โสเภณีไทย-โสเภณีจีน (3)

ญาดา อารัมภีร
ภาพจิตรกรรมฝาผนัง วัดตะคุ อำเภอปักธงชัย จังหวัดนครราชสีมา แสดงให้เห็นชายหญิงต่างชาติขณะเข้าบทรักอยู่ในตัวอาคาร โดยมีสาวชาวบ้านเดินผ่านอยู่ด้านนอก

โสเภณีในเมืองไทยสมัยเมื่อ 100 กว่าปีมาแล้วมีอยู่หลายแห่งในย่านชุมชน

นอกจาก ‘สำเพ็ง’ ยังมี ‘ตรอกสาเก’ ถ้าลงจากสะพานผ่านพิภพลีลาต้นถนนราชดำเนินกลาง ทางขวามือมีตรอกที่ว่านี้เดินทะลุออกข้างวัดบุรณศิริได้

‘กาญจนาคพันธุ์’ บันทึกไว้ในเรื่อง “กรุงเทพฯ เมื่อวานนี้” (หนังสือชุด ๑๐๐ ปี ขุนวิจิตรมาตรา สำนักพิมพ์สารคดี พ.ศ.2545) ว่า

“บริเวณตรอกสาเกนี้เป็นที่อยู่ของพวกหญิงโสเภณี คือเป็นซ่องโสเภณีใหญ่ซ่องหนึ่งมาตั้งแต่ก่อนถนนราชดำเนินสร้างอาคารอย่างปัจจุบันนี้ ครั้งนั้นถนนราชดำเนินยังมีซ่องโสเภณีอื่นๆ อีก จะเป็นด้วยถูกไล่ที่หรือเหตุผลกลใดไม่ทราบ พวกโสเภณีที่ตรอกสาเกได้ย้ายมาอยู่ที่ปลายถนนแพร่งสรรพสาตร์ที่ออกถนนอัษฎางค์ และมีจำนวนมากขึ้นทุกที จนบ้านช่องทางซ้าย (ที่หลวงบริบาลบุรีภัณฑ์เคยอยู่มาก่อน) กับทางขวามือที่เป็นห้องแถวไม้ กลายเป็นที่อยู่ของพวกโสเภณีแทบทั้งหมด

ชั้นดีหน่อยก็อยู่บ้านเช่าเป็นหลังๆ ชั้นรองลงมาก็อยู่ห้องแถว ความจริงพวกนี้อยู่เลยครึ่งของถนนแพร่งสรรพสาตร์ออกไปจดถนนอัษฎางค์ ส่วนทางครึ่งถนนแพร่งสรรพสาตร์ออกมาทางถนนตะนาวศรีซึ่งข้าพเจ้าอยู่คงเป็นบ้านใหญ่ดีๆ ตามที่ข้าพเจ้าเล่ามาแล้ว ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางซ่องโสเภณีเลย แต่นักเที่ยวที่เคยกับหญิงพวกนี้หรือจะไปเที่ยวหาความสำราญกับหญิงพวกนี้ ก็เรียกง่ายๆ ว่า ‘ไปแพร่งสรรพสาตร์’ เป็นที่รู้กัน”

“ชื่อ ‘แพร่งสรรพสาตร์’ เลยกลายเป็นนามโด่งดังแพร่หลายจนคนทั้งเมืองรู้จักหมด”

 

ความที่ ‘แพร่งสรรพสาตร์’ มีชื่อกระฉ่อนเรื่องโสเภณี ก็เลยเกิดเหตุไม่คาดคิดกับกาญจนาคพันธุ์

“ตอนหัวค่ำวันหนึ่ง ข้าพเจ้าอยู่บ้านคนเดียว ประตูบ้านเปิดแง้มๆ อยู่ มีชายสามคนอายุราวกลางคน แต่งตัวดี เปิดประตูเดินเข้ามา ก้าวขึ้นบันไดหินขัดสามขั้น ขึ้นระเบียงแล้วเดินเข้าห้องกลาง พื้นทั้งหมดนี้ทาชะแล็กเป็นเงา แต่เขาไม่ได้ถอดเกือกเลย เดินโครมๆ เข้าไป คนหนึ่งลงนอนบนเก้าอี้โซฟา อีกสองคนลงนั่งที่เก้าอี้หมู่กลางห้อง เสร็จแล้วคนที่ลงนอนร้องถามข้าพเจ้าว่า ‘ไปไหนกันหมด’ ข้าพเจ้าถามว่าใคร เขาบอกว่า ‘ผู้หญิง’

