ข้อคิดในวันปีใหม่ 2568 : จากสังคม ‘เสรีบางส่วน’ ไปสู่การเป็น ‘เสรีทั้งหมด’

ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

ตุลวิภาคพจนกิจ | ธเนศ อาภรณ์สุวรรณ

 

ข้อคิดในวันปีใหม่ 2568

: จากสังคม ‘เสรีบางส่วน’

ไปสู่การเป็น ‘เสรีทั้งหมด’

 

สิ้นปีเก่า และเข้าสู่ปีใหม่ สำนักข่าวและสถานีรายงานข่าววิเคราะห์สถานการณ์ทั้งหลายต่างพูดถึงเหตุการณ์สำคัญในปีที่ผ่านไป ว่ามีอะไรน่าจดจำหรือไม่จำบ้าง

มีเรื่องใดที่เป็นเรื่องดีที่สุดและเลวสุดสุด ใครได้เป็น “บุคคลแห่งปี”

ทั้งหมดล้วนเป็นการสรุปและประเมินพฤติกรรมและผลของการกระทำออกมาในรูปธรรมของคน วัตถุธรรม และความทรงจำ

ทั้งหมดใช้วิธีวิทยาทางประวัติศาสตร์กันทั้งนั้น เพียงแต่ผู้ใช้ไม่ใช่นักประวัติศาสตร์และไม่คิดว่ากำลังสร้างผลงานทางประวัติศาสตร์

ข่าวที่คนสนใจมากสุดหนีไม่พ้นข่าวการเมือง

ส่วนเรื่องใหญ่สุดของการเมืองยุคดิจิทัลก็ไม่อาจหลีกเลี่ยงเรื่องว่าด้วย ประชาธิปไตย

ในความหมายของคนทั่วไปจำนวนมากที่เรียกว่าคนส่วนใหญ่ซึ่งเป็นผู้ผลิตและบริโภคหลักของเศรษฐกิจดิจิทัล คนส่วนใหญ่นี้ทำอะไรอีก พวกเขากำลังแสดงความชอบธรรมของพวกตนในการเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย ผ่านการเลือกตั้งและการตั้งรัฐบาลที่เป็นตัวแทนของประชาชน

กล่าวได้ว่าการต่อสู้เพื่อความชอบธรรมของประชาชนในการเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยได้ดำเนินมาอย่างน้อยสองศตวรรษ จากศตวรรษที่ 19-20 บัดนี้ได้ข้อสรุปที่ยอมรับกันทั่วไปแม้จะไม่ทำตามหลักการอย่างเต็มที่ก็ตาม ว่าระบบและระบอบการปกครองประชาธิปไตยที่มาจากเสียงของประชาชนเป็นความชอบธรรมอันไม่อาจปฏิเสธได้

ดังนั้น ข่าวใหญ่ที่ดังระเบิดไปทั่วโลกจึงได้แก่ การที่ประชาธิปไตยยังสามารถรักษาระบบและสถาบันจำนวนหนึ่งไว้ได้ แม้จะถูกโจมตีบั่นทอนและคัดค้านกระทั่งถูกโค่นล้มลงไปก็ตามในหลายประเทศในสองทศวรรษที่ผ่านมา

ดารอน อะเซโมกลู นักเศรษฐศาสตร์โนเบล

สถานภาพของประชาธิปไตยในปีที่แล้วจึงตกอยู่ในสภาพฟกช้ำดำเขียวจากการถูกกระทำ

แต่ยังไม่ตาย ยังไม่ถูกทำลายให้สิ้นซาก

หลายที่ยังสามารถฟื้นคืนชีพกลับมาได้อีก เช่น การประท้วงใหญ่ในบังกลาเทศ ที่นำไปสู่การลาออกของรัฐบาลนางฮาซินี่ที่ครองตำแหน่งมายาวนาน

การเรียกร้องให้นักเศรษฐศาสตร์รางวัลโนเบลปี 2006 มูฮัมมัด ยูนุส ฉายา “นักการธนาคารเพื่อคนจน” (Banker for the Poor) ออกมาเป็นผู้นำรัฐบาลชั่วคราวในการดำเนินการเปลี่ยนผ่านสู่ระบบประชาธิปไตยอีกวาระหนึ่ง นับเป็นชัยชนะที่เหนือความคาดหมาย

