15 ปม ท้าทายโลกปี 2568 (2)

ทวีศักดิ์ บุตรตัน

ตอนที่1

เว็บไซต์ “เอิร์ธ” (earth.Org) รวบรวมปัญหาท้าทายของโลกไว้ 15 ปมใหญ่ๆ คอลัมน์สิ่งแวดล้อมนำมาเรียบเรียงและเสนอ 5 ปมเป็นตอนแรกเมื่อฉบับที่แล้ว คราวนี้ขอเสนอต่อเนื่องปมที่ 6 ว่าด้วยการทำลายผืนป่าโลก

“เอิร์ธ” บอกว่า ทุกๆ ชั่วโมง ป่าทั่วโลกถูกโค่นทำลายเป็นผืนกว้างขนาดสนามฟุตบอลรวมๆ กันไม่น้อยกว่า 300 สนาม หรือคิดเป็นพื้นที่ 1,200 ไร่ต่อชั่วโมง ถ้าผู้คนยังโค่นต้นไม้ทำลายป่าในอัตราอย่างนี้อีก โลกใบนี้จะเหลือผืนป่าแค่ 10 เปอร์เซ็นต์

และใน 100 ปีข้างหน้า ลูกหลานของเราที่ยังมีชีวิตอยู่อาจจะไม่เห็นป่าไม้อีกต่อไป

ประเทศที่โค่นป่ามากที่สุดในโลกมีอยู่ 3 แห่ง ได้แก่ บราซิล, สาธารณรัฐประชาธิปไตยคองโก และอินโดนีเซียเพื่อนบ้านอาเซียน

ผืนป่าแอมะซอนขนาดกว้างใหญ่ที่สุดในโลกครอบคลุมพื้นที่เกือบ 7 ล้านตารางกิโลเมตร หรือ 40 เปอร์เซ็นต์ของทวีปอเมริกาใต้ ผืนป่าแห่งนี้มีความหลากหลายทางชีวภาพมากที่สุด เป็นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าพืชพันธุ์กว่า 3 ล้านชนิด

แม้หลายๆ ฝ่ายพยายามปกป้องผืนป่า แต่รัฐท้องถิ่นยังอนุญาตให้ตัดไม้ด้วยข้ออ้างเพื่อทำไร่เกษตรหรือชุมชนเมือง ผืนป่าแอมะซอนจึงถูกโค่นทำลายเฉลี่ยปีละ 9 ล้านไร่

ถ้าเอาพื้นที่ป่าแอมะซอนที่ถูกโค่นทำลายในแต่ละปีมาเทียบกับผืนป่าเขาใหญ่ของบ้านเรา เท่ากับเขาใหญ่มรดกโลกโดนทำลายย่อยยับซ้ำกันถึง 6 ครั้ง

ชาวบราซิล คองโกและอินโดนีเซีย รวมถึงชาวเมืองอื่นๆ ทั่วโลกตั้งใจโค่นป่าเพื่อเอาไปทำไร่ปาล์ม ไร่อ้อย ไร่ปศุสัตว์ บางคนมุ่งเป้าทำรีสอร์ต

นี่คือปมปัญหาใหญ่ท้าทายโลก เพราะไม่เพียงจะสูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ แต่ยังเกิดภาวะโลกเดือด เนื่องจากต้นไม้ที่ถูกโค่นไปนั้นล้วนเป็นต้นไม้ขนาดใหญ่มีรากลึกแข็งแรงยึดดินเอาไว้ไม่ให้ดินเสื่อมหรือชะลอไม่ให้ดินถล่มเมื่อน้ำฝนชะ ที่สำคัญช่วยดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์และคายออกซิเจนออกมาในกลางวัน

นักวิจัยขององค์การนาซา พบว่า การโค่นป่าเท่ากับเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศมากขึ้นเกือบ 10 เปอร์เซ็นต์

การโค่นป่าบนเกาะบอร์เนียว ประเทศอินโดนีเซียเพื่อปลูกต้นปาล์ม ทำให้อินโดนีเซียติดอันดับกลุ่มประเทศปล่อยก๊าซพิษมากที่สุดในโลก

 

ปมที่ 7 “มลพิษในอากาศ” เป็นปมปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ทั่วโลกกำลังเผชิญ ข้อมูลจากองค์การอนามัยโลกบอกว่าทุกปีมีผู้เสียชีวิตเพราะสูดอากาศพิษเกือบ 7 ล้านคน

