ผู้เขียน | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์ |
---|---|
เผยแพร่ |
หริธร อัครพัฒน์
ศิลปินผู้สร้างบทสนทนาข้ามกาลเวลา ผ่านงานประติมากรรม
ในเทศกาลศิลปะ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024
ในตอนนี้เราขอนำเสนอเรื่องราวของศิลปินอีกคนที่ร่วมแสดงงานในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024
ศิลปินผู้นี้มีชื่อว่า หริธร อัครพัฒน์ ศิลปินอิสระ ผู้อาศัยและทำงานอยู่ในจังหวัดเชียงใหม่
เขาเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวางในฐานะผู้เชี่ยวชาญในสื่อศิลปะหลากแขนง โดยเฉพาะอย่างยิ่งงานประติมากรรมสัมฤทธิ์ รวมถึงงานวาดเส้น และจิตรกรรม
เขาใช้วัสดุและรูปทรงในการสร้างสรรค์ผลงานอันเต็มไปด้วยความอิสระอย่างไร้ขอบเขต
แนวทางของเขาเป็นการผสมผสานระหว่างศิลปะนามธรรม (Abstract art) และศิลปะรูปลักษณ์ (Figurative art) ที่ได้แรงบันดาลใจจากสัญชาตญาณส่วนตัว และความเชื่อที่หยั่งรากลึกในพุทธศาสนา
หลอมรวมเป็นผลงานศิลปะอันเต็มไปด้วยความเรียบง่าย จริงใจ หากแต่เต็มไปด้วยอารมณ์ขันอันคมคาย และจับใจผู้ชมได้อย่างง่ายดาย โดยไม่จำเป็นต้องอาศัยเหตุผลและความเข้าใจให้ยากเย็น



ในเทศกาลศิลปะ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ ครั้งนี้ หริธรนำเสนอผลงานสองชุดในสองสถานที่แสดงงาน
สถานที่แรกคือ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร หรือที่เรียกกันสั้นๆ ว่า วัดอรุณ กับผลงานชื่อ The Horde (2024) ประติมากรรมไฟเบอร์กลาสจำนวน 12 ชิ้น จัดวางเป็นกลุ่มก้อนของสิ่งมีชีวิตรูปทรงคล้ายมนุษย์ แต่มีจมูกยาวยืดคล้ายกับตัวละคร พิน็อกคิโอ ในนิยาย ยืนจับกลุ่มคล้ายกับกำลังถกเถียงวิวาทะกันอยู่
ผลงานชุดนี้ของเขาเป็นงานประติมากรรมจัดวางเฉพาะพื้นที่ที่สร้างขึ้นเพื่อจัดแสดงในสวนของวัดอรุณโดยเฉพาะ โดยหริธรกล่าวถึงความผูกพันระหว่างเขากับพื้นที่แห่งนี้ว่า
“วัดอรุณเป็นพื้นที่ทางประวัติศาสตร์ไม่ว่าจะเป็นเหตุการณ์ทางการเมือง เหตุการณ์ทางศาสนา เหตุการณ์บ้านเมืองในทุกบริบท ที่นี่เป็นพื้นที่ที่กลายเป็นสัญลักษณ์ทางสังคมในทุกยุคทุกสมัย แล้วอีกอย่างคือ ตอนเด็กๆ ผมชอบนั่งเรือด่วนไปนั่งเล่นที่วัดอรุณเป็นประจำ ทำให้รู้สึกว่าวัดอรุณเป็นพื้นที่หนึ่งที่เราคุ้นเคยและประทับใจเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว”
“พออาจารย์อภินันท์ (โปษยานนท์) เชิญผมมาร่วมแสดงในเทศกาลศิลปะ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ แล้วถามผมว่า อยากแสดงงานที่ไหน? ในใจผมก็คิดว่าอยากแสดงที่วัดอรุณ แต่ไม่กล้าพูด พอผมถามอาจารย์ว่ามีที่ไหนให้แสดงบ้าง อาจารย์ก็บอกว่า วัดอรุณ ผมก็ตกลงทันที”
“ผมคิดว่าเหมือนเป็นพรหมลิขิตเหมือนกัน”




