ปรีดี แปลก อดุล : คุณธรรมน้ำมิตร (47)

พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

บทความพิเศษ | พล.อ.บัญชร ชวาลศิลป์

 

ปรีดี แปลก อดุล

: คุณธรรมน้ำมิตร (47)

 

ตัดหวายอย่าไว้หน่อ

หลังจากความพยายามในการก่อการครั้งนี้ล้มเหลว นายปรีดี พนมยงค์ สามารถหลบหนีไปต่างประเทศได้สำเร็จ ผลตามมาที่สำคัญยิ่งต่อกลุ่มผู้ใกล้ชิดนายปรีดี พนมยงค์ ซึ่งมีทั้งอดีตผู้ก่อการเปลี่ยนแปลงการปกครองสายพลเรือนและอดีตเสรีไทยคือการถูกติดตามกวาดล้างและเข่นฆ่าอย่างโหดเหี้ยมแบบถอนรากถอนโคน

ได้แก่ การสังหาร พ.ต.โผน อินทรทัต เมื่อวันที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2492

การสังหาร พ.ต.อ.บรรจงศักดิ์ ชีพเป็นสุข เมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2492

การสังหาร 4 อดีตรัฐมนตรี ได้แก่ นายจำลอง ดาวเรือง นายถวิล อุดล นายทองเปลว ชลภูมิ และนายทองอินทร์ ภูริพัฒน์ เมื่อวันที่ 4 มีนาคม พ.ศ.2492 และการสังหาร นายเตียง ศิริขันธ์ เมื่อวันที่ 13 ธันวาคม พ.ศ.2495 เป็นต้น

อดีตคณะราษฎรสายพลเรือนและอดีตเสรีไทยที่เหลือต่างกระจัดกระจายรวมตัวกันไม่ติด เนื่องจากการขาดนายปรีดี พนมยงค์ ทำให้ขาดผู้นำซึ่งมีบารมีมากพอที่จะเป็นศูนย์กลางนำการเคลื่อนไหว

ส่วนใหญ่ต่างวางมือทางการเมือง บางกลุ่มที่ยังคงยึดมั่นในแนวทางต่อสู้ก็แตกกระจายออกไปเคลื่อนไหวในวิถีทางของตนในการต่อต้าน จอมพล ป.พิบูลสงคราม ต่อไปอีก

แต่การเคลื่อนไหวที่มีลักษณะโดดเดี่ยวเป็นกลุ่มย่อยปราศจากเอกภาพและพลังก็ค่อยๆ ถูกคณะรัฐประหารกำจัดออกไปด้วยวิธีการต่างๆ จนอ่อนกำลังลงไปตามลำดับ

คณะราษฎรสายพลเรือนและเสรีไทยอันเป็นองค์กรฝ่ายพลเรือนที่เข้มแข็งที่สุดซึ่งสามารถถ่วงดุลอำนาจกับและฝ่ายทหารบกได้อย่างมีนัยสำคัญนับแต่เปลี่ยนแปลงการปกครองเป็นต้นมา บัดนี้ถึงคราใกล้ล่มสลาย เหลือเพียงกองทัพเรือเท่านั้นที่ยังคงสามารถถ่วงดุลทหารบกและคณะรัฐประหารได้

รวมทั้งอดีตเสรีไทยจำนวนหนึ่งที่จะเข้าร่วมโค่นล้มรัฐบาลจอมพล ป.พิบูลสงคราม ใน “กบฏบวรเดช” อีก 2 ปีต่อมา

 

ความเป็นกลางของหลวงสินธุสงครามชัย

กล่าวสำหรับบทบาทของกองทัพเรือในเหตุการณ์กบฏวังหลวงครั้งนี้น่าสังเกตว่ามีส่วนเหมือนบางประการเมื่อเทียบเคียงกับเหตุการณ์กบฏบวรเดช ซึ่งขณะนั้นขบวนการเสรีไทยยังไม่ก่อกำเนิด

เมื่อครั้งกบฏบวรเดช พระยาวิชิตชลธี ผู้บัญชาการทหารเรืออันมีหลวงสินธุสงครามชัย เสนาธิการทหารเรืออยู่เคียงข้าง ต้องตัดสินใจอย่างยากยิ่งในการปฏิเสธคำสั่งผู้บัญชาการทหารบกและนายกรัฐมนตรีที่ให้ใช้ปืนใหญ่ประจำเรือระดมยิงทหารฝ่ายหัวเมืองที่บางเขนและดอนเมืองด้วยเหตุผลหลักคือไม่ต้องการประหัตประหารทหารไทยด้วยกันเอง

ซึ่งสร้างความไม่พอใจต่อหลวงพิบูลสงครามที่เป็นผู้รับผิดชอบโดยตรงต่อความสำเร็จหรือล้มเหลวในการป้องกันพระนครในฐานะผู้บังคับกองผสมมาแล้ว

