แก้ไขความเข้าใจเรื่องระบบขวัญ ‘หิง’ คือ เงาของขวัญ ไม่ใช่ตัวตน หรือร่างกาย

ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ

ในข้อเขียนที่ชื่อ “ขวัญ มิ่ง หิง แนน และแถน คืออะไร? (จบ)” ของผม ซึ่งตีพิมพ์ในคอลัมน์ On History มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับประจำวันที่ 6-12 ธันวาคม 2567 (ซึ่งก็คือคอลัมน์เดียวกันกับที่คุณกำลังอ่านอยู่นี่แหละ) ที่เพิ่งจะผ่านไปไม่ถึงเดือนนี้ ได้อธิบายถึงคำศัพท์โบราณของกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไทที่เรียกว่า “หิง”

โดยได้อ้างอิงถึงข้อเขียนเรื่อง บทความเรื่องเดิมคือ “งันขอน เรียกผีขวัญ งันเฮือนดี ส่งผีขวัญ” ของผู้เชี่ยวชาญด้านวัฒนธรรม ความเชื่อลาวและอีสาน คนดีคนเดิม อย่าง อ.ยุทธพงศ์ มาตย์วิเศษ ที่ตีพิมพ์ลงในวารสารศิลปวัฒนธรรม ปีที่ 45 ฉบับที่ 5 ประจำเดือน มีนาคม 2567 เอาไว้นะครับ

กล่าวโดยสรุปคือ ในบทความชิ้นดังกล่าว อ.ยุทธพงศ์ ได้กล่าวถึง “หิง” โดยเรียกตามสำเนียงถิ่นอีสานว่า “คีง” โดยได้อ้างคำจำกัดความของคำศัพท์ภาษาถิ่นอีสานดังกล่าวจากสารานุกรมภาษา ของ ปรีชา พิณทอง ที่ระบุว่า

“คีง เป็นคำนาม หมายถึง ร่างกาย, ตัว, ตน ร่างกายทั้งหมดเรียก คีง เลาคีง ก็ว่า”

อ.ยุทธพงศ์ ยังอธิบายต่อไปอีกด้วยว่า

“คำว่า ‘คีง’ ในภาษาอีสาน ออกเสียงเป็น ‘คิง’ ในภาษาล้านนา”

ดังนั้น จึงไม่แปลกอะไรที่ คำว่า “คิง” ที่มาออกเสียงว่า “คีง” ในสำเนียงอีสาน และออกเสียงว่า “หิง” ตามสำเนียงไทดำนี้ จะมีรูปศัพท์ปรากฏอยู่ในใบลานเก่าของล้านนาด้วย โดย อ.ยุทธพงศ์ได้อ้างความหมายของศัพท์คำนี้จาก พจนานุกรมศัพท์ล้านนาเฉพาะคำที่ปรากฏในใบลาน ที่ได้ให้คำจำกัดความคำดังกล่าวเอาไว้ว่า

“คิง เป็นคำนาม หมายถึง ตัว (ตัวตน)”

พูดง่ายๆ ว่า หากจะว่ากันตามคำจำกัดความในพจนานุกรมฉบับต่างๆ แล้ว “คีง” “คิง” หรือ “หิง” นั้นก็ควรที่จะหมายถึง “ตัวตน”

โดย “ตัวตน” ในที่นี้คงจะมีความหมายคาบเกี่ยวถึง “ร่างกาย” อย่างใกล้ชิด ตามอย่างที่สารานุกรมภาษา ของ ปรีชา พิณทอง จำกัดความไว้อย่างเห็นได้ชัด ดังมีหลักฐานอยู่ในคำสู่ขวัญหลวง ที่ อ.ยุทธพงศ์ได้ยกมาอ้างไว้ในบทความชิ้นเดิม ที่มีข้อความบางตอนระบุว่า

“แม่นว่าขวัญเขิน ค้างไพรขวางขามลาด ก็ดีถ้อน เชิญไต่เต้าขวัญเข้าครอบคีง”

จากหลักฐานต่างๆ ข้างต้น จึงพอที่จะสรุปได้ว่า “คีง” หรือ “คิง” นั้นหมายถึง “ตัวตน” ในแง่ที่เป็นกายภาพ คือหมายถึง “ร่างกาย” โดยหากจะว่ากันตามอย่าง อ.ยุทธพงศ์แล้ว “คีง” ก็คือ “หิง” ดังนั้น คำศัพท์โบราณในภาษาตระกูลไทดังกล่าว ก็ย่อมหมายถึงร่างกายด้วยนั่นเอง

