อัตตาธิปไตย ประชาธิปไตยในเอเชียปี 2567

อุกฤษฏ์ ปัทมานันท์

งานวิจัยของ Joshua Kurlantzick นักวิจัยชาวอเมริกันด้านการเมืองและประชาธิปไตยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้และเอเชียใต้ แห่ง Council Foreign Relations-CFR1 เขาตั้งข้อสังเกตว่า ปี 2567 เป็นปีแห่งการเลือกตั้ง แต่ไม่ได้หมายความว่า ปี 2567 เป็นปีแห่งประชาธิปไตย

เขายังแปลกใจว่าปี 2567 เป็นปีที่กว่า 100 ประเทศทั่วโลกมีการเลือกตั้ง แต่ทิศทางการเมืองของประเทศที่มีการเลือกตั้ง หาได้โน้มนำไปสู่ระบอบประชาธิปไตยไม่

หลายประเทศปกครองในระบอบอัตตาธิปไตย (Autocracy) คือ ปกครองโดยคนคนเดียว มีการกดขี่ทางการเมือง ละเมิดสิทธิมนุษยชน

ผู้ปกครองคนเดียวใช้ระบบ พวกพ้อง (Cronyism) เข้ามาบริหารประเทศและทุจริตคอร์รัปชั่น

แล้วเขาก็ยกตัวอย่างการเมือง การเลือกตั้งและระบอบอัตตาธิปไตยในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้บางประเทศ

 

อินโดนีเซีย การเมืองของ 2 ตระกูล

อินโดนีเซียประเทศที่มีขนาดใหญ่ที่สุดในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีพลเมืองนับถืออิสลามเป็นส่วนใหญ่ แล้วยังมีศาสนา ภาษา ชาติพันธุ์อื่นๆ ดำรงอยู่ตามเกาะใหญ่น้อย

กล่าวคร่าวๆ ที่สุด อินโดนีเซียผ่านการเป็นอาณานิคมของดัตช์หรือเนเธอร์แลนด์นานร่วม 350 ปี มีการกอบกู้เอกราชด้วยลัทธิชาตินิยมโดยผู้นำทหารที่เข้มแข็งและเป็นนักชาตินิยมคนสำคัญของโลกคือ ซูการ์โน (Sukarno)

หลังจากอินนีเซียได้รับเอกราช ลัทธิทหารได้ครอบงำการเมืองและเศรษฐกิจของอินโดนีเซียที่นำโดยนายพลซูฮาร์โต (Suharto) ซึ่งได้รับแต่งตั้งเป็นประธานาธิบดี มีนาคม 1968

เขาปกครองประเทศภายใต้ระบบ New Order ยาวนานถึงปี 1998 แล้วก้าวลงจากตำแหน่ง

ปีนั้นอันเป็นช่วงเวลาที่โลกและอินโดนีเซียเผชิญปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจจากระบบเศรษฐกิจโลก ที่ขนามนามกันว่า วิกฤตต้มยำกุ้ง

แล้วภูมิรัฐศาสตร์ของอินโดนีเซียก็เปลี่ยนแปลงไปด้วยกระบวนการเป็นประชาธิปไตย (Democratization) การปกครองในระบอบสาธารณรัฐ ที่มีนักการเมืองและพรรคการเมืองหลายพรรคแข่งขันกัน

ระบอบสาธารณรัฐของอินโดนีเซียยังถูกท้าทายจาก ความเป็นเอกภาพท่ามกลางความหลากหลาย (Unity among Diversity) ทั้งชาติพันธุ์ ศาสนา ภาษาและวัฒนธรรม

แต่คนอินโดนีเซียสนับสนุนระบอบสาธารณรัฐท่ามกลางพลังของภาคประชาสังคม ท่ามกลางนโยบายประชานิยม (Populism) ของนักการเมืองพลเรือนที่เป็นพลังการเมืองสำคัญนับตั้งแต่ทศวรรษ 1990 เป็นต้นมา

แล้วความซับซ้อนทางการเมืองอินโดนีเซียเดิม ยังก้าวมาสู่อีกความซับซ้อนหนึ่งคือ การเมืองครอบครัว (Family Politics) ตระกูล Subianto นำโดย Prabowo Subianto และตระกูล Widodo นำโดย Joko Widodo จวบจนการเมือง ณ ปัจจุบันและอนาคตอันใกล้