ถึงแม้ว่าผลงานชุดนี้ของหริธรจะมีลักษณะคล้ายกับรูปทรงของมนุษย์ แต่ในขณะเดียวกันก็มีความอิสระเสรี ไร้รูปทรงที่ชัดเจน ตายตัว ดูๆ ไปก็คล้ายกับผลงานศิลปะยุคก่อนประวัติศาสตร์ของมนุษย์ดึกดำบรรพ์ ที่เต็มไปด้วยความบริสุทธิ์ ตรงไปตรงมา ไร้จริต ไร้มายา
“ในฐานะประติมากร ผมอยากทำในสิ่งที่ง่ายที่สุด จริงใจที่สุด ที่มนุษย์ทำมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ หรือแม้แต่มนุษย์ในยุคปัจจุบัน เมื่อเขาเกิดขึ้นมาเป็นเด็กเล็กๆ พอเขาหยิบดินขึ้นมาปั้น รูปทรงแรกที่เขามักจะปั้นก็คือรูปทรงกลมๆ ยาวๆ เหมือนเป็นปฐมประติมากรรม ในครั้งแรกที่คุณสัมผัสกับการปั้นดิน ต่อมารูปปั้นเหล่านี้ก็ถูกพัฒนาเป็นรูปเคารพต่างๆ ในลัทธิ ศาสนา ในบริบททางสังคม การเมือง ผ่านการปรุงแต่งต่างๆ มากมาย แต่สุดท้าย พื้นฐานของรูปทรงจริงๆ ก็คือรูปทรงที่ง่ายที่สุดแบบนี้”
“และด้วยความที่วัดอรุณเป็นวัดในพุทธศาสนา ผมเองก็พอศึกษาพุทธศาสนามาบ้างนิดหน่อย เคยบวชอยู่หนึ่งพรรษา เรียนจบนักธรรมชั้นตรี เคยได้อ่านนวโกวาท เคยศึกษาบทสวดยอดพระกัณฑ์ไตรปิฎก ซึ่งพูดถึงภพภูมิทั้ง 3 คือ โลกมนุษย์ นรก สวรรค์ ไปจนถึงพระนิพพาน ผมจึงเปรียบเทียบประติมากรรมเหล่านี้เป็นเหมือนภพภูมิที่เราเคยอยู่ทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต อยู่ที่การกระทำของเราจะเป็นตัวเลือกว่าเราจะไปอยู่ในภพภูมิไหน”
“ผมใช้สัญลักษณ์ตัวเลขง่ายๆ ในวงโคจรของโลกที่โคจรรอบดวงอาทิตย์ในหนึ่งปี แบ่งออกเป็น 12 เดือน ผมจึงทำผลงานขึ้นมา 12 ชิ้น เหมือน 12 นักษัตร ซึ่งเป็นภูมิปัญญาที่มีมาแต่โบราณ”



ในขณะเดียวกัน ดูๆ ไปรูปทรงของงานประติมากรรมเหล่านี้ก็ทำให้เราอดนึกไปถึงรูปเคารพในยุคโบราณในศาสนาฮินดูอย่างศิวลึงค์ อยู่ไม่หยอกเหมือนกัน
“โดยพื้นฐานของการทำงานประติมากรรมม รูปทรงแบบนี้เป็นรูปทรงพื้นฐานที่ดึงดูดสายตามนุษย์ และมีความศักดิ์สิทธิ์ในตัว ที่เป็นเช่นนี้เพราะในยุคโบราณนั้นคนเกิดยากและตายง่าย การให้กำเนิดคนขึ้นมาเพื่อเป็นกำลังในการผลิตให้ชุมชน สังคม จึงเป็นสิ่งสำคัญ”
“ดังนั้น รูปทรงของอวัยวะสืบพันธุ์จึงกลายเป็นเครื่องหมายของความศักดิ์สิทธิ์ ไม่ต่างอะไรกับรูปทรงของรูปปั้นรูปเคารพในยุคดึกดำบรรพ์ หรือรูปทรงสถาปัตยกรรมในยุคอียิปต์โบราณและกรีกโรมันโบราณ ที่เป็นรูปทรงของแท่งและเสา หรือในทางศาสนาพราหมณ์ก็เป็นรูปทรงของศิวลึงค์ พอเวลาผ่านมาถึงยุคขอม ก็ค่อยๆ ถูกปรุงแต่งพัฒนามาเป็นรูปทรงของพระปรางค์ พอสังคมเจริญขึ้น มีความซับซ้อนขึ้น นวัตกรรมถูกพัฒนา ภาษาถูกวิวัฒนาการขึ้น มีศีลธรรม กฎ กติกา ข้อห้ามมากขึ้น เรื่องราวแบบนี้จึงกลายเป็นสิ่งที่ต้องห้าม ไม่ถูกพูดถึง”