เช่นเดียวกับการต่อต้านและประท้วงใหญ่ของประชาชนเกาเหลีใต้และพรรคฝ่ายค้านที่ออกมาสกัดกั้นการประกาศกฎอัยการศึกของประธานาธิบดียูน ซอก ยอล (Yoon Suk Yeol) จนสามารถเข้าสู่กระบวนการถอดถอนประธานาธิบดีออกจากตำแหน่งได้โดยสันติและตามกฎหมาย เป็นการรักษาระบบประชาธิปไตยไว้ได้อย่างหวุดหวิด

ประเทศสุดท้ายก่อนสิ้นปีที่ทำคะแนนให้แก่ประชาธิปไตยเหนือเผด็จการคือ ซีเรีย ที่ฝ่ายต่อต้านประธานาธิบดีอัล อัสซาดสามารถโค่นล้มรัฐบาลกดขี่ที่ทารุณที่สุดในยุคนี้ลงไปได้ หลังจากทำการต่อสู้เพื่อประชาธิปไตยจนสูญเสียชีวิตไปไม่น้อยใน 13 ปีที่ผ่านมา

มูฮัมมัด ยูนุส นักการธนาคารเพื่อคนจน

อย่างไรก็ตาม ภาพโดยรวมฝ่ายอัตตาธิปไตย (อำนาจนิยม) ยังเพิ่มการกดขี่มากขึ้นตลอดปี 2024

ตัวอย่างเช่น การเลือกตั้งในรัสเซียที่ไม่ยุติธรรมและไม่เสรีเลย ตามมาด้วยอิหร่านและเวเนซุเอลา

ฟรีดอมเฮาส์รายงานว่า หนึ่งในสี่ของ 62 ประเทศผู้ลงคะแนนเสียงไม่มีการเลือกที่แท้จริงในกล่องลงคะแนนเสียงในปีที่แล้ว

ร้อยละ 20 ของรัฐบาลในโลกในปีที่ผ่านมา ใช้การกดขี่นอกประเทศในการล่าและจับกุมฝ่ายต่อต้าน เช่น จีน รัสเซีย และอิหร่าน

ใน 52 ประเทศมีการใช้มาตรการที่เป็นการละเมิดสิทธิทางการเมืองและเสรีภาพพลเมือง

ในขณะที่ 21 ประเทศสามารถสร้างความคืบหน้าได้ระดับหนึ่ง

ปัจจัยสำคัญต่อความเสื่อมคลายของประชาธิปไตยได้แก่การเลือกตั้งที่ไม่เรียบร้อยการแทรกแซงการเลือกตั้ง ความขัดแย้งที่รุนแรงและไม่สันติเช่นสงคราม การโจมตีพหุนิยม

ทั้งหมดนี้นำไปสู่ความเสื่อมคลายของระบบประชาธิปไตย การดำรงอยู่ร่วมกันอย่างสันติระหว่างคนที่มีความคิดแตกต่างกัน มีศาสนาต่างกัน หรืออัตลักษณ์ทางชนชาติที่ต่างกัน

เหล่านี้คือตัวขับเคลื่อนหลักของความเสื่อมคลายในโลกของประชาธิปไตย

ผู้นำที่ต่อต้านประชาธิปไตย ใช้กลวิธีในการข่มขู่และทำให้ฝ่ายต่อต้านเงียบหายไป เรียกว่า “ความตายของพลเรือน” หรือ” civil death” ที่ป้องปรามไม่ให้ปัจเจกบุคคลสามารถเข้ามามีส่วนร่วมในสังคมได้อย่างปกติ

Dr. Gorokhovskaia ผู้อำนวยการ Freedom House กล่าวถึงสภาพดังกล่าวได้อย่างแหลมคมว่า “มันไม่ใช่เพราะว่าประชาธิปไตยกำลังเสียฐานของตัวไป แต่จริงๆ แล้วมันเป็นเพราะว่าอัตตาธิปไตยต่างหากที่กำลังแย่ลง (“It’s not so much that democracy is losing ground; it’s that autocracies are getting worse.”)