กบฏวังหลวงครั้งนี้ แม้จะไม่มีคำสั่งจากรัฐบาลให้กองทัพเรือจัดกำลังเข้าปราบปรามผู้ก่อการกบฏ แต่การวางตัวนิ่งเฉยไม่ร่วมส่งกำลังเข้าปราบปรามก็ไม่แตกต่างกันนักจากเมื่อครั้งกบฏบวรเดช ซึ่งครั้งนี้เหตุผลของหลวงสินธุนาวินซึ่งผ่านเหตุการณ์ครั้งนั้นมาแล้วคงมิได้เป็นเพียง “ทหารด้วยกัน” เท่านั้น แต่ยังเป็น “ทหารเรือด้วยกัน” อีกด้วย

การวางตัวนิ่งเฉยของหลวงสินธุนาวินเป็นปัจจัยสำคัญทำให้ฝ่ายกบฏทหารเรือส่วนน้อยไม่มีกำลังมาเพิ่มจึงตกเป็นรองกำลังฝ่ายทหารบกอันเป็นผลดีอย่างยิ่งต่อฝ่ายรัฐบาล และเป็นผลเสียร้ายแรงอย่างถึงที่สุดต่อนายปรีดี พนมยงค์ ผู้นำฝ่ายกบฏ เพราะความพ่ายแพ้ของฝ่ายกบฏคือความพ่ายแพ้ของนายปรีดี พนมยงค์

อาจกล่าวได้ว่า เป็นการประมาณการที่ผิดพลาดอย่างยิ่งของนายปรีดี พนมยงค์ ที่เข้าใจว่า กองทัพเรือภายใต้การนำของหลวงสินธุสงครามชัยจะเข้าร่วมโค่นล้มรัฐบาลคณะรัฐประหารในครั้งนี้ เพราะมีเพียงนายทหารเรือชั้นผู้ใหญ่ 3 ท่านเท่านั้นที่เข้าร่วมก่อการได้แก่ พล.ร.ต.ทหาร ขำหิรัญ พร้อมกำลังนาวิกโยธิน พล.ร.ต.หลวงสังวรยุทธกิจ นอกราชการ และ น.อ.ชลี สินธุโสภณ พร้อมกำลังกองสัญญาณทหารเรือ ซึ่งได้ยืนยันการเข้าร่วมอย่างชัดเจนต่อนายปรีดี พนมยงค์ แต่แรก แต่ไม่ปรากฏหลักฐานใดๆ ว่า หลวงสินธุสงครามชัยได้รับปากเข้าร่วมด้วย

ทั้งหมดจึงเป็นการเข้าใจเอาเองของนายปรีดี พนมยงค์!

 

การวางตัวเป็นกลางของผู้บัญชาการทหารเรือครั้งนี้ไม่นับว่าเป็นเรื่องที่คาดไม่ถึง หากได้ติดตามความเคลื่อนไหวของหลวงสินธุสงครามชัยนับตั้งแต่ความสำเร็จในการเปลี่ยนแปลงการปกครองเมื่อวันที่ 24 มิถุนายน พ.ศ.2475 แล้วจะเห็นว่า เมื่อยึดอำนาจการปกครองสำเร็จแล้วหลวงสินธุสงครามชัยก็พยายามนำกองทัพเรือออกจากการเมืองเพื่อให้กองทัพเรือเป็น “ทหารอาชีพ” ปล่อยให้การเมืองเป็นเรื่องของฝ่ายพลเรือน

ความคิด “ทหารอาชีพ” ของหลวงสินธุสงครามชัยจึงไม่แตกต่างจากความคิดหลักของนายทหารสายเสนาธิการของกองทัพบกที่พยายามโค่นล้มรัฐบาลคณะรัฐประหารในเหตุการณ์ “กบฏเสนาธิการ” ก่อนหน้านี้ไม่นานนัก แต่ที่แตกต่างกันคือ หลวงสินธุสงครามชัยปฏิเสธการเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับการเมืองในทุกระดับ ทุกวิธีการ รวมทั้งในเหตุการณ์กบฏวังหลวงครั้งนี้

สอดคล้องกับเสียงเรียกร้องในสังคมไทยทุกวันนี้ที่ต้องการให้ทหารวางมือจากการเมืองโดยเด็ดขาด

การวางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัดของหลวงสินธุสงครามชัย อันเป็นผลให้กำลังทหารเรือส่วนใหญ่ไม่ได้เข้าร่วมทั้งกับฝ่ายกบฏและกับฝ่ายรัฐบาล แต่ใช้ความพยายามอย่างเต็มที่เพื่อให้เหตุการณ์ยุติลงโดยเร็วจึงส่งผลให้ความสูญเสียของทั้งสองฝ่ายมีไม่มากนัก ซึ่งด้านหนึ่งนับว่าเป็นผลดีต่อฝ่ายรัฐบาล

