรคประชาชนชื่อธนาธร จึงรุ่งเรืองกิจ หรือพิธา ลิ้มเจริญรัตน์? ณัฐพงษ์ เรืองปัญญาวุฒิ?
ถ้าเราเชื่อเช่นนั้นก็แปลว่าเราคิดว่าบทบาทของอนุทินไม่มีจริง เท่าๆ กับที่เราไม่เชื่อในบทบาทของพิธา? เราเคยคิดว่าพิธาเป็นหุ่นเชิดของธนาธรหรือไม่?
หรือเราเห็นว่า กฎหมายการเลือกตั้งและกฎหมายพรรคการเมืองของประเทศไทยที่เป็นผลพวงของการรัฐประหารถึงสองครั้งในรอบสองทศวรรษคือความบิดเบี้ยวทางกติกา ถ้าไม่มีกฎหมายยุบพรรค ไม่มีกฎหมายตัดสิทธิ์นักการเมือง วันนี้เราก็ไม่ต้องมานั่งสงสัยว่าใครคือหัวหน้าพรรคตัวจริงของภูมิใจไทย หรือใครเป็นหัวหน้าพรรคตัวจริงของพรรคประชาชน
และต่อให้ใครสักคนไม่อยากแสดงตัว และส่งใครบางคนมานั่งในตำแหน่งหัวหน้าพรรคแทน สำหรับฉันก็ไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไร
และในฐานะโหวตเตอร์ ฉันอาจจะมองว่า ช่างเป็นเรื่องชาญฉลาด ฉันชอบวิธีการบริหารจัดการแบบนี้ และฉันจะเลือกพรรคนี้ก็ไม่แปลก
กฎหมายเรื่องการครอบงำพรรคการเมืองเป็นกฎหมายที่เขียนขึ้นมาบนสมมุติฐานว่าประชาชน “โง่”
ไม่มีสติปัญญาความสามารถจะรู้เท่าทันนักการเมือง
และถึงที่สุดเป็นแค่กฎหมายที่เอาไว้ใช้เป็นเครื่องมือตุลาการภิวัฒน์สังหารศัตรูคู่แข่งทางการเมืองของกันและกัน
เพราะการตัดสินว่าใครครอบงำใครจากอะไรมันสุดแสนจะคิดได้ตามอำเภอใจ เพราะไม่อาจชั่ง ตวง วัด ได้ว่า พูดกี่ประโยค ปรากฏตัวกี่ครั้ง ช่วยหาเสียงกี่เวที จึงได้ชื่อว่า “ครอบงำ”
ดังนั้น หากเรานิยามตัวเองว่าเป็นผู้รักประชาธิปไตย เราต้องช่วยกัน normalized บทบาททางการเมืองของตัวแสดงทางการเมืองทุกคน ไม่ว่าจะเป็นธนาธร พิธา เนวิน ฯลฯ
ไม่ใช่ไปเรียกร้องให้คนเหล่านั้นกระทำการเป็นอีแอบ
ฉันถามจริงๆ ว่า บรรดาสื่อมวลชนที่ทำมาเป็นหน้านิ่วคิ้วขมวด กังวลกับบทบาททักษิณ แสร้งว่าห่วงนายกฯ แพทองธาร ลึกๆ แล้วเป็นพวกดัดจริตปากว่าตาขยิบ
อยากให้ทุกคนเล่นการเมืองกันแบบตอแหล ให้ทักษิณย้อมผมหงอกๆ เดินถือไม้เท้า เลี้ยงหลาน หง่อมๆ สั่นๆ อยู่กับบ้าน แล้วแอบให้คำแนะนำนายกฯ แพทองธารแบบลับๆ ไม่มีใครรู้ไม่มีใครเห็นอย่างนั้นหรือ
ถ้าชอบแบบนั้นก็จงยอมรับเถอะว่าเป็นคนชอบความตอแหล ดัดจริต
เราควรสู้กลับกับกระบวนการตุลาการภิวัฒน์ สู้กลับกับผลพวงของรัฐประหาร สู้กลับกับกฎหมายพรรคการเมือง กฎหมายการเลือกตั้งที่รังแต่จะ disempowering ฝ่ายการเมืองด้วยการสนับสนุนให้นักการเมืองทุกคนที่ถูกตัดสิทธิ์ ออกมาทำงานการเมืองอย่างเปิดเผยโดยไม่ต้องกลัวว่าจะถูกครหาว่า “ครอบงำ”
ไม่เพียงเท่านั้นเราต้องยืนยันว่าคำว่า “ครอบงำ” ไม่มีอยู่จริงเพราะพิสูจน์ในเชิงประจักษ์และในเชิงวิทยาศาสตร์ไม่ได้เลย
เช่น คนที่อ่านบทความของคำ ผกา และเห็นด้วยกับคำ ผกา และกลายเป็นนางแบก จะถือว่าถูกครอบงำโดยคำ ผกา หรือไม่?
