ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 3 - 9 มกราคม 2568 |
---|---|
เผยแพร่ |
ตลอดปี 2567 อาจพูดได้ว่าวุ่นวายหนัก แค่การเมืองไทยก็ปั่นป่วน ทำประชาชนขาดความเชื่อมั่นและส่งผลต่อภาพลักษณ์ในเวทีโลก ท่ามกลางความผกผันที่เกิดขึ้นรอบบ้านเรา
ยิ่งการกลับมาของโดนัลด์ ทรัมป์ เป็นผู้นำสหรัฐสมัยที่ 2
และอีกหลายเหตุการณ์ที่สร้างความแปลกใจจนมาถึงเดือนสุดท้ายของปี
ไทยจะเอาตัวรอด
กับโลกในปีหน้าที่ลำบากกว่าเดิมยังไง
ปี 2567 ถ้าให้นิยามสถานการณ์ในขณะนี้ เราได้เข้าสู่ภาวะ “วิกฤตเซิงซ้อน” (Polycrisis) แล้ว โดย “ไมเคิล อัลเบิร์ต” นักวิชาการการเมืองสิ่งแวดล้อมจากมหาวิทยาลัยเอดินเบิร์ก สกอตแลนด์ ใช้คำนี้ (จริงๆ เรียกแบบเต็มว่า “วิกฤตเชิงซ้อนสะเทือนดาว” (Planetary Polycrisis)) เพื่อนิยามระบบโลกที่เราใช้กันอยู่ ต้องรับมือวิกฤตซ้อนกันเป็นชั้น
ตั้งแต่ความเกลียดชังในกลุ่มคนในชุมชน ความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจ-สังคม
การเมืองสุดโต่งที่ฝ่ายขวา-อำนาจนิยมผงาดขึ้นในหลายประเทศ สงครามน้อยใหญ่ที่ดำเนินอยู่และจะเกิดขึ้นในไม่ช้า
การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ในระดับล้ำหน้ากว่าที่เราฝัน ทรัพยากรขาดแคลน และภาวะโลกเดือด จากการสร้างความเจริญของมนุษย์ที่ส่งผลเกิดภัยธรรมชาติสุดขั้ว และอุณหภูมิโลกที่เพิ่มขึ้นในระดับที่ไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขได้อีก
ในท่ามกลางวิกฤตเหล่านี้ สงครามน้อยใหญ่ก็รวมอยู่ด้วย ทั้งสงครามรัสเซีย-ยูเครนที่ทรัมป์ประกาศจะยุติ ก็ดูกลายเป็นว่าอาจเป็นเพียง “สันติภาพจอมปลอม” คั่นเวลา
สงครามการค้าสหรัฐ-จีนรอบใหม่ วิกฤตนิวเคลียร์เกาหลีเหนือ ความตึงเครียดช่องแคบไต้หวันและทะเลจีนใต้
สิ่งนี้ยังท้าทายโลกและไทย แต่ที่คาดไม่ถึงคือสงครามกลางเมืองซีเรีย เพียงเพราะรัฐบาลของบาชาร์ อัล-อัสซาด ที่ไร้พี่ใหญ่คอยช่วย ทั้งรัสเซียที่ติดพันสงครามในยูเครนที่ผลาญกำลังพลและอาวุธไปมาก และอิหร่านก็หน่วงกับการหนุน “3 ฮ” (ฮิลบุลเลาะห์-ฮามาส-ฮูตี)
แล้วก็ถูกอิสราเอลและชาติตะวันตกตอบโต้หนัก ทำให้ต้องถึงกับพ่ายให้กับฝ่ายต่อต้านที่ความขัดแย้งหนึ่งสิ้นสุดแต่ความขัดแย้งใหม่จากกลุ่มคลั่งศาสนาอาจทำให้ตะวันออกกลางยังวุ่นวายต่อ
แต่การล่มสลายของรัฐบาลอัสซาดในซีเรีย สอนเราให้รู้ว่า มหาอำนาจทั้งเล็กใหญ่ย่อมมีวันขาลง ประเทศบริวารที่ปกครองแบบเผด็จการและหวังให้พี่ใหญ่คุ้มหัว แล้ววันหนึ่งโดนทิ้งหรือลดการช่วยเหลือ ล้วนพบจุดจบที่ไม่สวย
และสิ่งนี้กำลังเกิดขึ้นกับเมียนมา รัฐบาลทหารที่เพลี่ยงพล้ำศึกให้กับกองทัพปฏิวัติ ก็ได้พี่ใหญ่จีนที่มีอิทธิพลในรัฐฉานก็ตัดสินใจช่วยมิน อ่อง ลาย ผู้นำรัฐบาลทหาร