ประเทศในเอเชียใต้ เผชิญกับปัญหามลพิษในอากาศมากที่สุดในโลก อายุเฉลี่ยของคนแถบนี้หดหายไป 5 ปี คือตายเร็วขึ้นกว่าปกติ

รัฐบาลในประเทศแถบเอเชียและแอฟริกา ไม่มีนโยบายแก้ปัญหามลพิษที่ชัดเจนเพียงพอและปกปิดข้อมูลคุณภาพอากาศ

สำนักงานสิ่งแวดล้อมของสหภาพยุโรปรายงานว่า ชาวยุโรปเสียชีวิตด้วยโรคที่เกี่ยวพันกับสูดดมสารพิษในปี 2564 ราว 5 แสนคน

องค์การอนามัยโลกยืนยัน ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 มีอานุภาพร้ายแรงต่อสุขภาพของผู้คน เมื่อปี 2564 ปรับค่ามาตรฐานฝุ่นพีเอ็ม 2.5 เป็นครั้งแรกในรอบ 15 ปี กำหนดว่าค่ามาตรฐานใน 24 ชั่วโมงฝุ่นพีเอ็ม 2.5 จะอยู่ที่ 15 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) และรายปี ค่ามาตรฐานอยู่ที่ 5 ไมโครกรัม/ลบ.ม.

เมื่อปี 2548 ค่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก กำหนดให้ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ในรอบ 24 ช.ม.อยู่ที่ 25 ไมโครกรัม/ลบ.ม. ส่วนรายปีอยู่ที่ 10 ไมโครกรัม/ลบ.ม.

แม้ค่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลกไม่ใช่เป็นกฎหมายบังคับให้ประเทศต่างๆ จะต้องทำตาม แต่องค์การอนามัยโลกชี้ให้เห็นว่า อันตรายของฝุ่นพีเอ็ม 2.5 รุนแรงมากขึ้น ประเทศต่างๆ ควรจะมีมาตรการป้องกันอันตรายได้มากกว่านี้เพื่อลดอัตราการเสียชีวิต

ถ้าประเทศไหนใช้ค่ามาตรฐานฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ตามที่องค์การอนามัยโลกกำหนดใหม่ จะช่วยลดอัตราการเสียชีวิตจากเหตุที่เชื่อมโยงกับฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ได้มากถึง 80%

ส่วนค่ามาตรฐานฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ในบ้านเรา เพิ่งปรับใหม่เมื่อเดือนมิถุนายนปี 2566 กำหนดค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง อยู่ที่ 37.5 ไมโครกรัม/ลบ.ม. จากเดิม 50 ไมโครกรัม/ลบ.ม. กระนั้นยังสูงกว่าค่ามาตรฐานขององค์อนามัยโลกอยู่มาก

ในโลกใบนี้มีผืนดินเพียง 0.18% ที่ค่าฝุ่นน้อยมากจนแทบไม่มีเลยและมีประชากรในโลก 0.001% เท่านั้นที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ที่มีค่าฝุ่นน้อยกว่า 5 ไมโครกรัม/ลบ.ม.

ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 มาจากการเผาไหม้ของเครื่องยนต์ การใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า การก่อสร้าง

การผลักดันนโยบายของรัฐเพื่อทำให้อากาศสะอาดเป็นประเด็นสำคัญถ้าอากาศสะอาดทุกวันปัญหามลพิษในอากาศก็หมดไป

วิธีที่จะทำให้อากาศสะอาดมีหลากหลาย เช่น ลดการใช้รถยนต์ เพิ่มบริการขนส่งสาธารณะที่มีประสิทธิภาพ สนับสนุนใช้รถจักรยานแทนการใช้รถยนต์ ใช้คาร์พูลร่วมรถคันเดียวกับเพื่อนบ้าน คนทำงานที่เดียวกันใกล้กัน ควบคุมการใช้เชื้อเพลิงฟอสซิลในโรงงานอุตสาหกรรมสนับสนุนนโยบายใช้พลังงานหมุนเวียน พลังงานแสงอาทิตย์

 

ปมที่ 8 ผืนแผ่นน้ำแข็งละลายน้ำทะเลเพิ่มสูง ปมนี้ แม้ว่าจะไกลตัวคนไทย แต่ถือเป็นวาระนานาชาติเพราะภาวะโลกเดือด เกิดผลกระทบกับบริเวณปกคลุมด้วยน้ำแข็งในขั้วโลกเหนือมีอุณหภูมิสูงขึ้น น้ำแข็งละลายเร็วมากขึ้นเป็น 2 เท่าตัว ระดับน้ำทะเลเพิ่มขึ้นเป็น 2 เท่าตัวเช่นกัน