เราไม่สามารถพูดได้เลยว่า คนกลายมาเป็นนางแบกเพราะถูกคำ ผกาครอบงำ
แต่เราสามารถพูดว่าเขาได้ฟัง ได้อ่าน ได้พิจารณา ได้ครุ่นคิด แล้วในที่สุดเขาตัดสินใจที่เห็นคล้อยตามกับคำ ผกา
เพราะมนุษย์ทุกคนนอกจากจะมีสมองแล้ว ยังมีผลประโยชน์ มีเรื่องความกังวล มีประเด็นปัญหาเป็นของตนเอง เมื่อความเห็น ผลประโยชน์ การมองเห็นปัญหาตรงกัน ก็ย่อมเห็นพ้องต้องกันได้ และเราไม่อาจเรียกสิ่งนี้ว่าครอบงำ
ในแง่ของการเมืองเราควรยอมรับความจริงกันเสียทีว่า คุณทักษิณไม่มีวันที่จะไม่เป็น mega influencer ไม่ว่าจะมองจากแง่มุมไหน
อดีตนายกฯ ที่เคยพาพรรคชนะการเลือกตั้งถล่มทลาย 19 ล้านเสียง มี ส.ส. 377 ที่นั่ง สร้างประวัติศาสตร์พรรคการเมืองที่มี ส.ส. มากที่สุดในประวัติศาสตร์การเมืองไทย จนทุกวันนี้ยังไม่มีใครทำลายสถิตินี้ลงได้
ทักษิณคือคนสร้างระบบหลักประกันสุขภาพของไทยจนกลายเป็นโมเดลของโลก
สร้างโอท็อป ทำหวยบนดิน ทำกองทุนหมู่บ้าน ทำระบบ one stop service
ปฏิวัติระบบการให้บริการประชาชนด้วยการใช้เทคโนโลยีมาช่วย ทำบางกอกแฟชั่นวีก
และอะไรอีกหลายอย่างขึ้นอยู่กับว่าเราอยากจดจำทักษิณแบบไหน
และทักษิณก็ถูกทำให้กลายเป็นตำนานฆ่าไม่ตายไปจริงๆ เมื่อกองทัพตัดสินใจทำรัฐประหารรัฐบาลทักษิณ จนก่อกำเนิดขบวนการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยของคนเสื้อแดง จนมีรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จนมีรัฐประหารอีกรอบ
และจนผ่านไป 17 ปี ทักษิณกลับมาอีกครั้ง และกลับมาในแบบที่ภาษาวัยรุ่นต้องบอกว่า กลับมาแบบพร้อมเสิร์ฟ
กลับมาแบบไม่มีจังหวะของความอ่อม ไม่มีความเชย ไม่มีความตกยุค กลับมาพร้อมมันสมองที่ยังคงเฉียบแหลม
เพราะฉะนั้น อย่าว่าแต่ทักษิณจะมีอิทธิพลต่อความคิดและการทำงานของพรรคเพื่อไทย
ทักษิณย่อมมีอิทธิพลต่อสังคมไทยทั้งสังคม
และความอกสั่นใจระทึกตึกตักทุกครั้งที่ทักษิณเคลื่อนไหวก็เป็นบุคลิกของคนแบบคุณทักษิณที่เชื่อว่าหากไม่พาตัวเองไปยืนใกล้ๆ ขอบเหว คุณจะกระโดดข้ามเหวไปได้อย่างไร
ทักษิณไม่ได้เป็นเพียงบุคคลมีอิทธิพลทางความคิดของสังคมไทย
แต่การแต่งตั้งทักษิณเป็นที่ปรึกษาส่วนตัวของนายกฯ อันวาร์ในฐานะประธานอาเซียนยิ่งตอกย้ำว่า การกลับมาสู่ปริมณฑลทางการเมืองของคุณทักษิณสร้างความตื่นเต้นในระดับภูมิภาคได้
