เจาะรถ EV รุ่นเด่น 2025 ‘3 แบบ-3 สไตล์’ ‘BYD Seagull’ – ‘MG IM6’ – ‘NETA S’

สันติ จิรพรพนิต

ต่อเนื่องจากฉบับที่แล้วกับการเปิดโผรถใหม่รุ่นเด่นๆ ในปี 2025

ฉบับนี้เป็นคิวของรถ EV ซึ่งในปี 2024 ที่ผ่านมา ถือว่าเป็นอีกปีที่รถ EV ยังขายได้ต่อเนื่อง สวนทางกับรถพลังงานอื่นๆ

แม้กลุ่มรถไฮบริดจะยังมาแรง แต่เมื่อเทียบกับตลาด EV แล้วยังถือว่าเป็นรองอยู่

บวกกับมีหลายค่ายใหม่ๆ จากจีน ที่ตบเท้าเข้ามาทำตลาดในเมืองไทย พร้อมทั้งหั่นราคาเพื่อแชร์ส่วนแบ่งการขาย

ยิ่งทำให้รถ EV จากจีนได้รับความนิยม จนเห็นวิ่งกันเกลื่อนถนน

แน่นอนว่าปีนี้ยังเป็นอีกปีที่รถ EV จากแดนมังกรยังคงเฉิดฉาย และมีหลายรุ่นคาดว่าจะเป็นรถยอดนิยมในปี 2025

ไม่พลาดกับเจ้าตลาดรถ EV ของไทย ค่าย BYD ส่งน้องเล็ก “Seagull” เข้ามาเปิดตลาดอีกเซ็กเมนต์หนึ่ง

ขนาดกะทัดรัด มิติตัวถัง (กว้าง x ยาว x สูง)1,715 x 3,780 x 1,540 ม.ม.

เป็นรถสำหรับคนเมืองของแท้ พัฒนาขึ้นบน e-Platform 3.0

ดีไซน์ทรงเหลี่ยมดูเรียบง่าย กระจังหน้าแบบปิดทึบ ไฟหน้า LED ทรงเรียวบาง

ไฟท้าย LED เช่นกัน มีเส้นไฟสีแดงพาดขวาง

แม้ดูภายนอกเหมือนจะไม่ใหญ่นัก แต่ภายในออกแบบได้ดูกว้างขวาง เนื่องจากฐานล้อที่ยาวถึง 2,500 ม.ม.

มองผาดๆ คล้ายกับดอลฟิน ย่อส่วน

พวงมาลัยทรงชินตาแบบท้ายตัด คล้ายๆ กับรุ่นพี่

มาตรวัดดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว ส่วนตรงกลางเป็นหน้าจอสัมผัสขนาด 10.1 นิ้ว หมุนแนวตั้ง-ขวางได้

เบาะนั่งคู่หน้าออกแบบดูสปอร์ตมากขึ้น ส่วนด้านหลังสามารถพับเพื่อเพิ่มพื้นที่บรรทุก

ขับเคลื่อนจากมอเตอร์ไฟฟ้ากำลังสูงสุด 55 กิโลวัตต์ (73 แรงม้า) แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร

ระยะทางวิ่งไกลสุด 400 ก.ม. ตามมาตรฐาน NEDC

ความปลอดภัย อาทิ ระบบช่วยเบรกอัตโนมัติ, ระบบควบคุมเสถียรภาพ ระบบเตือนการชนด้านหน้า ฯลฯ

สนนราคาที่บ้านเกิดอยู่ราวๆ 4 แสนบาท

มาเมืองไทยน่าจะใกล้ๆ กันหรือแพงกว่าเล็กน้อย

เพราะปัจจุบันดอลฟิน ที่เซ็กเมนนต์เหนือกว่า ทำราคาในเมืองไทยอยู่ที่ 5 แสนบาทกลางๆ

มีอีกค่ายใหญ่ที่ส่งรถใหม่เข้ามาด้วยคือ “MG IM6” ที่อวดโฉมในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ช่วงปลายปีที่ผ่านมา

มาในรูปทรงเอสยูวีคูเป้ทรงท้ายลาด กระจังหน้าปิดทึบตกแต่งด้วยโครเมียม

ไฟหน้า LED ทรงหยดน้ำและไฟ Daytime Running Light ตัว L

มือจับประตูแบบเรียบช่วยลดความต้านทานอากาศ และดูโมเดิร์นมากๆ

ท้ายรถออกแบบในสไตล์ Fastback ติดตั้งสปอยเลอร์

ไฟท้าย LED เป็น 2 เส้นพาดขวางด้านท้าย

ล้ออัลลอยขนาด 20 และ 21 นิ้ว

ห้องโดยสารเน้นความหรูหราและเทคโนโลยีล้ำๆ

พวงมาลัย 3 ก้านพร้อมระบบมัลติฟังก์ชั่น

หน้าจอสัมผัสขนาดใหญ่ 12.3 นิ้ว เชื่อมต่อเป็นจอเดียวกับหน้าจอกลางระบบอินโฟเทนมนต์ขนาด 15.5 นิ้ว

เบาะหนังหุ้มที่นั่งแบบสปอร์ต พร้อมฟังก์ชันปรับระดับด้วยไฟฟ้าและระบบควบคุมอุณหภูมิ

พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหน้า และท้ายรถรวมกันมีความจุสูงสุดถึง 1,571 ลิตร (พับเบาะ)