 

เรื่องมันก็เหมือนจะได้ข้อสรุปลงง่ายๆ เท่านี้นะครับ แต่หนึ่งในนักมานุษยวิทยาไทยตัวท็อปแห่งยุคสมัยอย่าง รศ.ดร.ยุกติ มุกดาวิจิตร แห่งคณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ได้กรุณาให้ข้อมูลเพิ่มเติมกับผมว่า ในภาษาไทดำ (คือกลุ่มชนชาวไต-ไท ที่อาศัยอยู่ในบริเวณลุ่มแม่น้ำดำ-แม่น้ำแดง ทางตอนเหนือของประเทศเวียดนาม และเชื่อมต่อไปจนถึงพื้นที่ในเขตประเทศจีนตอนใต้ บริเวณสิบสองจุไท) มีคำศัพท์ที่น่าจะใกล้เคียงกับคำว่า “คิง” ในภาษาถิ่นอีสาน และภาษาล้านนามากกว่า คือคำว่า “กิง” โดยเสียง ก. สูง ของไทดำ เท่ากับเสียง ค. ของสยาม

อ.ยุกติอธิบายต่อไปด้วยว่า

“คำว่า ‘กิง’ ในภาษาไทดำแปลว่า ‘ร่าง’ (body) ในเชิงกายภาพ ส่วนใหญ่ใช้คำว่า ‘โตกิง’ โดย ‘โต’ แปลว่า ‘ตัว’ โตกิง จึงน่าจะแปลว่า ‘เนื้อตัวร่างกาย’ สำหรับคำนี้ไทดำจึงไม่ค่อยจะใช้หมายถึง ‘ตัวตน’ ในเชิงนามธรรม”

คำอธิบายดังกล่าวของ อ.ยุกติยังความสว่างไสวทางปัญญามาให้กับผมเป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่ออาจารย์นั้นเป็นผู้ที่สนใจศึกษาเรื่องของ “ไทดำ” เป็นพิเศษ มาอย่างเนิ่นนานแล้วด้วยอีกต่างหาก

 

แน่นอนว่า อ.ยุกติเป็นผู้ที่รู้ภาษาของพวกไทดำเป็นอย่างดี ทั้งอ่านออก เขียนได้ และมีความสามารถในการสื่อสาร

แต่ที่สำคัญยิ่งไปกว่านั้นก็คือ ในภาษาของพวกไทดำนั้น ยังมีการใช้ศัพท์คำว่า “หิง” อยู่ด้วย โดยเป็นคำที่ทั้งออกเสียง และมีความหมายที่แตกต่างจากคำว่า “กิง” ที่แปลว่า “ร่าง” ในเชิงกายภาพ ซึ่งควรจะตกกับคำว่า “คีง” ในภาษาอีสาน และล้านนา อย่างชัดเจนเลยทีเดียว

ในผลงานวิจัยของ อ.ยุกติ เรื่อง “อ่าน ‘ส่งชู้สอนสาว’ วรรณกรรมของกลุ่มชาติพันธุ์ไตดำในเวียดนาม จากรักโรแมนติกสู่การต่อสู้เชิงชนชั้น” ซึ่งตีพิมพ์โดยศูนย์มานุษยวิทยาสิรินธร (องค์กรมหาชน) ตั้งแต่เมื่อเรือน พ.ศ.2561 นั้น ได้อธิบายถึงศัพท์คำว่า “หิง” ของพวกไทดำเอาไว้ว่า

“หิงคือเงาของขวัญ เมื่อกล่าวให้ครบทั้งระบบ ขวัญเป็นตัวตนไร้รูปของผู้คน มีหิงเป็นเงา ขวัญค่อนข้างเป็นเอกเทศจากร่างกาย หิงเองก็ค่อนข้างเป็นเอกเทศ แม้กับขวัญ หิงก็มีความเป็นเอกเทศ ตามปกติ หิงและขวัญจะยืนหรือนั่งบนแนน แล้วพิงหรืออิงอยู่กับมิ่ง นั่นคือความสัมพันธ์ระหว่างขวัญ หิง มิ่ง แนน”