แต่จอมพล ป.พิบูลสงคราม ไม่พอใจนักจากการที่กองทัพเรือไม่ส่งกำลังเข้าร่วมปราบปราม

รวมทั้งยังคงมีความคลางแคลงใจตกค้างมาตั้งแต่ครั้งกบฏบวรเดช แต่ยังไม่กล้าดำเนินการขั้นแตกหักเพราะความทัดเทียมกันทางด้านอำนาจกำลังรบระหว่างกองทัพทั้งสอง

น่าสนใจว่า ไม่เพียงแต่จอมพล ป.พิบูลสงคราม และคณะรัฐประหารจะไม่พอใจหลวงสินธุสงครามชัยเท่านั้น แต่ภายในหมู่ทหารเรือโดยเฉพาะนายทหารเรือระดับกลางและชั้นผู้น้อยจำนวนหนึ่งนอกจากจะมีความไม่พอใจต่อคณะรัฐประหารเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ยังไม่พอใจผู้นำกองทัพเรือของตนอีกด้วย

เมื่อครั้งเปลี่ยนแปลงการปกครอง พ.ศ.2475 ทหารเรือมีบทบาทเคียงบ่าเคียงไหล่และเป็นเอกภาพกัน

แต่เมื่อเกิดเหตุการณ์กบฏบวรเดช พ.ศ.2476 ภายในหมู่ทหารเรือก็เริ่มมีความคิดเห็นทางการเมืองแตกต่างกันจากกรณีการปฏิเสธการใช้อาวุธหนักยิงทำลายทหารฝ่ายหัวเมืองจนบานปลายไปสู่การยึดกองบัญชาการกองทัพเรือโดยนายทหารชั้นผู้น้อยซึ่งไม่เคยปรากฏมาก่อนในประวัติศาสตร์กองทัพเรือที่เปรียบเทียบตัวเองกับดอกประดู่-บานและโรยพร้อมกัน แต่ความแตกแยกครั้งนี้ก็ยุติลงในเวลาไม่นานเมื่อมีการจัดการตามแบบธรรมเนียมของทหารเรือที่ยึดมั่นในวินัยและความรักความสามัคคีต่อกันจากการปลูกฝังของพระบิดาแห่งกองทัพเรือ-เสด็จเตี่ยกรมหลวงชุมพรฯ

ความหวาดระแวงจากเหตุการณ์กบฏบวรเดชจะยังคงตกค้างอยู่ในหมู่ทหารบกที่มีผู้นำคือหลวงพิบูลสงครามซึ่งมีเป้าหมายทางการเมืองที่จะต้องก้าวเดิน

ขณะที่ฝ่ายทหารเรือภายใต้การนำของหลวงสินธุสงครามชัยซึ่งไม่มีเป้าหมายทางการเมืองพยายามรักษาสถานการณ์ไว้มิให้บานปลาย เว้นนายทหารเรือระดับกลางและทหารเรือชั้นผู้น้อยที่มีจุดเดือดต่ำ!

การใช้กำลังต่อกันในเหตุการณ์กบฏวังหลวงที่หลวงสินธุสงครามชัยวางตัวเป็นกลางอย่างเคร่งครัดทำให้ความไม่พอใจที่มีต่อทหารบกซึ่งคุกรุ่นอยู่ภายในกองทัพเรือไม่ระเบิดออกมา

แต่ในใจของทหารเรือโดยเฉพาะชั้นผู้น้อยต่างรู้สึกเป็นเดือดเป็นแค้นตามวิสัย “ลูกประดู่” มีเรื่องบอกเล่าจากทหารเรือจำนวนไม่น้อยที่แม้ไม่ได้เข้าร่วมกบฏวังหลวงแต่ก็รู้สึกผิดหวังที่ผู้บัญชาการทหารเรือสั่งให้วางอาวุธทั้งที่เป็นฝ่ายได้เปรียบ และคณะรัฐประหารกำลังจะพ่ายแพ้

ความรู้สึกเช่นนี้จะถูกเก็บกดไว้ด้วยวินัยเหล็กของ “ลูกน้ำเค็ม” และเป็นชนวนระเบิดเวลาลูกใหม่ที่รอการระเบิด

ความไม่ไว้วางใจต่อกันระหว่างทหารบกกับทหารเรือจึงแฝงอยู่ในบรรยากาศระหว่างกองทัพทั้งสองโดยแสดงออกผ่านทหารชั้นผู้น้อยที่ปรากฏการทะเลาะวิวาทกันบ่อยครั้ง

แต่ที่น่าแปลกใจคือคู่วิวาทของทหารเรือกลับเป็นตำรวจ