ดีที่กาญจนาคพันธุ์มีสติ ชี้แจงอย่างสุภาพ ไม่ใช้อารมณ์กับคนที่เห็นบ้านท่านเป็นซ่อง ทำให้การบุกรุกครั้งนี้จบลงด้วยดี

“ข้าพเจ้าพอจะเข้าใจได้ จึงบอกกับเขาโดยดีว่า ‘ที่นี่ไม่ใช่หรอกครับ ถ้าจะหาผู้หญิงต้องไปตามบ้านสุดถนนโน้น’ รู้สึกว่าทั้งสามคนที่หัวร่อต่อกระซิกกันนั้นนิ่งอึ้ง แล้วเขาก็ขอโทษและออกจากบ้านไป”

กาญจนาคพันธุ์ทิ้งท้ายอย่างมีอารมณ์ขันว่า

“นี้แสดงว่าเขาคงคิดว่าบ้านข้าพเจ้าเป็นกุหลาบเหลือง หรือยี่สุ่นเหลืองสมัยโน้น และข้าพเจ้าเป็นแมงดาคุมซ่อง”

นอกจากนี้ คนที่บุกเข้ามาด้วยอารมณ์ใคร่เต็มพิกัด แต่ถูกซัดกลับจนอารมณ์หายหดหมดอยากก็มี เนื่องจากทำรุ่มร่ามกับภรรยาของกาญจนาคพันธุ์เข้า

“ภรรยาข้าพเจ้าก็เคยเล่าว่า คืนหนึ่งยืนอยู่ที่พื้นซีเมนต์หน้าบันไดหินขัด มีชายคนหนึ่งตรงเข้ามาคว้าข้อมือจูงให้ขึ้นเรือน โดยคิดว่าเป็นตัวสำหรับขึ้นห้องหรือแม่เล้า แต่ภรรยาข้าพเจ้าสะบัดหลุดและคว้าที่ไม้บังเอิญพิงอยู่ข้างประตูฟาดลงไปถูกแขน ชายคนนั้นกับอีกสองคนยืนรอจะเข้าประตูเลยหนีไป”

 

แพร่งนี้ชื่อฉาวขึ้นมาอีกเพราะทหารอเมริกัน

“เมื่อมหาสงครามโลกครั้งที่ ๒ ตอนทหารอเมริกันเข้ามาเมืองไทย ได้เอาแผ่นวงกลมใหญ่มาตั้งไว้ที่หัวถนนแพร่งสรรพสาตร์ที่จะออกถนนตะนาว ข้อความว่าอะไรข้าพเจ้าก็ลืม รู้แต่ว่าเป็นเครื่องหมายบอกว่าที่แพร่งสรรพสาตร์เป็นซ่องโสเภณี ไม่ให้ทหารอเมริกันเข้า นี่แหละคือ ‘แพร่งสรรพสาตร์’ ที่ข้าพเจ้าเคยอยู่และลือชื่อนัก”

เมืองไทยสมัยนั้นมีทั้ง ‘โสเภณีมีสังกัด’ และ ‘โสเภณีเถื่อน’ ประเภทหลังเกี่ยวพันกับแหล่งอบายมุขโดยตรง เพราะทำเลดี หาลูกค้าง่าย และรายได้น่าพอใจ ดังที่กาญจนาคพันธุ์ให้รายละเอียดว่า