ส่วนปัจจัยเสี่ยงระดับโลกด้านอื่นๆ ที่สำคัญไม่แพ้กันคือ การขยายตัวของข่าวปลอมที่สร้างความเข้าใจผิดและก่อความขัดแย้งรุนแรง ภัยคุกคามไซเบอร์ทั้งการแฮ็กเจาะระบบ การสแกมออนไลน์ แก๊งคอลเซ็นเตอร์ ที่ระบาดลุกลามไม่หยุด
แต่ที่ผิดคาดที่สุด เห็นจะเป็นโอกาสเกิดมหาสงครามครั้งใหม่ เพราะสงครามที่ดำเนินอยู่ได้บั่นทอนสมรรถนะทางทหารของประเทศที่ถูกจัดว่าเป็น “ฝ่ายอักษะใหม่” อย่างรัสเซีย อิหร่าน จีน และเกาหลีเหนือ
จีนแม้ตอนนี้จะมีอำนาจทางทหารที่สูงขึ้นเรื่อยๆ ก็ยังไม่มีสัญญาณถึงการทำสงครามใดๆ เพราะรู้ตัวว่ายังไม่พร้อม จึงทำได้แค่ทำสงครามปั่นประสาททั่วพื้นที่พิพาทเพื่อสร้างสถานะการครอบครองที่ยังไงหลายชาติไม่ยอมรับได้
ปี 2568 โลกเต็มไปด้วยความไม่แน่นอน
สําหรับประเทศไทย การต่างประเทศของเราปีนี้คือเงาสะท้อนของการเมืองภายใน ที่วุ่นวาย สับสน ไล่ตั้งแต่ผู้นำรัฐบาลอย่างเศรษฐา ทวีสิน ถูกสอยตกเก้าอี้ฐานผิดจริยธรรม แล้วตัดสินในวันที่ไทยมีการประชุมระหว่างประเทศที่สำคัญและผู้นำรัฐบาลต้องเข้าร่วมเพื่อสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ซึ่งไม่ควรเกิดขึ้นเลย
ต่อคือรัฐมนตรีต่างประเทศ คุณปานปรีย์ พหิทธานุกร ตัดสินใจลาออกหลังประกาศปรับคณะรัฐมนตรีเพียงไม่กี่วัน จากที่นั่งเป็นรองนายกรัฐมนตรีควบเจ้ากระทรวงบัวแก้ว กลับเหลือแค่รัฐมนตรี ท่ามกลางข่าวลือปมขัดแย้งอำนาจหน้าที่ หลักการทำงานการทูตระหว่างประเทศ ไปจนถึงเกมก๊กการเมืองที่ต้องการเปลี่ยนตัวให้คนของตัวเองเข้ามา กระทั่งที่ปรึกษาของปานปรีย์ อย่าง “ทูตปู” มาริษ เสงี่ยมพงษ์ ได้มานั่งต่อ
สำหรับทูตปู มีความใกล้ชิดกับทักษิณและครอบครัวชินวัตรมานาน ตั้งแต่เริ่มทำงานอยู่ในทำเนียบรัฐบาลช่วงที่ทักษิณเป็นนายกรัฐมนตรีสมัยแรก ก่อนโดดไปทำงานในบัวแก้ว
แหล่งข่าวในบัวแก้วได้ให้ข้อมูลว่า ทูตปูช่วงทำงานในกระทรวงก็มักทำตัวเงียบๆ ไม่ค่อยมีเพื่อน ไม่สุงสิงกับใคร ทำให้ความก้าวหน้าในการงานของเขา ต่างจากธรรมเนียมของบัวแก้วที่ว่าเป็นเด็กสังกัดใคร ทูตปูกลับได้เป็นรัฐมนตรีท่ามกลางข้อกังขาว่ามีความใกล้ชิดกับตระกูลชินวัตร และแสดงฝีมือไม่สมกับเป็นรัฐมนตรีต่างประเทศ แต่เหมือนทำตามคำสั่งผู้นำรัฐบาลมากกว่า
พอมาเป็นนายกฯ “แพทองธาร ชินวัตร” ที่เชื่อมั่นแบบผิดๆ กับนโยบายซอฟต์เพาเวอร์ และใช้ความหมายแบบที่ โจเซฟ ไนย์ เจ้าของทฤษฎีก็ยังอึ้ง กลับไม่สามารถทำให้เห็นว่าเป็นนโยบายที่ส่งผลต่อการพัฒนาประเทศอย่างมีนัยสำคัญ แถมไม่ดูทิศทางลมในการเชื่อมสัมพันธ์กับกลุ่มประเทศที่ตอนนี้แบ่งขั้วกันชัดเจน
อย่างเช่น การร่วมประชุม BRICs ที่คาซาน รัสเซีย ก็เลือกไปเพียงเพื่อสร้างภาพว่าไทยเข้าได้กับทุกประเทศ แต่การถลำตัวถึงขั้นเป็นหุ้นส่วน จะกลายเป็นความผิดพลาดครั้งใหญ่ในอนาคต
ปีหน้า ไทยต้องพบกับความท้าทายทั้ง การล้อมกรอบทางภูมิรัฐศาสตร์ที่จีนพยายามแผ่ลงมา เศรษฐกิจไทยที่เสี่ยงโดนผลกระทบจากนโยบายสงครามการค้าของสหรัฐ