อาจจะฟังดูเข้าใจยาก และเป็นนามธรรมมากอยู่สักหน่อยนะครับ เพราะว่าเป็นมโนทัศน์ที่ดูไม่ค่อยน่าจะคุ้นชินสำหรับคนไทยโดยทั่วไป แต่เราอาจจะเข้าใจถึงคำอธิบายข้างต้นของ อ.ยุกติได้มากขึ้นจากเรื่องราวที่อยู่ในวรรณกรรมเรื่อง “ส่งชู้สอนสาว” ของพวกไทดำ เล่มเดียวกันกับที่ อ.ยุกติได้ทำการศึกษาวิจัยเอาไว้ ดังความที่ว่า

“ฉันก็เดาว่าผีฟ้ามาหากินเหล้าควาย ผีตายายมาหากินหมูแต่งให้เจ้าเสื้อ เดาว่าผีเชื้อมาหากินเหล้าไก่คู่ มาดูแท้เป็น ‘หิง’ น้องสายแพงมาตามรอยม้า หิงชู้หล้ามาตามรอยควาย แก้วคอสายอยู่เรือนคอยท่าแท้หรือ”

ข้อความตอนดังกล่าวซึ่งผมคัดมาจาก “ส่งชู้สอนสาว” นั้น เล่าถึงตอนที่ฝ่ายชายไปทำการค้าปศุสัตว์ยังพื้นที่อันแสนห่างไกล แล้วเขาก็รู้สึกถึง “ผี” (ในที่นี้หมายถึงสภาวะที่เป็นนามธรรม) ของใครบางคน ที่ผูกพันกับเขา ตามเขาเข้าไปในป่าด้วย

แน่นอนว่า “ผี” ที่ว่านั้นก็คือ “หิง” ของผู้สาวซึ่ง “อยู่เรือนคอยท่า” ตามคำในวรรณกรรมเรื่องนี้นั่นแหละครับ

 

จากข้อความในส่งชู้สอนสาว ข้างต้น จะเห็นได้ว่า “หิง” นั้น เป็นสภาวะที่สามารถแสดงอัตลักษณ์ของเจ้าของหิงได้ ดังนั้น ฝ่ายชายจึงรู้สึกถึงความผูกพันกับหิงของฝ่ายหญิง ที่ติดตามเขาไปด้วย ใกล้เคียงกับ “ผี” อย่างที่ฝ่ายชายเข้าใจผิดไปว่า เป็น ผีฟ้า, ผีตายาย และผีเชื้อ นั่นเอง

แต่ “หิง” ก็ไม่ใช่ “ผี” เพราะฝ่ายหญิงในท้องเรื่องนั้นยัง “อยู่เรือนคอยท่า” ฝ่ายชาย คือยังมีชีวิตเป็นปกติสุขดีอยู่

และ “หิง” ก็ไม่ใช่ “ขวัญ” แน่ เพราะเมื่อหิงหายออกไปจากร่างของเจ้าของแล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องทำพิธีสู่ขวัญ หรือทำขวัญใดๆ อย่างกรณีที่เกิดการขวัญหาย จนร่างกายเกิดอาการผิดปกติจนเจ็บป่วยล้มตาย ตามระบบความเชื่อเรื่องขวัญ ของกลุ่มคนที่พูดภาษาตระกูลไต-ไท

ในกรณีนี้ “หิง” ดูจะตามฝ่ายชายมาไกลถิ่น ด้วยความรู้สึกห่วงหาอาทรของฝ่ายหญิง หรือบางทีก็หิง ก็อาจจะคือความรู้สึกดังกล่าวที่ก่อเป็นรูปขึ้นมาก็ได้

คำอธิบายของพวกไทดำที่ว่า “หิง” คือ “เงาของขวัญ” ก็น่าจะมีความหมายประมาณนี้กระมังครับ

และในท้ายที่สุดนี้ ผมคงต้องขอขอบคุณ อ.ยุกติ ที่ช่วยแก้ไขความเข้าใจผิดในครั้งนี้ และเติมเต็มความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบความเชื่อเรื่องขวัญ ของชาวไต-ไท เป็นอย่างสูงครับ •

 

On History | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