พึมพำถึงชีวิตข้างหน้า หลังคนใกล้ตัว ‘จากไป’

ธงทอง จันทรางศุ

มติชนสุดสัปดาห์เล่มนี้ เพิ่งขึ้นต้นปีมาได้เพียงไม่กี่วัน ขอส่งความสุขความปรารถนาดีอีกวาระหนึ่งให้กับท่านผู้อ่านทุกท่าน ขอให้มีสุขภาพกายสุขภาพใจที่เข้มแข็ง และพบกับความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ ที่เข้ามาสู่ชีวิตของเราได้อย่างสง่างามนะครับ

ในฐานะที่ผมสมมุติเอาเองว่า หลายท่านที่อ่าน “หลังลับแลมีอรุณรุ่ง” น่าจะได้กรุณาติดตามการพูดคุยกันในพื้นที่นี้มานานพอสมควรแล้ว เพราะฉะนั้น วันนี้ได้โปรดให้อภัยผมนะครับ ถ้าผมจะพูดอะไรฉันเพื่อนฝูงพูดเปิดใจให้แก่กัน ขึ้นต้นอาจจะฟังดูเป็นเรื่องส่วนตัวอยู่บ้าง แต่ตอนจบของเรื่องก็หวังว่ามีสาระอยู่ตามสมควร ลองดูครับ

ตั้งแต่กลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา มีความเปลี่ยนแปลงสำคัญเกิดขึ้นในชีวิตของผมอย่างมีนัยยะสำคัญ นั่นคือ ยุ้ย น้องชายของผมซึ่งมีอยู่คนเดียว และอยู่ด้วยกันเสมอมาตลอดชีวิต เกิดปุบปับเสียชีวิตขึ้นมาเสียอย่างนั้น ทั้งๆ ที่นั่งกินข้าวเช้าอยู่ด้วยกัน เขากำลังกินชมพู่ปอกเป็นชิ้นเล็กพอดีคำ ส่วนผมกินไส้กรอกปลาแนม โบราณเสียไม่มีล่ะ

อยู่ดีๆ ยุ้ยก็พูดเบาๆ ขึ้นว่า “เป็นลม” ก็แน่นิ่งไป ปล่อยให้ผมตะโกนโหวกเหวกเรียกน้องสะใภ้และหลาน ลูกของยุ้ยสองคนซึ่งอยู่บ้านอีกหลังห่างจากบ้านผมเพียงไม่กี่เมตร พร้อมทั้งผู้ใกล้ชิดคุ้นเคยอีกสองสามคนขึ้นมาช่วยกันแก้ไขสถานการณ์

แต่เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่นาที สัญญาณทุกอย่างก็ยืนยันว่าทุกอย่างจบบริบูรณ์แล้ว

ผมทราบแต่ข้อมูลทางการแพทย์ภายหลังว่า สาเหตุที่ยุ้ยเสียชีวิตเนื่องมาจากเส้นเลือดแดงเส้นใหญ่ที่หัวใจแตกกะทันหัน

การจากไปของยุ้ยจึงเป็นการจบชีวิตที่สงบ ง่ายและไม่เจ็บปวดอะไร หลายคนออกปากว่า เป็นตอนจบของชีวิตที่หลายคนปรารถนาแบบแผนเช่นนี้ เพราะไม่ต้องพะรุงพะรังด้วยเครื่องมือทางการแพทย์ที่พยายามจะทำให้ดีที่สุดเพื่อให้เรามีชีวิตยืนยาวต่อไป

แต่ก็ไม่เคยมีใครชนะความตายได้เลยแม้สักคนเดียว

 

เมื่อความตายเกิดขึ้นกับคนที่อยู่ใกล้ตัวผมอย่างนี้ คนที่จากไปไม่มีอะไรต้องเดือดร้อนอีกต่อไปแล้ว เหลือแต่ผมนี่แหละครับที่ต้องวางแผนว่าจะทำอะไรกับชีวิตต่อไป

ยกตัวอย่างให้เห็นเป็นรูปธรรม เช่น ด้วยความที่ยุ้ยพ้นวัยทำงานแล้วและนั่งมีความสุขอยู่กับบ้าน ขณะที่ผมเป็นคนเกษียณไม่จริง ยังออกไปทำงานนู่นนี่นอกบ้านเกือบทุกวัน เลิกงานตอนเย็นแล้วถ้ายังมีกิจกรรมทางสังคมต้องไปกินข้าวกับใครก็แล้วแต่ ผมก็ไปได้สบายใจเฉิบ