ยังมีโจทย์เก่าที่ตามหลอนต่อคือ สงครามกลางเมืองเมียนมา
เหตุโจมตีเรือประมงและจับลูกเรือ กับว้าแดงตั้งฐานรุกล้ำแดน ซึ่งเราทราบกันดีว่า รัฐบาลจีนหนุนทั้งรัฐบาลทหารพม่าและกลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐฉาน โดยเฉพาะว้าแดง แต่ก็มีความซับซ้อนกว่านั้นตรงที่ จีนหนุนชาติพันธุ์ในรัฐฉานก็คนละสาย นั่นคือ กลุ่มชาติพันธุ์ในรัฐฉานเหนือใกล้ชิดกับพรรคคอมมิวนิสต์จีนสายยูนนาน ส่วนว้าแดงนั้นแม้ใกล้ชิดสายยูนนานในระดับหนึ่ง แต่แน่นแฟ้นกับสายปักกิ่ง (หรือรัฐบาลจีน) มากกว่า เพราะว้าแดงรากเดิมมาจากพรรคคอมมิวนิสต์พม่า
แหล่งข่าวประเมินว่า การตั้งฐานรุกล้ำแดนไทย อาจไม่ใช่เรื่องความเข้าใจผิด หรือถือแผนที่คนละฉบับ ยิ่งจีนพยายามมีอิทธิพลในพม่าในฐานะประเทศยุทธศาสตร์ของบีอาร์ไอด้วยแล้ว สิ่งที่เราเห็นคือ “การทดสอบ” ประเมินศักยภาพรัฐบาลและฝ่ายความมั่นคงของไทย ที่ถูกวางไว้อย่างมีแบบแผนและใจเย็น และจะเกิดลักษณะนี้ขึ้นอีก จนกลายเป็นเรื่องปกติ (ทั้งที่สิ่งนี้ไม่ปกติ)
ฟังดูเหมือนทฤษฎีสมคบคิด
แต่ถึงตอนนี้อะไรก็เกิดขึ้นได้
ถ้าถามว่าปีหน้ารัฐบาลไทยพร้อมแค่ไหน เอาแค่ตอนนี้คือ รับมือได้เชื่องช้า ปัญหาตัวประกันในอิสราเอลก็ยังแก้ไม่จบ ปัญหาข้างบ้านก็สุ่มเสี่ยงเสียประโยชน์ แล้วคิดทำเวทีเจรจาเพื่อยุติสงครามกลางเมืองเมียนมาที่ต่างฝ่ายต้องการเห็นอีกฝ่ายล่มสลาย แถมมีจีนที่เกี่ยวข้องเต็มตัวอีก สงครามกลางเมืองพม่า จะวัดฝีมือการต่างประเทศไทยว่า จะกลับมาเป็นพี่ใหญ่ในภูมิภาคหรือเป็นได้แค่ตัวประกอบ
ฝันใฝ่จะเป็นมหาอำนาจกลาง แต่กลับเลือกใช้นโยบายไผ่ลู่ลม แถมเป็นไผ่ที่รากเปราะจวนขาดสะบั้น การต่างประเทศไทยปีนี้หรือปีหน้า ยังไงก็คงความพูดอย่างทำอีกอย่าง
การก้าวเป็นชาติอำนาจกลางในภูมิภาค ไม่ใช่แค่การไปแวะบินเจรจาหรือร่วมประชุมเพื่อมีภาพถ่ายโดยไม่คิดหน้าคิดหลัง
แต่ต้องมียุทธศาสตร์ที่ชัดเจน รัฐบาลมีความกล้าหาญทางการเมืองที่ยึดมั่นในระเบียบสากล ซึ่งต้องมาพร้อมกับการเสริมสร้างความเข้มแข็งภายในประเทศ เป็นพี่ใหญ่พึ่งได้ให้กับประเทศรอบข้าง
หากดูพารามิเตอร์ Asia Power 2024 ของสถาบันโลวี ไทยมีอิทธิพลในเศรษฐกิจและวัฒนธรรมต่อประเทศเพื่อนบ้านโดยรอบอย่างมาก ซึ่งสามารถใช้เป็นจุดแข็งให้กับไทยได้
ทว่า เสถียรภาพรัฐบาลแพทองธารในปีหน้าช่างเปราะบาง ตามข้อมูลของ The Economist World Ahead 2025 รัฐบาลนี้ขึ้นสู่อำนาจท่ามกลางการเผชิญหน้ากันของกระแสกลุ่มกษัตริย์นิยมกับกลุ่มปฏิรูปที่หนักขึ้น ซึ่งปัจจัยนี้ยังคงส่งผลต่อทิศทางการเมืองไทย
ดังนั้น การต่างประเทศไทยจะเปลี่ยนได้ การเมืองไทยต้องเปลี่ยนก่อน แต่ไม่น่าเกิดได้ในรัฐบาลชุดนี้
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022