 

กลับมาพินิจสภาวะและสุขภาวะของประชาธิปไตยในไทยดูบ้าง

หากวัดตามมาตรวัดในโลกกับเขาด้วย ประชาธิปไตยไทยจัดอยู่ในกลุ่ม 52 ประเทศที่มีการกดขี่ลิดรอนและบั่นทอนสิทธิทางการเมืองและสิทธิมนุษยชนของประชาชนผู้มีสิทธิในการเลือกตั้ง

ด้วยการใช้กลยุทธ์และวิธีการอันไม่โปร่งใสและไม่ชอบธรรมในการทำให้ผลการเลือกตั้งของประชาชนไม่นำไปสู่ผลที่ควรจะเป็น

นั่นคือ พรรคการเมืองที่ชนะการเลือกตั้งเสียงข้างมากควรจะได้เป็นรัฐบาล หากแต่ในกรณีไทยมีการใช้กลยุทธ์และวิธีการที่ดำเนินไปตามกรอบของกฎหมายรัฐธรรมนูญ ที่จัดการร่างโดยรัฐบาลที่มาจากการรัฐประหาร อันนำไปสู่การบล็อกไม่ให้หัวหน้าพรรคก้าวไกล ซึ่งเป็นพรรคที่ชนะการเลือกตั้ง สามารถเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้

Freedom House จึงจัดประเทศไทยว่าอยู่ในกลุ่มประเทศที่หลุดจากภาวการณ์ไม่เป็นเสรี (Not Free) มาสู่การเป็นประเทศ “เสรีบ้างบางด้าน” (Partly Free)

คือยอมให้มีการเลือกตั้งแต่ไม่ให้ได้รับผลนั้นอย่างปกติ

ผลที่ได้รับอย่างไม่ปกติ เขาไม่ได้รายงานถึงเพราะมันคงซับซ้อนและยอกย้อนกว่าที่คนนอกประเทศจะเข้าใจได้

เช่น การเรียกการทำลายข้อตกลงในความเข้าใจระหว่างพรรคก้าวไกลกับเพื่อไทยและพรรคเล็กๆ รวมกันเป็นฝ่ายเสียงผสมข้างมากในสภาผู้แทนราษฎรว่า การ “ตระบัดสัตย์”

หรือการประชุมร่วมกับวุฒิสภาในการลงคะแนนเลือกนายกรัฐมนตรี ก็เต็มไปด้วยการใช้กลยุทธ์และสร้างกติกาข้อบังคับการประชุมแบบศรีธนญชัย (ขอยืมศัพท์จากสมาชิกวุฒิสภานันทนา นันทวโรภาส ในการอภิปรายเรื่องการเสนอชื่อกรรมาธิการว่าด้วยการพัฒนาการเมืองฯ ใน (202) อ.นันทนา โวยถูก ส.ว.สีน้ำเงินบล็อกอีก โหวตพ่าย กมธ.พัฒนาการเมือง : Matichon TV – YouTube”) อาศัยเสียงข้างมากในรัฐสภาทำการบล็อกไม่ให้หัวหน้าพรรคก้าวไกลได้รับการคัดเลือกให้เป็นนายกรัฐมนตรี

ซึ่งเหตุการณ์ประวัติศาสตร์นี้ต้องนับว่าเป็นโบน้ำเงินของประชาธิปไตยโลกที่ถูกกีดกันบั่นทอนโดยกลไกที่ไม่เสรีที่เป็นเครื่องมือของระบบอำนาจนิยมทั่วโลกในการลิดรอนฝ่ายประชาธิปไตยไม่ให้เติบโตต่อไปได้

 

ดารอน อะเซโมกลู (Daron Acemoglu) นักเศรษฐศาสตร์ชาวตุรกีอเมริกันแห่งสถาบันชื่อดังเอ็มไอที (MIT) ซึ่งได้รับรางวัลโนเบลสาขาเศรษฐศาสตร์ปี 2024 กล่าวในรายการความคิดของโนเบลในรายการบีบีซี เมื่อถามว่าทำไมความเจริญที่มากับลัทธิอาณานิคมตะวันตกถึงไม่อาจสร้างความเจริญให้แก่ประเทศอาณานิคมได้

เขาตอบว่า สิ่งที่อาณานิคมสร้างไว้ให้คือสถาบันและระบบสมัยใหม่ ซึ่งต้องพัฒนาต่อไปอย่างมีประสิทธิภาพ และคุณภาพที่เขาระบุไว้ก็คือ การทำให้สังคมเป็นแบบครอบคลุม (inclusive)

นั่นคือ การรวมผู้คนรวมทั้งสติปัญญาและความคิดเห็นต่างๆ ที่ตรงกันหรือแตกต่างกันให้เข้าทำงานร่วมกันให้ได้