แต่ถ้าวันไหนคิดจะกินข้าวบ้านตัวเอง ที่บ้านก็มีสำรับกับข้าวให้กินอยู่เสมอ โดยมียุ้ยเป็นผู้บัญชาการสำรับนั้น

บ่อยครั้งที่ยุ้ยลงมือเข้าครัวเอง ทำกับข้าวเมนูของแม่ที่ขึ้นชื่อมาแต่ไหนแต่ไร ให้ผมหรือแขกที่ผมชวนมากินข้าวที่บ้านได้ลิ้มลองลิ้มรส

ถ้าเมนูไหนหรือมื้อไหนยุ้ยไม่ได้ทำเอง ยุ้ยก็เป็นผู้กำกับรายการให้ผู้มีหน้าที่ทำกับข้าวบ้านผมดำเนินการ

คราวนี้ผมต้องวางแผนแล้วล่ะครับว่า อาหารการกินของผมมื้อเย็นต่อไปจะเป็นอย่างไร ยังมีทางเลือกอีกหลายทางที่ต้องคิด หรือจะนำเอาแนวทางหลายอย่างนั้นมาผสมกันให้เกิดสูตรใหม่ก็ได้

ของอย่างนี้ต้องใช้เวลาปรับตัวสักระยะหนึ่ง

 

เรื่องหนึ่งที่ต้องตรึกตรองเตรียมการไว้ล่วงหน้า คือ ชีวิตความเป็นอยู่รายวันซึ่งแต่เดิมผมนอนอยู่บนห้องนอนชั้นสองของบ้าน ส่วนยุ้ยมีห้องนอนอยู่ที่ชั้นล่าง

โดยภูมิศาสตร์อย่างนี้ถ้ามีเหตุฉุกเฉินอะไรก็เห็นจะพอร้องตะโกนโหวกเหวกหากันได้ภายในเวลาหนึ่งหรือสองนาที

แต่เมื่อเหตุการณ์ผันแปรไปอย่างนี้ คงต้องหาระบบเรียกหาความช่วยเหลืออะไรสักอย่างไว้ใกล้มือ ว่าติดกริ่งเสียงดังเหมือนฟ้าร้องฟ้าผ่า

ถ้าไม่ชอบมาพากลเมื่อไหร่ก็กดกริ่งนั้นเข้า ผู้คนที่อยู่ในรัศมีได้ยินเสียงกริ่งจะได้มาพาผมไปส่งโรงหมอได้ทันกาล

แต่ถ้าไม่ทันก็แล้วไปครับ ไม่ว่ากันอยู่แล้ว

ที่ว่ามานี้เป็นแผนเฉพาะหน้าภายในปีสองปี อีกหน่อยเมื่อผมมีอายุมากขึ้นกว่านี้ เมื่อการเดินขึ้นลงบันไดกลายเป็นอุปสรรคของชีวิตเพราะแข้งขาไม่อำนวย ผมอาจต้องเปลี่ยนที่นอนลงมานอนที่ห้องนอนชั้นล่างซึ่งอยู่ในเวลานี้ เรื่องนี้ก็ว่ากันไปเป็นขั้นเป็นตอนก็แล้วกัน

อารมณ์เหมือนแผนพัฒนาอะไรสักอย่างหนึ่ง มีแผนระยะสั้น แผนระยะยาว เผื่อเหลือเผื่อขาดเอาไว้ ระหว่างใช้แผนนั้นอยู่ก็สามารถปรับเปลี่ยนได้ถ้าปัจจัยแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป ไม่จำเป็นต้องทำตามแผนเคร่งครัดเสมอไป

 

ที่พูดมาทั้งหมดนี้ ถ้าท่านใดอ่านแล้วเกิดความรู้สึกเมตตา ว่าเป็นเรื่องชายชราสูงอายุคนหนึ่งบ่นพึมพำถึงชีวิตในวันข้างหน้า ผมก็ขอขอบพระคุณ แต่ถ้าท่านใดอ่านแล้วเกิดความรู้สึกหมั่นไส้ขึ้นมา ไม่ว่าจะเป็นในแง่มุมใดก็ตาม ผมก็ขอน้อมรับความหมั่นไส้นั้นไว้อย่างเต็มอกเต็มใจ

เพราะผมรู้ดีว่า ที่ผมพูดมาข้างต้นนั้นไม่สามารถอ้างอิงเป็นมาตรฐานของคนไทยจำนวนมากได้

แค่เรื่องสองที่ผมพูดมาข้างต้น ได้แก่ ผมกินข้าวมื้อเย็นเป็นสำรับ หมายความว่ามีอาหารสองหรือสามอย่างเป็นปกติ บวกด้วยขนมหรือผลไม้ หรือวันไหนโลภมากก็มีทั้งสองอย่าง