“ที่ผมทำงานในรูปทรงแบบนี้ก็เพราะผมเห็นว่า ที่ผ่านมาทุกอย่างนั้นยากไปหมด ผมจึงอยากเอาความง่ายมาเล่าเรื่องราวยากๆ เพื่อให้เกิดความเข้าใจง่าย เพราะทุกอย่างที่ผมทำนั้นอิงกับพุทธศาสนาแทบทั้งหมด”
“ยกตัวอย่างเช่น ‘รู’ บนงานประติมากรรมชุดนี้ โดยปกติ รูนั้นเป็นพื้นฐานทางประติมากรรมของมนุษย์ รูนั้นแสดงออกถึงการเข้าไปและออกมา รูเหล่านี้เป็นตัวดึงดูดและน้อมนำให้ผู้ชมเข้าไปหาความจริง”
“ผมใช้จำนวนของรูเหล่านี้แทนสัญลักษณ์ของหลักธรรมทางศาสนา อย่างเช่น รู 4 รู แทนอริยสัจ 4, รู 6 รู แทนอายตนะ 6, รู 3 รู แทนไตรลักษณ์ หรือลักษณะธรรมชาติ 3 ประการ, รู 8 รู แทนอริยมรรค 8, รู 16 รู แทนรูปาวจรภูมิ หรือรูปพรหม 16”
“ผมต้องการสร้างงานชุดนี้ขึ้นมาเพื่อให้คนได้เข้ามาสัมผัสกับงาน โดยที่ไม่ต้องการคำอธิบาย แต่อยากให้สัมผัสและรู้สึกกับงาน เมื่อสัมผัสแล้วก็จะเกิดการตั้งคำถามและตอบคำถามด้วยตัวเอง ตามความรู้สึกนึกคิดและประสบการณ์ที่แต่ละคนมีอยู่ในตัวเอง”


นอกจากรูปทรงกึ่งนามธรรมที่ได้แรงบันดาลใจจากศิลปะดึกดำบรรพ์แล้ว ผลงานประติมากรรมของหริธรชุดนี้ยังมีลักษณะของรยางค์ที่คล้ายกับจมูก งวง หรืองา อันเรียบลื่น ตั้งตรง คล้ายกับวัตถุที่ผลิตจากระบบอุตสาหกรรม ต่างกับลำตัวประติมากรรมที่มีพื้นผิวขรุขระ ตะปุ่มตะป่ำ หลงเหลือร่องรอยของการปั้นขึ้นรูปด้วยนิ้วสองมือมนุษย์เอาไว้
“แท่งยาวๆ เหล่านี้เป็นสิ่งที่แสดงถึงความเป็นปัจจุบัน ความเป็นอุตสาหกรรม ซึ่งในอดีตไม่มีใครทำรูปทรงพวกนี้ออกมา แท่งเหล่านี้แสดงบริบทและความเป็นจริงของสังคมปัจจุบัน ที่เกิดขึ้นในช่วงเวลานี้ ด้วยการแทนสัญลักษณ์ของกลุ่มคนที่รวมตัวกันอยู่เป็นกลุ่มเป็นก้อน ภายในพื้นที่เดียวกัน ถึงแม้จะยืนอยู่ด้วยกัน แต่ก็มีความขัดแย้งกัน ต่างคนต่างถกเถียงกัน ต่างคนต่างคิดว่าตัวเองเป็นฝ่ายถูกและดี แต่ในความเป็นจริง ไม่มีใครดีหรือเลวไปหมดทุกอย่าง ไม่มีใครถูกและผิดตลอดเวลา กลุ่มก้อนเหล่านี้จึงเป็นตัวแทนของความทุกข์ เพราะการเกิดคือทุกข์ ถ้าไม่อยากมีทุกข์เราต้องไม่เกิดขึ้นมา”




“เหตุผลที่ประติมากรรมชุดนี้เคลือบสีขาวเหลือบมุก ก็เพื่อให้สะท้อนแสงในบรรยากาศที่เปลี่ยนแปลงไปในแต่ละช่วงเวลาของวัน อีกเหตุผลก็คือผมต้องการสะท้อนถึงความเป็นจริงว่า บางสิ่งที่มองไม่เห็น ไม่ได้แปลว่าไม่มีอยู่จริง เพราะสิ่งเหล่านี้เป็นผลจากพฤติกรรมหรือการกระทำของเราอย่าง กุศลกรรม อกุศลกรรม บาป บุญ”
“ดูเผินๆ ผลงานชุดนี้อาจจะดูแปลกประหลาด ทะเล้น ชวนหัว แต่อันที่จริงผมพูดถึงธรรมะ และความทุกข์ที่เราอยู่ร่วมกับมัน และควรจะทำความเข้าใจมัน เพื่อหาทางหลุดพ้นออกจากมันให้ได้ในวันหนึ่ง หรือภพชาติใดภพชาติหนึ่งนั่นเอง”