“พวกนี้ไปอยู่ทางโรงบ่อนสะพานเหล็กเสียมาก เพราะหากินกับพวกเข้าโรงบ่อนคล่องดีกว่า หญิงนครโสเภณีนี้มีชื่อเรียกต่างๆ เช่น หญิงสัญจรโรค หญิงหาเงิน หญิงพันธุ์นั้น กะหรี่ อีปิ้ด ฯลฯ คำพวกนี้เรียกกันเป็นยุคๆ โสเภณีแถวโรงหวยและโรงบ่อนสะพานเหล็กนี้ส่วนมากหรือแทบทั้งหมดเป็นพวกที่เรียกกันว่า ‘เถื่อน’ คือ ไม่ตีตั๋วอยู่ประจำโคมเขียว ถึงเวลาค่ำก็เที่ยวเร่ร่อนอยู่แถวโรงบ่อน สะพานเหล็ก โรงหนังญี่ปุ่น และโรงหวย ที่ชอบยืนพิงราวสะพานเหล็กก็มีหลายคนเสมอ เวลามีคนไทยเดินข้ามสะพาน นางก็ทักทายปราศรัย ปะเหมาะชอบมาพากลก็พาไปที่ห้องพักแถวนั้น ราคาตามปกติก็บาทเดียว และอาจสูงขึ้นไปถึงหกสลึงได้ แต่ราคานี้ตอนหัวค่ำ”

อย่างไรก็ดี ราคาค่าตัวขึ้นลงได้ตามสถานการณ์ ช่วงคนเยอะ ราคาสูงหน่อย ตั้งแต่หนึ่งบาทถึงหกสลึง (หนึ่งบาทห้าสิบสตางค์) ช่วงคนน้อย ไม่เลือกลูกค้า ราคาก็ลดฮวบ

“พอดึกเข้าหน่อย โรงหนังเลิก โรงบ่อนเลิก คนไทยก็ค่อยๆ ซาไป เลยเกิดมีสักวาขึ้นว่า ‘สักวาเดือนหงายขายห่อหมก พอเดือนตกเจ๊กต่อน่อจี๊’ เป็นอันว่าเจ๊กแป๊ะอะไรก็ช่าง ได้น่อจี๊ดีกว่าไม่ได้อะไรเลย (น่อจี๊เท่ากับสองสลึง)”

 

โสเภณีในอดีตมีทั้งคนจีนคนไทย น่าสังเกตว่าที่ใดเป็นเมืองท่ามีเรือสินค้ามากมาย ผู้คนหลากหลายเชื้อชาติ มักไม่ขาดกิจการค้าประเวณี ดังจะเห็นได้จากกรุงศรีอยุธยา ท้ายตลาดบ้านจีนปากคลองขุนละครไชย มีโสเภณีถึง 4 โรง ‘รับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ’ (คำให้การขุนหลวงวัดประดู่ทรงธรรม เอกสารจากหอหลวง)

เมืองกวางตุ้ง และเกาะฮ่องกง (เฮียงกั๋ง) ของประเทศจีนก็เช่นเดียวกับกรุงศรีอยุธยาของไทย ความที่เป็นเมืองท่าสากล โสเภณีจีนก็ทำมาหากินต้อนรับลูกค้าทุกชาติทุกภาษา

กวางตุ้ง เมืองท่าทางใต้ของจีนเมื่อ พ.ศ.2324 ตอนที่พระยามหานุภาพเป็นหนึ่งในคณะทูตไทยของสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช เดินทางไปเจริญทางพระราชไมตรีกับพระเจ้ากรุงจีน ณ กรุงปักกิ่ง ตรงกับจีนแผ่นดินเขี้ยนหลง

พระยามหานุภาพได้แต่ง “นิราศกวางตุ้ง” หรือ “นิราศพระยามหานุภาพไปเมืองจีน” เป็นกลอนนิราศบันทึกสิ่งที่พบเห็นโดยละเอียด

รวมทั้งเรื่องคนจีนลอยเรือออกมาหาเรือสำเภาของขุนนางไทย แม้พูดจากันไม่รู้เรื่องแต่มีรอยยิ้มเป็นใบเบิกทาง ไม่ว่าจะเป็นพ่อค้าแม่ค้า ‘ขายอาหารสด’ หรือ ‘ขายเนื้อสด’ ก็ตาม

“บ้างลงเรือน้อยน้อยมาพลอยทัก ยิ้มพยักด้วยไม่รู้ภาษา

บ้างลอยล้อมตอมรอบทั้งเภตรา เอาผักปลามาจำหน่ายขายไทย”

เหตุใดโสเภณีกวางตุ้งจึงขายบริการบนเรือโดยเฉพาะ ติดตามฉบับหน้า •