‘ประเทศจะเป็นอย่างไร’ ก็ชั่ง

เมนูข้อมูล | นายดาต้า

 

‘ประเทศจะเป็นอย่างไร’ ก็ชั่ง

 

ในงานสัมนา “ISAN NEXT” ที่ “มติชน” ร่วมกับ “มหาวิทยาลัยราชภัฏนครราชสีมา” จัดที่โคราชเมื่อเร็วๆ นี้ มีประเด็นหนึ่งที่น่าสนใจ

“อดีตนายกรัฐมนตรี ทักษิณ ชินวัตร” กล่าวปาฐกถาในงานนี้ถึง “การออก ‘stable coin’ หรือจะเรียกว่า พันธบัตรดิจิทัล”

โดยเปิดเผยความเป็นจริงของการบริหารการเงินของประเทศว่า “ได้คุยผู้เชี่ยวชาญด้านการคลัง และกฎหมาย มองว่าที่ผ่านมารัฐบาลออกพันธบัตรขายสถาบันการเงินเป็นส่วนใหญ่ สถาบันการเงินก็เก็บ รับดอกเบี้ย ไม่ได้ช่วยเศรษฐกิจอะไรเลย”

และว่า เรื่องพันธบัตร 8 แสนล้านต่อปี จะต้องเอามาทำประโยชน์ดีไหม

ย้อนไปที่การแถลงของธนาคารแห่งประเทศไทยว่าด้วยผลประกอบการ 9 เดือน 10 ธนาคารพาณิชย์ไทย ซึ่งเป็นที่ฮือฮามากด้วยผลกำไรมหาศาล รวมกันแล้วมากถึง 1.9 แสนล้าน เพิ่มขึ้นจาก 9 เดือนของปีก่อน 5% เรียกว่าธุรกิจประสบความสำเร็จรวยกันเละทุกแบงก์

เป็นความสำเร็จท่ามกลางความห่อเหี่ยวของธุรกิจที่ต้องอาศัยเงินทุนจากธนาคารที่ได้รับอนุมติเงินกู้ตามที่จำเป็นต้องใช้ประคับประคองเพื่ออยู่รอด

เพราะธุรกิจธนาคารคือการรับเงินฝากมาปล่อยกู้ กำไรหลักอยู่ที่ส่วนต่างของดอกเบี้ยเงินฝากกับดอกเบี้ยเงินกู้ ความข้องใจจึงคือ ทั้งที่จำกัดการปล่อยกู้จนธุรกิจต่างๆ พากันเดือดร้อนด้วยบริหารสภาพคล่องไม่ได้ แต่ธนาคารกลับทำกำไรกันมโหฬารเป็นความสำเร็จอย่างยิ่งยวด

รายได้ที่ทำกำไรมาจากไหนกันแน่

คำตอบถูกเปิดแล้วโดย “ทักษิณ ชินวัตร” ในงาน “ISAN NEXT” ดังกล่าว

 

หากติดตามข้อมูลนี้จากบางสำนักข่าวจะพบการขยายความให้เกิดความเข้าใจเพิ่มขึ้นว่า

“ปัจจุบันหนี้สาธารณะไทยอยู่ที่ระดับสูงมาก เมื่อทำงบประมาณแต่ละปีต้องทำงบฯ ขาดดุล พอขาดดุลรัฐบาลก็ต้องกู้ พอจะกู้ก็ออกพันธบัตรมาขาย คนที่ซื้อก็คือธนาคาร เอาเงินมาซื้อพันธบัตรถือไว้รอกินดอกเบี้ย เท่ากับเงินถูกดูดออกจากระบบไปแช่ไว้ในรูปพันธบัตรอยู่ในมือธนาคาร พอรัฐบาลจ่ายเงินใช้หนี้ ก็เท่ากับว่าจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตร จึงเท่ากับว่าคนทั้งประเทศจ่ายภาษีมาช่วยรัฐบาลจ่ายดอกเบี้ยให้กับสถาบันการเงิน”