ยิ่งถ้าใครมากินข้าวบ้านเป็นสมาชิกสมทบด้วยแล้ว บ้านผมถือธรรมเนียมว่า “ใครมาถึงเรือนชานต้องต้อนรับ” โอกาสนั้นสำรับก็จะงอกเงยขึ้นไปอีก

จนบางครั้งนึกถึงบรรยากาศก่อนเสียกรุงศรีอยุธยาเป็นที่สุด

เพราะเป็นยุคสมัย “บ้านเมืองดี” ที่แต่โบราณท่านถวิลหา

 

อีกเรื่องหนึ่งที่น่าหมั่นไส้และน่าหาอะไรเขวี้ยงใส่ผมมาไม่แพ้กัน คือ ถ้าเดินขึ้นไปนอนห้องนอนบนชั้นสองไม่ไหวเมื่อไหร่ ก็จะย้ายตัวเองลงมานอนห้องนอนชั้นล่าง คนอะไรจะมีห้องเหลือถึงขนาดนั้น

ผมตระหนักดีว่าคนไทยส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในฐานะที่จะดำเนินชีวิตได้ตามครรลองที่ผมปฏิบัติอยู่ คนจำนวนไม่น้อยยังเป็นผู้หาเช้ากินค่ำ ขอแต่ให้ได้มีอาหารที่พอรับประทานได้ตกถึงปากถึงท้องในแต่ละมื้อก็ดีถมแล้ว

ขณะเดียวกันกับที่อีกหลายคนยังไม่มีที่จะซุกหัวนอน ค่าห้องเช่าเท่ารูหนูก็ติดค้างเจ้าของห้องมาหลายเดือนจนแกมาตะโกนขับไล่อยู่หน้าห้องสองสามรอบแล้ว จะทำอย่างไรดีกันเล่า

นอกจากเรื่องการกินการอยู่สองเรื่องข้างต้นแล้ว ผมก็รู้ตัวดีว่า ด้วยฐานะความเป็นข้าราชการบำนาญของผม ทำให้ผมมีสิทธิได้รับการรักษาพยาบาลจากสถานพยาบาลของทางราชการโดยเสียค่าใช้จ่ายน้อยที่สุด เพราะส่วนใหญ่แล้วหลวง คือราชการท่านจ่ายให้ ส่วนที่เกินสิทธิจึงเป็นเรื่องของเราต้องรับผิดชอบ จากประสบการณ์เท่าที่ผ่านมาจนถึงเวลานี้วัยนี้ ก็ยังไม่เดือดร้อนอะไรมากมายครับ

ท่านที่รู้จักตัวเป็นๆ หรือตัวจริงของผม ย่อมเป็นพยานได้แน่นอนว่าผมเป็นคนนุ่งเจียมห่มเจียม ซึ่งเป็นสำนวนโบราณอันมีความหมายตามความเข้าใจของผมว่า แต่งตัวไม่ฟุ้งเฟ้อเห่อเหิม เสื้อผ้ามีแน่นเต็มตู้ก็จริงแต่ไม่ใช่เสื้อผ้าราคาแพงมหัศจรรย์ และเก็บไว้เต็มตู้ก็ด้วยความงกเสียมากกว่า เพราะอันที่จริงผมน่าจะบอกตัวเองได้ว่า เสื้อผ้าประมาณเกินกว่าครึ่งตู้ ใส่ไม่ได้เสียแล้ว

ถ้าไม่ใช่เพราะผ้าหดก็เพราะผมตัวอ้วนขึ้นนั่นแหละ

แต่คนเรามีความฝันลมๆ แล้งๆ ว่า สักวันหนึ่งเราจะกลับไปผอมเหมือนเดิม ฝันบ้าฝันบออะไรก็ไม่รู้

 

สังเกตไหมครับว่าที่ผมพูดมาช่วงนี้ อันที่จริงแล้วก็เป็นเรื่องปัจจัยสี่ที่เคยเรียนหนังสือกันมาตั้งแต่เด็กนั่นเอง ปัจจัยสี่ที่เป็นของสำคัญยิ่งสำหรับมนุษย์ทุกคน ได้แก่ อาหาร ที่อยู่อาศัย ยารักษาโรค และเครื่องนุ่งห่ม

ปัจจัยสี่ประการนี้เป็นของสำคัญสำหรับการดำรงชีพ ไม่มีใครหลีกเลี่ยงความจำเป็นเหล่านี้ได้