นอกจากผลงานชุด The Horde ที่จัดแสดงในวัดอรุณแล้ว หริธรยังมีผลงานอีกชุดอย่าง Lapse of Memory (2009) ในพระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร อีกด้วย
ประติมากรรมสัมฤทธิ์ กึ่งนามธรรม รูปทรงคล้ายศีรษะของมนุษย์ไร้ใบหน้า มีเพียงพื้นผิวขรุขระ หยาดย้อย รูจิ้ม รอยนิ้วมือ และรอยขูดขีด แทนองคาพยพบนใบหน้า โดยจัดแสดงเคียงคู่ไปกับศิลปวัตถุและโบราณวัตถุในคลังสะสมของพิพิธภัณฑ์
ผลงานประติมากรรมชุดนี้นอกจากจะสร้างความเชื่อมโยงและสร้างบทสนทนากับวัตถุศักดิ์สิทธิ์ในยุคโบราณอย่างศิวลึงค์ และฐานโยนี ในพิพิธภัณฑ์แล้ว ยังเชื่อมโยงและสร้างบทสนทนากับเส้นทางในประวัติศาสตร์ในยุคอาณานิคมของรูปเคารพทางศาสนา
อย่างเช่น เส้นทางของพระพุทธรูปในวัดวาอารามต่างๆ ที่ถูกโจรกรรมปล้นชิงตัดเศียรไปขายเป็นของประดับตกแต่งในบ้านเศรษฐีมีทรัพย์ในโลกตะวันตก ก่อนที่จะถูกประมูลเป็นของโบราณวัตถุมูลค่ามหาศาล
ท้ายที่สุดก็ถูกนำไปบริจาคไปจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เพื่อเกียรติยศและอำนาจของเจ้าของ ถึงแม้รูปเคารพเหล่านี้จะถูกทวงกลับคืนสู่ประเทศเราในยุคปลดปล่อยอาณานิคม แต่ก็หาได้ถูกคืนกลับไปยังสถานที่ดั้งเดิมที่ถูกปล้นชิงมาแต่อย่างใด
สิ่งที่น่าสนใจอย่างยิ่งก็คือ ผลงานศิลปะร่วมสมัยของหริธร (และศิลปินคนอื่นๆ) ที่ถูกนำมาจัดแสดงและสร้างบทสนทนากับโบราณวัตถุใน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร แห่งนี้ นั้นไม่ต่างอะไรกับการเติมลมหายใจอันสดชื่น และพลิกฟื้นคืนให้พิพิธภัณฑ์หวนกลับมามีชีวิตชีวาอีกครั้งหนึ่ง


ผลงาน The Horde ของ หริธร อัครพัฒน์ จัดแสดงในเทศกาลศิลปะร่วมสมัยนานาชาติ บางกอก อาร์ต เบียนนาเล่ 2024 ณ วัดอรุณราชวรารามราชวรมหาวิหาร เปิดทำการทุกวัน เวลา 08:00-17:30 น. (เข้าชมฟรี) ตั้งแต่วันนี้-25 กุมภาพันธ์ 2568
ส่วนผลงาน Lapse of Memory จัดแสดง ณ พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร ตั้งแต่วันนี้-5 กุมภาพันธ์ 2568 เปิดทำการวันพุธ-วันอาทิตย์ เวลา 09.00-16.00 น. (ยกเว้นเทศกาลปีใหม่และสงกรานต์)
ค่าเข้าชม คนไทย 30 บาท ชาวต่างประเทศ 200 บาท เด็ก, นักเรียน, นักศึกษา, ผู้สูงอายุ 60 ปีขึ้นไป และพระสงฆ์ เข้าชมฟรี ตรวจสอบรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ https://www.bkkartbiennale.com/
ขอบคุณภาพจาก Myrtille Tibayrenc, BAB 2024 •
อะไร(แม่ง)ก็เป็นศิลปะ | ภาณุ บุญพิพัฒนาพงศ์
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022