 

การเลือกตั้งประธานาธิบดี

การเมืองปัจจุบันเป็นการแข่งขันระหว่าง Prabowo Subianto ที่ช่วงทศวรรษ 1990 เขาถูกกล่าวหาเรื่องละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างมากช่วงที่เขาเป็นนายพลใหญ่ผู้นำทหาร โดยเฉพาะการสั่งฆ่าล้างเผ่าพันธุ์

ตอนนี้ Prabowo Subianto กำลังแข่งขันกับประธานาธิบดี Joko Widodo ซึ่งหลายฝ่ายมองว่าประธานาธิบดี Joko Widodo มีโอกาสพ่ายแพ้การชิงชัยตำแหน่งประธานาธิบดีต่ออดีตนายพล Prabowo Subianto

แกนนำกำลังท้าชิงกันอย่างสูสี จนมีอีกฝ่ายหนึ่งชิงความได้เปรียบโดยสถาปนา การเมืองครอบครัว คือ ลูกชายของ Joko Widodo ได้ตำแหน่งการเมืองของอดีตนายพล Prabowo Subianto ไป

ลูกชายประธานาธิบดี Joko Widodo เป็นผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี แม้ว่าตัวลูกชายของ Joko Widodo ไม่มีประสบการณ์ด้านการบริหารเลย และตัวเขายังเด็กเกินไปตามกฎหมายของอินโดนีเซียไม่อนุญาตให้เขาดำรงตำแหน่งรองประธานาธิบดีได้

แต่เกิดการแหกกฎเกณฑ์สำคัญนี้ เมื่อศาลสูงอินโดนีเซียที่นำโดยผู้พิพากษาผู้เป็นน้องเขยของประธานาธิบดี Joko Widodo เปลี่ยนกฎเกณฑ์ข้อห้ามนี้ อนุญาตให้ลูกชายประธานาธิบดี Joko Widodo สามารถลงสมัครแข่งขันตำแหน่งรองประธานาธิบดีได้

ประธานาธิบดี Joko Widodo ผู้เป็นนักการเมืองที่ได้รับความนิยมอย่างสูงด้วย นโยบายประชานิยมและการสนับสนับจากผู้นำทางศาสนา จึงประสบชัยชนะ

พ่อได้เป็นประธานาธิบดีและลูกชายได้เป็นรองประธานาธิบดี เอาชนะอดีตนายพล Prabowo Subianto เป็นศักราชใหม่ของการเมืองครอบครัวในอินโดนีเซีย

 

การเมืองครอบครัวในกัมพูชา

แม้ทั่วโลกต่างมองเห็นทิศทางระบอบอัตตาธิปไตยในกัมพูชาต่อเนื่องด้วยการดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีตลอดกาลของนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน กัมพูชา

มีพรรคการเมืองหลายพรรค มีพรรคฝ่ายค้านที่เคลื่อนไหวต่อต้านความเป็นเผด็จการของนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ที่มีการผูกขาดในบริษัทการค้า การผลิตสำคัญ และควบคุมกองทัพเรื่อยมา

แล้วนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน ก็ประกาศวางมือทางการเมือง ซึ่งก็ประกาศมาหลายครั้ง แต่การเมืองครอบครัวที่ตรงไปตรงมาในการเมืองกัมพูชาก็ปรากฏ นายกรัฐมนตรี ฮุน เซน มอบตำแหน่งนายกรัฐมนตรีให้นายฮุน มาเนต ลูกชายหัวแก้วหัวแหวนดำรงตำแหน่งแทน

โดยเขาได้วางตัวนายฮุน มาเนต เอาไว้เหนียวแน่นและนานแล้ว

เมื่อฮุน มาเนต เป็นนายกรัฐมนตรี เขาก็ยังเป็นผู้บัญชาการทหารสูดสุดควบคู่ไปด้วย

ช่างแนบเนียนตามแบบผู้นำกัมพูชา ฮุน มาเนต เรียนจบโรงเรียนเวสต์ปอร์ตของสหรัฐอเมริกาย่อมสมเหตุสมผลที่จะดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการทหารสูงสุด

อดีตนายกรัฐมนตรี ฮุน เซน พูดหาเสียงไว้นานและตลอดเวลากับชาวบ้านกัมพูชาว่า เขาจะพัฒนาเศรษฐกิจให้เจริญรุ่งเรือง เขาจะปราบปรามการทุจริตคอร์รัปชั่นของข้าราชการและนักการเมืองทุกระดับ ฟังก็เพลินดี

ฮุน เซน ยังครองตำแหน่งที่ปรึกษาของนายกรัฐมนตรี เขายังสถาปนาการเมืองครอบครัว โดยสนับสนุนให้บรรดารัฐมนตรีของเขาสนับสนุนให้ลูกๆ หลานๆ แต่งงานกัน สนับสนุนให้ญาติของฝ่ายต่างๆ กำกับกระทรวงสำคัญ กรมกองสำคัญ เป็นผู้ลงทุนรายสำคัญและกำกับนโยบายรัฐวิสาหกิจสำคัญของประเทศ

ครอบครัวตระกูลฮุน และครอบครัวอื่นๆ ครอบงำกัมพูชาทุกมิติ

 

ไทยปี 2567
: การเมืองครอบครัว ตระกูลเดียว
อัตตาธิปไตย

จริงอยู่สังคมการเมืองไทยเป็นการเมืองเปิด (Open Politics) มานาน อาจจะหลังเศรษฐกิจเปิด (Open Economy) หลังสงครามโลกครั้งที่ 2 ที่ระบบเศรษฐกิจไทยเปิดและก้าวเข้าสู่ระบบทุนนิยมโลก

หลังจากระบบเศรษฐกิจไทยเข้าสู่ระบบทุนนิยมโลกหลังไทยทำสนธิสัญญาเบาว์ริ่งกับอังกฤษปี พ.ศ.2398

การเมืองเปิดของไทยเปิดพื้นที่การเมืองให้กับกระบวนการเป็นประชาธิปไตย ด้วยการมีพรรคการเมืองหลายพรรคที่เป็นตัวแทนของกลุ่มผลประโยชน์ (Interest Group) หลายกลุ่ม

เปิดให้พื้นที่การเมืองและสิทธิเสรีภาพของสื่อมวลชน และภาคประชาสังคม ต่อเนื่องยาวนานโดยเฉพาะท่ามกลางการเปลี่ยนแปลง 14 ตุลาคม 2516 เหตุการณ์พฤษาคม 2535 รัฐธรรมนูญฉบับประชาชน 2540

แต่ทางวิชาการนับจากวิกฤตเศรษฐกิจปี 2540 ส่วนประกอบอำนาจ (Power Composition) เปิดช่องให้กลุ่มเงินใหม่ ( New Money) เข้ามาท้าทายอำนาจและแย่งพื้นที่การเมืองของกลุ่มเงินเก่า (Old Money)

ในเชิงรูปธรรมของการเคลื่อนไหวการเมืองตัวแทนของกลุ่มเงินใหม่คือ พรรคไทยรักไทย และ ทักษิณ ชินวัตร ปรากฏตัว เคลื่อนไหว และเกาะกุมแกนของเศรษฐกิจการเมืองไทย

นโยบายประชานิยม บุคลิกภาพ เงินทุน ผู้นำอุตสาหกรรมโทรคมนาคมของทักษิณ ชินวัตร และพวกพ้องได้เปลี่ยนภูมิรัฐศาสตร์ไทยไปด้วย

อย่างไรก็ตาม ทักษิณ ชินวัตร สมัคร สุนทรเวช สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เศรษฐา ทวีสิน แพทองธาร ชินวัตร ที่เป็นนายกรัฐมนตรีของไทยต่อเนื่องได้แสดงถึงการเมืองครอบครัว แสดงถึงการเมืองแบบกลุ่มเงินเก่า มากกว่ากลุ่มเงินใหม่ ดังที่คุยและโม้เอาไว้

ผมกลับมาแล้ว หลังลี้ภัยนาน 17 ปี ไม่มีอะไรใหม่เลย นอกจากผมกลับมาครอบงำนายกรัฐมนตรี รัฐบาล พรรคการเมือง อีกคำรบหนึ่งเท่านั้นเอง

 

1“A Big Year for Asian Elections, but Not Necessary for Democracy” Council Foreign Relations, 12 December 2024