ผมชอบและเห็นด้วยกับอะเซโมกลูอย่างยิ่งในประเด็นการสร้างสถาบันไม่ว่าทางการเมืองหรือเศรษฐกิจและวัฒนธรรม ที่ต้องทำให้เปิดกว้างและรับเอาผู้คนที่หลากหลายแตกต่างเข้ามาอยู่ในระบบใหม่ให้ได้

ลองหวนคิดดูว่าระบบการศึกษา ระบบการเมือง การเลือกตั้ง การค้าการลงทุน และ ฯลฯ ในประเทศไทยนั้น ดำเนินมาบนหนทางของการครอบคลุมหรือกีดกัน (exclusive)

ดังนั้น อนาคตของประชาธิปไตยจึงต้องรวมอีกข้อคือ การสร้างความครอบคลุมให้กับสถาบันทั้งหลายในเมืองไทย ไม่ใช่สร้างการกีดกัน แบ่งแยกและตราหน้าคนที่คิดไม่ตรงกับเราว่าเป็นคนไม่ดีที่ไม่ควรให้สิทธิในการเลือกตั้งและการเป็นรัฐบาล

 

ในปีที่ผ่านมาเราได้เห็นการใช้สงครามเพื่อบังคับอีกฝ่ายให้จำต้องยอมตกเป็น “ทาสสมัยใหม่” ตัวอย่างที่เกิดขึ้นตลอดปีที่แล้วและต่อเนื่องมาก่อนคือ สงครามยูเครน ตามมาด้วยสงครามในกาซา ซึ่งเกิดขึ้นเมื่อตุลาคมปีที่แล้ว

สงครามเหล่านี้ในโลกยุคดิจิทัลเป็นความย้อนแย้งที่ไม่อาจคิดว่าจะเกิดได้

ประการแรก สงครามทั้งสองแห่งกำลังทำลายหลักการว่าด้วยสงครามตามกฎหมายระหว่างประเทศลงไปอย่างสิ้นเชิง

กรณีอิสราเอลในกาซา องค์การสหประชาชาติมีมติหลายวาระในการเรียกร้องให้ยุติการใช้วิธีการอันไม่ชอบด้วยกฎหมายและมนุษยธรรม ศาลอาญาระหว่างประเทศมีมติให้ดำเนินคดีกับนายปูตินและเนทันยาฮูข้อหาอาชญากรต่อมนุษยชาติ (crime against humanity) แต่ไม่ได้ผล

บทเรียนของสองสงครามนี้คือ ความขัดแย้งเกิดขึ้นระหว่างชุมชนสองประเทศที่เคยอยู่ด้วยกันแล้วแยกกันและต่างฝ่ายต่างหา “เสรีภาพ” ของตนเอง ทั้งยูเครนและปาเลสไตน์ในกาซากลายเป็นชนวนของปัญหา

แต่ในที่สุดหากรัสเซียเป็นประชาธิปไตย เชื่อว่าการทำสงครามอย่างที่ประธานาธิบดีปูตินได้ลงมือนั้นคงไม่อาจเกิดขึ้นมาได้

ส่วนอิสราเอลเป็นประชาธิปไตยแต่เมื่อรัฐบาลเสื่อมทรามลงไปเป็นฝ่ายขวาสุดขั้ว การใช้กำลังก็กลายเป็นคำตอบที่ไม่อาจต้านทานได้

ข้อคิดจากสงครามนี้คือ หากให้ประชาธิปไตยงอกงามและทำงานได้อย่างจริงจัง ความขัดแย้งที่กลายเป็นปฏิปักษ์อย่างในสงครามยูเครนและกาซาก็อาจป้องกันและหลีกเลี่ยงได้

ทำนองเดียวกับความไม่สงบในสามจังหวัดภาคใต้ไทย หากให้ประชาธิปไตยงอกเงยและทำงานได้อย่างเต็มที่ เราก็จะสามารถบรรลุการสร้างสันติภาพและความสงบสุขในพื้นที่ชาวมลายูมุสลิมได้เช่นกัน

นั่นคืออนาคตของไทยที่ต้องหลุดจากการเป็น “เสรีบางส่วน” ไปสู่การเป็นสังคม “เสรีภาพทั้งหมด” เท่านั้นสันติภาพจึงจะเกิด