ขุมพลังมอเตอร์คู่ขับเคลื่อน 4 ล้อ กำลังสูงสุด 787 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 800 นิวตัน-เมตร

อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ในเวลา 3.48 วินาที

แบตเตอรี่ขนาด 100 kWh รองรับการชาร์จด้วยแรงดันไฟฟ้า 800 โวลต์

ระยะทางวิ่งไกลสุดต่อการชาร์จเต็ม 1 ครั้ง มากกว่า 600 กิโลเมตร

รองรับชาร์จเร็วจาก 10-80% ในเวลา 18 นาที

ช่วงล่างถุงลมอัตโนมัติสามารถปรับสูง-ต่ำได้ 3 ระดับ

ระบบความปลอดภัย ตามมาตรฐาน อาทิ ควบคุมเสถียรภาพอัตโนมัติ, ระบบตรวจจับจุดบอด, ระบบช่วยจอดอัจฉริยะ และกล้องมองรอบคัน

ช่วยเหลือการขับขี่ในสภาพถนนลื่น และการขับขี่กลางคืน ฯลฯ

ค่ายเนต้า ที่ทำตลาดมาพักใหญ่กับรถเก๋งขนาดเล็ก-กลาง คราวนี้มากับรถสเตชั่นแวกอน “NETA S Shooting Brake”

ขนาดตัวถังบิ๊กเบิ้มพอตัว (กว้าง x ยาว x สูง) 1,980 x 4,980 x 1,450 ม.ม.

ออกแบบเส้นสายดูสปอร์ตพลิ้วไหว เรียกว่าลืมรถสเตชั่นแวกอนแบบเดิมๆ ได้เลย

กระจังหน้าแบบปิดทึบ ไฟหน้าแยกส่วน LED เป็นเส้นบางๆ ทำให้รถยิ่งดูเฉี่ยวมากขึ้น

กันชนหน้ามีช่องระบายอากาศทรงสามเหลี่ยมทั้งสองด้านและช่องระบายความร้อนทรงสี่เหลี่ยมคางหมูขนาดใหญ่ที่ผสานเข้ากับลิ้นหน้าสไตล์สปอร์ต

บังโคลนหน้าและหลังแบบบานออก

ด้านท้ายติดสปอร์ตเลอร์ และไฟท้ายแบบพาดยาว ตามสมัยนิยม

ล้ออัลลอยขนาด 19 นิ้ว หรือ 20 นิ้ว

ห้องโดยสารกว้างขวางดูหรูหราแบบ 5 ที่นั่ง

พวงมาลัย 3 ก้านทรงท้ายตัด เรือนไมล์ดิจิทัลขนาด 12.3 นิ้ว

ตรงกลางติดตั้งจออินโฟเทนเมนต์ขนาดใหญ่ เชื่อมต่อสมาร์ตโฟนและฟังก์ชั่นได้กลายรูปแบบ

ระบบเสียงรอบทิศทาง

ระบบควบคุมอุณหภูมิอัตโนมัติ

เบาะหนังและการออกแบบภายในสีทูโทน ดูหรูมากขึ้น

พื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังขนาด 593 ลิตร ใหญ่เบิ้มอยู่าแล้ว

ยิ่งหากพับเบาะหลังจะเพิ่มเป็น 1,295 ลิตร หรือใหญ่ขึ้นอีก 1 เท่าเศษๆ

พื้นที่บรรทุกจุดนี้ถือเป็นข้อเด้นของรถแวกอนอยู่แล้ว

ขุมพลังมีทั้งแบบไฟฟ้าล้วน และ “NETA Super EREV”

ซึ่งตัวหลังน่าจะเข้ามาทำตลาดในไทย เพราะนำมาโชว์ในงานมอเตอร์เอ็กซ์โป ที่ผ่านมาด้วย

หลักๆ คือลูกผสมน้ำมัน+ไฟฟ้า ใช้เครื่องยนต์ผลิตกระแสไฟและจ่ายตรงไปยังมอเตอร์เพื่อขับเคลื่อนตัวรถ โดยไม่ต้องผ่านแบตเตอรี่

ทำให้รถสามารถขับเคลื่อนได้ แม้ในสภาวะที่แบตเตอรี่หมด หรือขัดข้อง

ขณะที่ถ้าเป็นขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ชาร์จเต็ม 1 ครั้งวิ่งได้ถึง 300 ก.ม. จากนั้นเครื่องยนต์จะเริ่มเข้ามีบทบาท

หากใช้งานเต็มประสิทธิภาพของทั้ง 2 ระบบ “NETA S Shooting Brake” สามารถวิ่งได้ไกลสูงสุดกว่า 1,000 ก.ม.

รถ EV รุ่นอื่นๆ ที่น่าสนใจ อาทิ “ฉางอาน ดีพอล S05” รถ SUV ขนาดกลาง ที่ผลิตจากโรงงานในไทยรุ่นแรก

“BYD shark6” กระบะไฟฟ้า ที่เข้ามาขอแชร์ส่วนแบ่งจากเพื่อนร่วมชาติ ที่เข้ามาก่อนหน้านี้

ทั้งหมดนั้นคือกลุ่มรถยนต์ EV รุ่นเด่นๆ ที่พร้อมอวดโฉมในปี 2025 •

 

ยานยนต์ สุดสัปดาห์ | สันติ จิรพรพนิต

[email protected]