แต่อย่างที่ว่ามาล่ะครับ มนุษย์จำนวนหนึ่งซึ่งหมายความรวมถึงผมด้วย มีความสามารถหรือความพร้อมที่จะเข้าถึงปัจจัยสี่นั้นได้ด้วยตัวเองโดยไม่อยากลำบาก นี่มิพักต้องพูดถึงคนที่เข้าถึงจนเหลือเฟือนะครับ

เพราะฉะนั้น ถ้าพูดในเชิงวิเคราะห์แล้ว ผมจึงมีความเห็นว่า นโยบายที่พูดกันมานานปีด้วยความเห็นด้วยเห็นต่างอะไรก็แล้วแต่เรื่อง “30 บาทรักษาทุกโรค” จึงเป็นการคิดนโยบายที่เข้าเป้าอย่างตรงไปตรงมา

และเป็นเหตุผลที่อธิบายได้ง่ายว่า ทำไมพรรคการเมืองที่เปลี่ยนชื่อมากี่ตลบแล้วก็ไม่รู้ผู้เป็นเจ้าของนโยบายเรื่องนี้จึงยังได้รับคะแนนนิยมต่อเนื่องมาจนถึงทุกวันนี้

เป้าที่ว่านั้น คือปัจจัยสี่ข้อที่ว่าด้วยยารักษาโรค

นโยบายอีกเรื่องหนึ่งที่เพิ่งมีการแถลงต่อสาธารณะจากพรรคการเมืองที่ไม่ต้องออกชื่อแต่ก็รู้กันอยู่ว่าพรรคอะไร ฮา! เกี่ยวกับเรื่องนโยบายที่อยู่อาศัยราคาถูกแบบห้องในอาคารชุดหรือบ้านเดี่ยว ที่ผ่อนส่งในราคาไม่เกินกำลังทรัพย์ของคนเริ่มทำงานเป็นระยะเวลายาว 30 ปีแต่มีสิทธิอยู่ได้ในที่พักอาศัยดังกล่าวได้นาน 90 ปี

เป้าที่สองนี้คืออะไรหรือครับ ไม่ใช่อื่นไกล คือปัจจัยสี่ข้อที่ว่าด้วยเรื่องที่อาศัยนั่นเอง

 

ปัจจัยสี่ผ่านไปสองข้อแล้ว ยังเหลืออีกสองข้อ คืออาหารข้อหนึ่ง กับเครื่องนุ่งห่มอีกข้อหนึ่ง

พรรคการเมืองไหนจะคิดนโยบายที่แทงทะลุหัวใจในเรื่องปัจจัยอีกสองข้อที่ว่านี้ก็ลองคิดกันดูนะครับ แต่แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะมีความซับซ้อนซ่อนเงื่อนอยู่มาก เอาก็จริงแล้ว อาจจะต้องกล่าวถึงภาพรวมที่เป็นเศรษฐกิจของประเทศไทยมากกว่า ว่าทำอย่างไรจึงสามารถทำให้คนมีรายได้สม่ำเสมอ และเพียงพอที่จะมีอาหารการกินได้ครบมื้อ มีเสื้อผ้าเครื่องนุ่งห่มที่เหมาะสมกับอัตภาพ

การคิดแจกอาหารทุกมื้อ แจกเสื้อผ้าทุกวัน เป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว

เผลอตัวไปเพียงครู่เดียว อายุสภาผู้แทนราษฎรชุดปัจจุบันก็ผ่านมาถึงปีครึ่งแล้ว อีกไม่กี่เดือนข้างหน้าก็ผ่านหลักกิโลเมตรบอกครึ่งของระยะทาง

ผมเข้าใจว่าทุกพรรคการเมืองต่างเห็นพ้องกันว่าการเลือกตั้งครั้งหน้าใกล้เข้ามาทุกวันทุกคืน ในเวลาที่เหลืออยู่ต้องเร่งทำงานกันให้จงหนัก ทั้งฝ่ายค้านฝ่ายรัฐบาลจึงจ้องตากันไม่กะพริบว่าใครจะมาไม้ไหนกันบ้าง

ระหว่างที่เขาจ้องตากันนี้ ช่วยกันคิดหน่อยได้ไหมครับว่า กริ่งร้องเรียกความสนใจที่จะต้องติดตั้งในห้องนอนผมจะติดไว้ตรงไหน ติดเอาไว้สักสิบอันดีไหมครับ ไม่ว่าจะล้มหรือตัวเอนไปข้างไหน ปีลายนิ้วมือจะได้กดกริ่งได้ทุกทีไปโดยไม่ต้องคืบคลานไปหากริ่งให้ยุ่งยาก

แค่คิดติดกริ่งก็มันส์เสียแล้วสิเรา