ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ธันวาคม 2567 - 2 มกราคม 2568 |
---|---|
เผยแพร่ |
บทความต่างประเทศ
เมื่อนิสสัน-ฮอนด้า
จ่อควบรวมกิจการ
สะเทือนตลาดยานยนต์โลก
เกิดความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในโลกยานยนต์อีกครั้ง เมื่อนิสสันและฮอนด้า 2 บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ยักษ์ใหญ่ของญี่ปุ่นได้ประกาศเมื่อวันที่ 23 ธันวาคม ว่า ได้ตกลงที่จะเปิดการเจรจาพูดคุยเพื่อควบรวมกิจการ ซึ่งจะเป็นการกำเนิดกลุ่มผู้ผลิตรถยนต์ (auto group) รายใหญ่ที่สุดเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นรองเพียงโตโยต้าและโฟล์กสวาเกน
การควบรวมกิจการระหว่างบริษัทรถยนต์อันดับ 2 และ 3 ของญี่ปุ่นจะทำให้เกิดคลื่นแห่งความเปลี่ยนแปลงใดบ้างในโลกยานยนต์ในอนาคตข้างหน้า
ฮอนด้าและนิสสันได้ตั้งเป้าว่าจะบรรลุข้อตกลงการควบรวมกิจการภายในเดือนมิถุนายน 2025 และจะจัดตั้งบริษัท holding company ภายในสิงหาคม 2026
นอกจากทั้ง 2 บริษัทแล้ว มิตซูบิชิ บริษัทรถยนต์ยักษ์ใหญ่ที่นิสสันถือหุ้นใหญ่ ได้ตกลงที่จะร่วมการพูดคุยเพื่อควบรวมกิจการด้วย
บริษัท holding company ที่ตั้งขึ้นใหม่จะจดทะเบียนเข้าตลาดหลักทรัพย์โตเกียวภายในสิงหาคม 2026 ตั้งเป้าว่าจะมียอดขายรวมทั้งสิ้น 30 ล้านล้านเยน หรือ 6.53 ล้านล้านบาท และฮอนด้าจะเป็นฝ่ายแต่งตั้งบอร์ดบริหารส่วนใหญ่ของ holding company รวมถึงตำแหน่งประธานบริษัท
ขณะนี้ตลาดยานยนต์ของโลกกำลังอยู่ในช่วงเปลี่ยนผ่านจากเครื่องยนต์สันดาปไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้า ซึ่งแบรนด์รถยนต์จากจีนอย่าง BYD และ Great Wall Motor กำลังแย่งส่วนแบ่งการตลาดในหลายประเทศทั่วโลกไปจากค่ายรถยนต์ญี่ปุ่น ซึ่งกำลังตามหลังจีนในเรื่องรถยนต์ไฟฟ้า
นายโทชิฮิโระ มิเบะ ซีอีโอของฮอนด้ากล่าวว่า การควบรวมกิจการมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐนี้มีขึ้นเพื่อสู้กับการเติบโตของค่ายรถยนต์จีน และต้องมีแผนต่อสู้กับเรื่องนี้ภายในปี 2030 มิเช่นนั้นก็อาจเจอกับความพ่ายแพ้ต่อค่ายรถยนต์คู่แข่ง
ความร่วมมือระหว่างฮอนด้า นิสสัน และมิตซูบิชิจะทำให้พวกเขาสามารถแบ่งปันทรัพยากรระหว่างกันเพื่อต่อสู้กับคู่แข่งอย่างเทสลาได้
อาจรวมถึงการรวมโรงงานผลิต หมายความว่าอาจมีการผลิตรถยนต์ของแบรนด์ตัวเองในโรงงานของอีกฝ่าย
ข่าวการควบรวมกิจการนี้อาจเป็นข่าวดีอย่างมากสำหรับนิสสันที่กำลังประสบปัญหาการเงิน และเพิ่งประกาศปลดพนักงาน 9,000 ตำแหน่งไปเมื่อเร็วๆ นี้ รวมถึงลดกำลังการผลิตรถยนต์ทั่วโลกลง 20% หลังมีการขาดทุนรายไตรมาสมากถึง 9.3 พันล้านเยน หรือ 2,083 ล้านบาท
โดยนิสสันประสบปัญหามานานหลายปีหลังการจับกุมนายคาร์ลอส กอส์น อดีตซีอีโอของนิสสันในปี 2018 ในข้อหาฉ้อโกง
อย่างไรก็ตาม การผนึกกำลังระหว่างนิสสันและฮอนด้าก็จะสร้างความได้เปรียบให้แก่ฮอนด้าเช่นกัน ตามความเห็นของนายแซม ฟิโอรานี รองประธานบริษัท AutoForecast Solutions เพราะนิสสันมีประสบการณ์ในการผลิตแบตเตอรี่และรถยนต์ไฟฟ้ามานานหลายปี รวมถึงเครื่องยนต์ไฮบริดที่อาจช่วยฮอนด้าในการพัฒนารถยนต์อีวีและรถยนต์ไฮบริดรุ่นใหม่ของตัวเองได้
และแม้ว่ารถยนต์ไฟฟ้า นิสสันลีฟ และนิสสัน อริยะ จะมียอดขายที่ไม่ดีในตลาดอเมริกา แต่รถยนต์ทั้งสองรุ่นนี้ก็เป็นรถที่ดีซึ่งนิสสันพัฒนาเทคโนโลยีนี้ขึ้นมาเองกับมือ ทำให้อาจเป็นประโยชน์กับฮอนด้าในอนาคตเช่นกัน
ทั้งนี้ ยังมีอุปสรรครออยู่ข้างหน้าอยู่บ้าง เช่น มีความกังวลว่าเมื่อนายโดนัลด์ ทรัมป์ ว่าที่ประธานาธิบดีสหรัฐขึ้นรับตำแหน่งจะมีการประกาศขึ้นภาษีสินค้านำเข้า ไม่เว้นแม้แต่พันธมิตรสหรัฐอย่างญี่ปุ่นและแคนาดา ซ้ำยังมีปัญหาเรื่องราคารถยนต์ที่ผู้คนไม่มีเงินมากพอที่จะซื้อรถป้ายแดงราคา 50,000 ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 1.7 ล้านบาท
ทำให้บริษัทรถยนต์อย่างนิสสัน ฮอนด้า และโตโยต้าต้องพิจารณาลดราคารถยนต์ของตัวเองลงในตลาดอเมริกาเพื่อเพิ่มยอดขาย แต่ก็จะลดกำไรของทางบริษัทลง
ถึงอนาคตของค่ายรถยนต์ญี่ปุ่นและอุตสาหกรรมยานยนต์ของโลกยังคาดเดาไม่ได้
แต่อย่างน้อยก็เป็นสัญญาณดีที่เห็นความเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มความสามารถในการแข่งขันในตลาดที่ดุเดือด เข้มข้นเช่นตอนนี้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022