‘หวอด’ ความคิด รากฐาน พระมหาอุปราช กับ ‘ดรุโณวาท’

บทความพิเศษ

 

‘หวอด’ ความคิด

รากฐาน พระมหาอุปราช

กับ ‘ดรุโณวาท’

 

ไม่ว่าจะเป็น “ประวัติศาสตร์ไทยฉบับสังเขป” ของ เดวิด เค. วัยอาจ ไม่ว่าจะเป็น “ระบอบสมบูรณาญาสิทธิราชย์” ของ กุลลดา เกษบุญชู มี้ด ให้ความสนใจไปยัง 3 สถานการณ์สำคัญ

1 การขึ้นครองราชย์ของ พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว 1 การเป็นผู้สำเร็จราชการแทนพระองค์ของ เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์

1 การเปิดตำแหน่ง “พระมหาอุปราชฝ่ายหน้า”

ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสถานการณ์อันเป็นพื้นฐานแห่งการเกิดขึ้นของ “กลุ่มสยามหนุ่ม” ทั้งหมดนี้ล้วนเป็นสถานการณ์อันเป็นพื้นฐานและนำไปสู่การกำเนิดของหนังสือพิมพ์อันเป็น “เครื่องมือ” ในการเคลื่อนไหว

นั่นย่อมได้แก่ หนังสือ “COURT ข่าวราชการ” นั่นย่อมได้แก่ หนังสือ “ดรุโณวาท” ซึ่งเป็นปากเสียงของ “เด็กคนหนุ่ม”

จะเข้าใจสถานการณ์นี้อย่างใกล้ชิดและเกาะติดกับเหตุการณ์อย่างเป็นพิเศษมีความจำเป็นต้องศึกษาและทำความเข้าใจจากหนังสือ “พระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 5” พระนิพนธ์ของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ตีพิมพ์โดยสมบูรณ์ครบถ้วนผ่านสำนักพิมพ์ “ศิลปวัฒนธรรม ฉบับพิเศษ” เมื่อเดือนสิงหาคม 2545

เริ่มจาก

รากฐาน มหาอุปราช

จาก ท่าน “เจ้าพระยา”

เมื่อเสร็จการปรึกษาตอนถวายราชสมบัติแก่สมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าฯ กรมขุนพินิตประชานาถแล้ว เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ จึงกล่าวขึ้นอีกว่า

“แผ่นดินที่ล่วงแล้วแต่ก่อนๆ มามีพระมหากษัตริย์แล้วก็ต้องมีพระมหาอุปราชฝ่ายหน้าเป็นเยี่ยงอย่างมาทุกๆ แผ่นดิน ครั้งนี้ที่ประชุมจะเห็นควรมีพระมหาอุปราชฝ่ายหน้าด้วยหรือไม่”

เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ถามที่ประชุมเรียงไป โดยมากรับว่า “สมควร” หรือให้อนุมัติโดยอาการไม่คัดค้าน

แต่กรมขุนวรจักรฯ ตรัสขึ้นว่า “ผู้ที่จะเป็นตำแหน่งพระราชโองการมีอยู่แล้ว ตำแหน่งพระมหาอุปราชควรแล้วแต่พระราชโองการจะทรงตั้ง เห็นมิใช่กิจของที่ประชุมจะเลือกพระมหาอุปราช”

เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ซักไซ้กรมขุนวรจักรฯ ว่า “เหตุใดจึงขัดขวาง”

กรมขุนวรจักรฯ ทรงชี้แจงต่อไปว่า “เห็นพระราชประเพณีที่เคยมีมาแต่ก่อน ครั้งรัชกาลที่ 1 เมื่อพระบาทสมเด็จฯ พระพุทธยอดฟ้าจุฬาโลกเสด็จปราบดาภิเษกก็ทรงตั้งพระอนุชาธิราชเป็นกรมพระราชบวรสถานมงคล รัชกาลที่ 2 พระบาทสมเด็จฯ พระพุทธเลิศหน้านภาลัย ก็ทรงตั้งสมเด็จพระอนุชาธิราชเป็นกรมพระราชวังบวร ถึงรัชกาลที่ 3 พระบาทสมเด็จฯ พระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัวก็ทรงตั้ง กรมหมื่นศักดิพลเสพย์ เป็นกรมพระราชวังบวร มาในรัชกาลที่ 4 พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงตั้งสมเด็จพระอนุชาธิราชเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

เห็นเคยทรงตั้งมาทุกราชการ จึงเห็นว่ามิใช่หน้าที่ของที่ประชุมจะเลือกพระมหาอุปราช”

เจ้าพระยามศรีสุริยวงศ์ ขัดเคืองว่ากล่าวกรมขุนวรจักรฯ ลงที่สุดทูลถามว่า “ที่ไม่ยอมนั้นอยากจะเป็นเองหรือ”

กรมขุนวรจักรฯ จึงตอบว่า “ถ้าจะให้ยอมก็ต้องยอม”

การก็เป็นตกลง เป็นอันที่ประชุมเห็นสมควรที่ กรมหมื่นบวรวิชัยชาญ จะเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล

เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ จึงอาราธนาให้พระสงฆ์สวดชยันโตและอติเรกอีกครั้งหนึ่ง

 

จาก ยอช วอชิงตัน

มายัง “หม่อมเจ้ายอด”

พระเจ้าวรวงศ์เธอ กรมหมื่นบวรวิชัยชาญ ซึ่งได้รับเลือกเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล พระมหาอุปราชในรัชกาลที่ 5 เป็นพระเจ้าลูกยาเธอพระองค์ใหญ่ของพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว

เจ้าคุณจอมมารดาเอมเป็นเจ้าจอมมารดา ประสูติในรัชกาลที่ 3 เมื่อ ณ วันพฤหัสบดี เดือน 10 แรม 2 ค่ำ ปีจอ สัมฤทธิศก จุลศักราช 1200 ตรงกับ พ.ศ.2318

สมัยเมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวยังเสด็จดำรงพระยศเป็นเจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ประทับอยู่ ณ พระราชวังเดิมที่ริมปากคลองบางกอกใหญ่ พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงชอบพอกับพวกมิชชันนารีอเมริกันซึ่งสอนภาษาและวิชาอย่างฝรั่งถวายในสมัยนั้น

จึงประทานพระนามว่า “ยอช วอชิงตัน” ตามนามประธานาธิบดีคนแรกของสหปาลีรัฐอเมริกา ข้างฝ่ายไทยจึงเรียกพระนามว่า “หม่อมเจ้ายอด”

ครั้งพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวเสด็จเถลิงถวัลยราชสมบัติ พระราชทานพระนามว่า “พระองค์เจ้ายอดยิ่งประยุรยศ บรมราโชรสรัตนราชกุมาร” ต่อมาพระราชทานสุพรรณบัฏทรงสถาปนาเป็นกรมหมื่นบวรวิชัยชาญ

ทรงผนวชก็มีแห่กระบวนใหญ่และว่าทรงช้างก็เห็นจะเป็นความจริงด้วยตรงกับประเพณีในครั้งนั้น คงจะแห่ทำนองเดียวกับเมื่อครั้งทรงผนวชเป็นสามเณร

เมื่อลาผนวชแล้ว พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวพระราชทานที่บ้านเก่าสำหรับเสนาบดีวังหน้าแต่ก่อนตอนริมคลองคูเมืองเดิม (ซึ่งเรียกกันว่าคลองโรงไหม) ข้างฝั่งเหนือตั้งแต่ถนนพระอาทิตย์ไปจนต่อเขตวังเจ้าฟ้าอิสราพงศ์ สร้างวังพระราชทาน (ตรงที่ตั้งโรงพยาบาลทหารบัดนี้)

และพระราชทานตึกตรงหน้าพระที่นั่งศิวโมกขพิมานในพระบวรราชวังชั้นกลางให้เป็นที่สำนักอีกแห่งหนึ่งเพราะทรงใช้ชิดติดพระองค์ และรับราชการต่างพระเนตรพระกรรณทั่วไปทุกอย่างเวลาเสด็จไปไหนก็ตามเสด็จด้วย

ดูเหมือนว่าในสมัยเมื่อพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคต พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว โปรดให้ทรงบังคับบัญชากรมทหารเรือรบฝ่ายพระบวรราชวัง แต่นั้นจึงได้เสด็จมารับราชการด้วยกันกับเจ้านายวังหลวงชั่วเวลา 3 ปี เมื่อจะได้เป็นอุปราช

เจ้านายผู้ใหญ่ท่านตรัสเล่าว่า กรมหมื่นบวรวิชัยชาญนั้นพระอัธยาศัยสุภาพโดยปรกติมักถ่อมพระองค์

เมื่อมาสมทบกับเจ้านายวังหลวงก็พอพระหฤทัยที่จะคบหาแต่เพียงชั้นหม่อมเจ้าที่เป็นพระโอรสผู้ใหญ่ในเจ้านายต่างกรม วางพระอัธยาศัยเป็นกันเองอย่างสนิทสนมจนคุ้นเคยชอบพอในเจ้านายชั้นเดียวกันแทบทั้งนั้น

ถึงพระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว ก็ทรงพระเมตตาใช้สอยสนิทสนม

เล่ากันมาอีกอย่างหนึ่งว่า ในชั้นหลัง ตั้งแต่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวสวรรคตแล้ว กรมหมื่นบวรวิชัยชาญ ทรงรักษากิจวัตรมั่นคง 2 ประการคือ

เวลาเช้า คงเสด็จข้ามไปหา เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ ที่บ้าน เพื่อศึกษาราชการและช่วยทำการงานให้เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์ เช่น ตกแต่งบ้านเรือน เป็นต้น ครั้นถึงเวลาค่ำ เสด็จเข้าเฝ้า พระบาทสมเด็จฯ พระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวที่ในพระบรมมหาราชวังเป็นนิจ ไม่ขาดเลยจนตลอดรัชกาลที่ 4

กรมหมื่นบวรวิชัยชาญ ได้เป็นพระมหาอุปราชนั้น พระชันษาพอได้ 30 ปี

 

มองผ่าน กรมพระยาดำรง

ไปยัง “พระมหาอุปราช”

ประเด็นมิได้อยู่ที่ว่า เดวิด เค. วัยอาจ แห่งมหาวิทยาลัยคอร์แนล มีความเห็นอย่างไร ประเด็นมิได้อยู่ที่ว่า กุลลดา เกษบุญชู มี้ด แห่งจุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย มีบทสรุปอย่างไร ต่อการปรากฏขึ้นของ “พระมหาอุปราช”

หากอยู่ที่ความเห็นอันเป็นบทสรุปของ สมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ

ไม่เพียงเพราะทรงอยู่ใน “บรรยากาศ” ในทาง “สังคม”

ไม่เพียงเพราะอยู่ในกลุ่ม “เจ้าพี่เจ้าน้อง” ผู้มีบทบาทร่วมอยู่กับหนังสือ “COURT ข่าวราชการ” หากแต่ยังได้รับกระแสอันสะท้อนมาจากที่ดำรงอยู่ใน “ดรุโณวาท”

และต่อมาได้นิพนธ์ “พระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 5”