สรุปความได้ว่า ความร่ำรวยของธนาคารพาณิชย์ไทยสร้างง่ายมาก ด้วยวิธีรับฝากเงินดอกเบี้ยต่ำๆ จากประชาชน เอามาให้รัฐบาลกู้ในนาม “ซื้อพันธบัตร” โดยรัฐบาลจ่ายดอกเบี้ยในอัตราสูงให้

รัฐบาลไม่ผลิตพันธบัตรมาขายก็ไม่ได้ เพราะไม่มีเงินบริหารประเทศ

“ขายพันธบัตร” ซึ่งเป็นการกู้แบงก์เพื่อเอามาจัดทำเป็นงบประมาณ ในงบประมาณนั้นกว่า “ร้อยละ 80” เป็นค่าตอบแทนข้าราชการ ซึ่งสิ้นเปลืองไปกับโครงสร้างที่เหลื่อมซ้อน ภารกิจซ้ำซ้อนกันโดยไม่จำเป็น ทำให้งบฯ พัฒนาประเทศขาดแคลน

ในประเทศที่พัฒนาไม่ได้เพราะเงินไม่พอ แต่รัฐบาลจำเป็นต้องทำให้ประชาชนพอใจ ซึ่งก็แค่พอดำรงชีวิตอยู่ได้ คือการแจกเงินเยียวยา

แต่เมื่อเงินเหล่านั้นมาจาก “เงินกู้” เท่ากับเป็นการสร้างภาระไว้ให้คนในอนาคตต้องชดใช้

ความพยายามเพิ่มภาษีเป็นไปไม่ได้ เพราะชีวิตผู้คนทุกวันนี้ลำบากยากเข็ญกันหนักอยู่ รัฐบาลที่ได้อำนาจมาจากการเลือกตั้งจะใช้วิธี “รีดเลือดจากปู” ย่อมเสี่ยงต่อคะแนนนิยม

สภาพที่เกิดขึ้นกับประเทศจึงคือ “อาศัยผลิตพันธบัตรมาขายแบงก์ และผลิตอีกเพื่อใช้หนี้เป็นปีๆ เป็นลูกโซ่ไป”

ตราบใดที่ยัง “ผลิตมาขายได้ก็คือว่ายังมีเงินพอที่จะบริหารประเทศ”

 

อย่างไรก็ตาม ถึงวันนี้ “ทักษิณ ชินวัตร” ออกมาเปิดเผยว่าปัญหาของประเทศวันนี้เป็นหนี้เยอะมาก หนี้ประเทศเยอะ สูงถึง 60% ของจีดีพี จากเพดานอยู่ที่ 70% จะกู้อีกคงไม่ไหว

คำถามคือ หาก “กู้ไม่ได้แล้ว จะหาเงินจากไหนมาบริหารประเทศ”

ทำให้ “ทักษิณ” คิดว่า “พันธบัตร 8 แสนล้านต่อปี จะต้องเอามาทำประโยชน์ดีไหม ออกพันธบัตร ขายบุคคลทั่วไป 1 พัน 1 หมื่นบาทก็ขาย อายุสั้นๆ ออกในรูปของเหรียญหรือคอยน์ ทำแบบนี้เงินตกไปอยู่ในมือประชาชน ใช้ก็เพิ่มเงินหมุนเวียน”

ซึ่งน่าจะหมายถึงไม่ใช่ให้ธนาคารซื้อเอาไปกินส่วนต่างดอกเบี้ยสร้างกำไรแบบหมูในอวยเหมือนที่ผ่านมา โดยไม่ต้องทำอะไร

ยังไม่รู้ว่าที่ “ทักษิณ” คิดจะทำได้หรือไม่

แต่ที่รู้แล้วคือ “ประเทศพัฒนาไม่ได้ พวกที่อยู่ในฐานะได้เปรียบ ทำมาหากินสร้างความมั่งคั่ง มั่นคง ยั่งยืนกันแบบไหน”