ค่าเฉลี่ยน้ำทะเลสูงขึ้นปีละ 3.2 มิลลิเมตร และปลายศตวรรษนี้น้ำทะเลจะสูงขึ้น 0.7 เมตร

ฤดูร้อนเมื่อปีที่แล้ว แผ่นน้ำแข็งปกคลุมเกาะกรีนแลนด์ละลายกว่า 60,000 ล้านตัน ภายใน 2 เดือน ต่อมาน้ำทะเลทั่วโลกมีระดับสูงขึ้น 2.2 ม.ม.

ถ้าแผ่นน้ำแข็งที่ปกคลุมเกาะกรีนแลนด์อยู่ในขณะนี้ละลายทั้งหมด น้ำทะเลจะสูงขึ้น 6 เมตร

ข้อมูลปี 2566 น้ำแข็งปกคลุมในทวีปต่างๆ ละลายไปแล้วมากว่า 750,000 ล้านตันตั้งแต่ปี 2540 เป็นต้นมา

เมื่อน้ำทะเลมีระดับสูงขึ้นย่อมเกิดผลกระทบโดยตรงกับผู้ที่อาศัยอยู่ตามแนวชายฝั่ง มีอยู่ประมาณ 480 ล้านคนจะต้องย้ายถิ่นเพราะน้ำทะเลเอ่อท่วม

พื้นที่เสี่ยงจากน้ำทะเลเพิ่มสูงได้แก่กรุงเทพมหานคร เมืองอัมสเตอร์ดัม ประเทศเนเธอร์แลนด์ นครโฮจิมินห์ของเวียดนาม เมืองคาร์ดิฟฟ์และกรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ เมืองนิวออร์ลีนส์ สหรัฐอเมริกา กรุงมะนิลา ประเทศฟิลิปปินส์ เมืองเซินเจิ้นของจีน และนครดูไบ สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์

ตามรายงานของ “เอิร์ธ” ระบุว่า กรุงเทพมหานครมีความเสี่ยงน้ำทะเลท่วมสูงที่สุดในโลกเนื่องจากตั้งอยู่เหนือระดับน้ำทะเลเพียง 1.5 เมตรเท่านั้น

องค์การความร่วมมือทางเศรษฐกิจและการพัฒนา (OECD) อ้างว่า จำนวนประชากรราว 5 ใน 10.7 ล้านคนจะได้รับผลกระทบจากภัยน้ำท่วมต้องโยกย้ายทิ้งถิ่นฐาน เพราะฉะนั้น ถ้าภาครัฐยังไม่คิดทำอะไร ไม่มีนโยบายป้องกัน รวมถึงแนวทางปรับปรุงระบบระบายน้ำที่อยู่ให้ดีขึ้น กรุงเทพมหานครจะเจอภัยน้ำทะเลท่วมครั้งใหญ่อย่างต่อเนื่อง

“เอิร์ธ” ป้อนข้อมูล กทม.ให้คอมพิวเตอร์ประมวลผลจำลองภาพใน 2 เหตุการณ์ เหตุการณ์แรกน้ำทะเลสูงขึ้น 3 เมตร และเหตุการณ์ที่ 2 น้ำทะเลเพิ่มสูง 7 เมตร รวมถึงหากมีวิกฤตโลกเดือด ฝนตกมากขึ้น รุนแรงขึ้นถี่บ่อย อากาศแปรผันสุดขั้ว ชาว กทม.จะได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมราว 11 ล้านคน หรือคิดเป็น 96% ของคนที่อยู่ใน กทม.

พื้นที่ 1 ใน 3 ของกรุงเทพมหานครจมอยู่ใต้บาดาล

 

ปมที่ 9 มหาสมุทรเป็นกรด (Ocean Acidification) อุณหภูมิผิวน้ำทะเลที่ร้อนขึ้นจากภาวะโลกเดือด มีผลโดยตรงต่อน้ำทะเลเพราะเกิดปฎิกริยาทางเคมีของไฮโดรเจนไอออน หรือค่า pH (Potential of Hydrogen ion) ลดลงอย่างต่อเนื่อง เนื่องจากปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศโลกเพิ่มขึ้น มหาสมุทรดูดซับก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์มากขึ้นทำให้เกิดกรดคาร์บอนิก (H2CO2)