และกาลเวลาได้พิสูจน์แล้วว่า ความรู้ ความสามารถ และวิสัยทัศน์ของคุณทักษิณในฐานะนักการเมือง ในฐานะนักธุรกิจ
ในฐานะนักเจรจาต่อรองและในฐานะสุภาพบุรุษผู้มีความเป็นมิตรต่อทุกคนกลายเป็นความโดดเด่นที่อาเซียนต้องการ ณ เวลานี้ เมื่อมองในมิติของการหาสมดุลทางอำนาจระหว่างจีนกับอเมริกา และการสร้างความแข็งแกร่งให้กับตัวอาเซียนเองที่จะไม่ได้เป็นแค่ลูกรักของมหาอำนาจคนใดคนหนึ่ง
เพราะฉะนั้น เราทั้งหลายพึงหยุดปั่นหัวกันให้กลัวในเรื่องไม่เป็นเรื่อง
เช่น กลัวว่าทักษิณพูดมากเกินไปแล้วจะเกิดการรัฐประหาร เพราะความกลัวเช่นนี้ไม่ต่างอะไรจากการบอกว่า อย่าแต่งตัวโป๊ เดี๋ยวมีคนมาฉุดไปข่มขืน เพราะการรัฐประหารไม่มีวันชอบธรรม ไม่มีวันถูกต้อง ไม่เกี่ยวอะไรกับการที่ทักษิณจะพูดหรือไม่พูด
นอกจากนี้ ทักษิณในฐานะคนไทยย่อมมีสิทธิพูด มีสิทธิเดินทาง มีสิทธิด่า มีสิทธิที่จะเชียร์ใครไม่เชียร์ใคร และแสดงออกถึงสิ่งเหล่านั้นอย่างเปิดเผย
เท่าๆ กับที่เรามีสิทธิชอบ ไม่ชอบ เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย
แต่เราไม่ควรสนับสนุนวัฒนธรรม “อีแอบ” ลักกินขโมยกิน แอบคุย แอบไปหา เช่น จนคนจับได้ว่าไปฮ่องกง ก็ยังออกมาปฏิเสธว่าไม่ไป
ส่วนทักษิณจะกลบรัศมีของนายกฯ แพทองธารหรือไม่ ก็ไม่ใช่เรื่องที่เราเดือดร้อนแทนแพทองธาร
หากตัวนายกฯ แพทองธารสบายใจกับบทบาทของคุณทักษิณ เราก็ไม่ควรไปกังวลใจแทนนายกฯ
นอกจากนี้ โหวตเตอร์ของพรรคเพื่อไทย และประชาชนจำนวนมากก็อาจจะสบายใจที่นายกฯ มีที่ปรึกษาที่มากความสามารถ
และหากมีประชาชนจำนวนมากไม่ชอบที่นายกฯ แพทองธารมีพ่อที่เก่งเหลือเกินชื่อทักษิณ มันก็เป็นข้อกังวลที่ไม่มีใครเข้าไปช่วยดับความกังวลนั้นได้
และคนที่กังวลเรื่องนี้ก็ไม่สามารถเรียกร้องให้ทักษิณหยุดเก่ง หรือสั่งให้แพทองธารเลิกเป็นลูกของคุณทักษิณ
การเป็นพลเมืองในสังคมประชาธิปไตย เราควรเริ่มต้นด้วยการเคารพในสติปัญญาของตัวเองและผู้อื่นและเลิกคิดว่าจะมีใครครอบงำใครได้
เพราะมนุษย์ทุกคนย่อมมีเจตจำนงเป็นของตนเอง รวมทั้งเจตจำนงที่จะเลือก “ฟัง” ใคร
และรู้ว่าใครไม่มีค่าควรแก่การนำมาฟังด้วยเช่นกัน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022