เมื่อมหาสมุทรเป็นกรดมากขึ้นย่อมส่งผลกระทบโดยตรงต่อสิ่งมีชีวิตในมหาสมุทร สัตว์ทะเลโดยเฉพาะหอย กุ้ง เม่นทะเล และปะการัง ไม่สามารถจะสร้างเปลือกและโครงสร้างแข็งภายนอกได้ เสี่ยงต่อการสูญพันธุ์ ทำลายระบบระบบนิเวศน์

กล่าวเฉพาะแนวปะการังซึ่งเปรียบเหมือนป่าดงดิบในมหาสมุทร เป็นที่ชุมนุมของปลาและสัตว์น้ำนานาชนิด เป็นแหล่งวางไข่ แหล่งหลบภัย แหล่งหากิน ปะการังมีส่วนสำคัญในการลดความรุนแรงของคลื่นที่กระทบกับชายฝั่ง

แนวปะการังช่วยสร้างเสริมเศรษฐกิจให้กับประเทศต่างๆ ราว 100 ประเทศทั้งรายได้จากอาหาร ท่องเที่ยวและใช้เป็นยารักษาโรคที่สกัดจากปะการังในแต่ละปีมากถึง 270,000 ล้านเหรียญสหรัฐ

ปรากฏการณ์ “มหาสมุทรเป็นกรด” ส่งผลต่อแนวปะการังอย่างรุนแรงเพราะทำให้เกิดการฟอกขาว

มหาสมุทรเป็นกรดมีส่วนสำคัญต่อการทำลายสาหร่ายขนาดเล็กที่เรียกว่า ซูแซนเทลลี (Zooxanthellae) อยู่ในเนื้อเยื่อของปะการัง สีสันอันสวยงามของปะการังซีดจางลงจนเหลือเพียงโครงสร้างหินปูสีขาว

เกรตแบริเออร์เป็นแนวปะการังใหญ่ที่สุดโลกอยู่ในออสเตรเลีย ครอบคลุมพื้นที่มากกว่า 350,000 ตารางกิโลเมตร เจอปัญหาปะการังฟอกขาวครั้งรุนแรงถึง 5 ครั้ง เมื่อปี 2541, 2545, 2559, 2560 และปี 2563 โดยเฉพาะปี 2560 และ 2563 นั้น ปะการังฟอกขาวมากถึง 50%

แนวปะการังในแถบเอเซียตะวันออกเฉียงใต้ รวมทั้งประเทศไทยเจอปัญหาปะการังฟอกขาว เหมือนกับแนวปะการังทื่อื่นๆ ทั่วโลก ประเมินว่ามีแนวปะการังราว 95 เปอร์เซ็นต์อยู่ภาวะอันตราย

 

ปมที่ 10 “เกษตรกรรม” ผลการศึกษาแสดงให้เห็นว่ากระบวนการผลิตอาหารในโลกใบนี้มีส่วนสำคัญในการเพิ่มปริมาณก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ในชั้นบรรยากาศถึง 1 ใน 3 ของการปล่อยก๊าซพิษ

แหล่งเกษตรกรรมต้องใช้น้ำปริมาณมหาศาล นำไปสู่ปัญหาการแย่งชิงน้ำและขาดแคลนน้ำ การทำปศุสัตว์ต้องใช้พื้นที่กว้างใหญ่ ประเมินว่าเกือบ 60% ของพื้นที่เกษตรกรรมทั้งโลก แต่ให้ผลผลิตเนื้อสัตว์เพียง 24%

ในบ้านเรามีผลการศึกษาพบว่าภาคเกษตรกรรมปล่อยก๊าซเรือนกระจกคิดเป็น 15% ของการปล่อยก๊าซพิษทั้งหมด การปลูกข้าวมีสัดส่วนการปล่อยก๊าซพิษมากที่สุดราว 50% โดยเฉพาะก๊าซมีเทน ส่วนการเลี้ยงปศุสัตว์ มีส่วนปล่อยก๊าซเรือนกระจกราว 24%

นักวิทยาศาสตร์และนักสิ่งแวดล้อมส่งสัญญาณเตือนชาวโลกควรคิดใหม่ในกระบวนการผลิตอาหาร แทนการปลูกพืชเลี้ยงสัตว์ที่มีอยู่ในปัจจุบันเพื่อลดปริมาณการปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศโลก •

 

สิ่งแวดล้อม | ทวีศักดิ์ บุตรตัน

[email protected]