ทรัมป์และโลก 2025 การเมืองอเมริกากับภูมิรัฐศาสตร์โลก

ศ.กิตติคุณ ดร.สุรชาติ บำรุงสุข

“ทรัมป์ไม่เคยเป็นคนมองโลกในแบบของคิสซิงเจอร์ และเขาไม่เคยแม้แต่จะพูดกับสาธารณชนชาวอเมริกันด้วยภาษาหรูๆ ของคำว่า ‘มหายุทธศาสตร์’…”

Frederick Kempe (November 2024)
The Atlantic Council

 

หลังจากโดนัลด์ ทรัมป์ สาบานตัวเข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีอย่างเป็นทางการแล้ว เขาจะเผชิญโจทย์ใหญ่ที่หลีกเลี่ยงไม่ได้คือ ปัญหาในการเมืองโลก หรือเรียกด้วยภาษาในปัจจุบันก็คือ ประธานาธิบดีทรัมป์จะตกอยู่ในวงล้อมของปัจจัย “ภูมิรัฐศาสตร์โลก” อย่างแน่นอน

เพราะเขาคือผู้นำของรัฐมหาอำนาจใหญ่ ที่หลายฝ่ายล้วนเฝ้าจับตาดูนโยบายต่างประเทศและความมั่นคงของยุค “ทรัมป์ 2” ที่จะส่งผลต่อการเมืองโลกในอนาคตของปี 2025 อย่างน่าสนใจ

แต่หากพิจารณาดูแล้ว อาจกล่าวได้ว่าสถานการณ์ความมั่นคงระหว่างประเทศที่รอเขาอยู่นั้น น่าจะหนักหน่วงมากกว่ายุค “ทรัมป์ 1” (2017-2020) โดยเฉพาะความท้าทายเฉพาะหน้า 3 ประการของผู้นำอเมริกันในปี 2025 ได้แก่ ปัญหาสงครามรัสเซีย-ยูเครน ปัญหาสงครามของอิสราเอล (ทั้งในกาซาและในเลบานอน) และสถานการณ์ความตึงเครียดในเอเชีย (ทั้งช่องแคบไต้หวัน ปัญหาเกาหลีเหนือ และทะเลจีนใต้)

ปัญหาสงครามและความตึงเครียดใน 3 ภูมิภาคเช่นนี้ ท้าทายและรอผู้นำที่ทำเนียบขาวที่จะเข้ามาเป็น “ผู้เล่น” ที่สำคัญในอนาคต

 

ภูมิทัศน์ใหม่

ดังได้กล่าวมาแล้วว่าโจทย์ในยุค “ทรัมป์ 2” นั้นยากกว่าในยุคแรกมาก เพราะมี “ภูมิทัศน์ใหม่” ที่เป็นผลอย่างสำคัญจากพัฒนาการของสถานการณ์สงครามยูเครน ที่เกิดในเดือนกุมภาพันธ์ 2022 เป็นด้านหลัก เพราะทำให้เกิดการแบ่งโลกเป็น 2 ค่ายอย่างเห็นได้ชัด

และในการแบ่งเช่นนี้เห็นถึงการจัดกลุ่มพันธมิตรใหม่อย่างชัดเจน คือ “จตุรมิตรแห่งการต่อต้านตะวันตก” หรืออาจจะเรียกในบริบทของการเมืองโลกคือ “จตุรมิตรตะวันออก” ได้แก่ จีน รัสเซีย เกาหลีเหนือ และอิหร่าน ซึ่งต่างให้ความสนับสนุนต่อการทำสงครามของรัสเซียในยูเครนในทางหนึ่งทางใดอย่างไม่ปิดบัง

ในอีกด้านของปัญหาสงครามยูเครน ที่เกิดการใช้กระสุนปืนใหญ่เป็นจำนวนมาก และก่อให้เกิดสภาวะ “วิกฤตกระสุน” ดังเช่นตัวแบบที่เกิดในยุคสงครามโลกครั้งที่ 1 มาแล้ว

ความขาดแคลนกระสุนเช่นนี้กลายเป็น “ปัจจัยบังคับ” สำคัญให้รัสเซียต้องแสวงหาพันธมิตร เพราะการแซงก์ชั่นของตะวันตกทำให้ขีดความสามารถของการผลิตอาวุธรัสเซียประสบปัญหามาก

จนทำให้เกิดการสร้าง “จตุรมิตรตะวันออก” เพื่อเป็นทางออกที่สำคัญ ในการสนับสนุนให้รัสเซียดำรงสถานะสงครามในยูเครนต่อไปได้ เพราะเศรษฐกิจรัสเซียฝ่ายเดียวไม่สามารถแบกรับสงครามยูเครนได้อย่างต่อเนื่อง

เราอาจต้องยอมรับในอีกมุมหนึ่งว่า ถึงแม้กมลา แฮร์ริส จากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้งในวันที่ 5 พฤศจิกายน 2024 ความท้าทายจากภูมิทัศน์ใหม่ดังที่กล่าวแล้ว ก็ไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด

โดยเฉพาะความท้าทายสำคัญเฉพาะหน้าเกิดจากการที่กำลังรบของเกาหลีเหนือเข้าไปร่วมรบกับกองทัพรัสเซียในสงครามยูเครน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่เคยเกิดมาก่อนในยุคสงครามเย็น ที่กำลังรบจากเกาหลีเหนือจะเข้าไปสนับสนุนสงครามของรัสเซียในสนามรบยุโรป

เพราะทำให้เกิดการเชื่อมต่อของปัญหาสงครามในยุโรปกับความขัดแย้งในเอเชียอย่างน่ากังวล

ดังที่มีการกล่าวให้เห็นภาพใหม่ของสงครามยูเครนว่า รัสเซียมีกำลังพลของกองทัพเกาหลีเหนือเข้าทำการรบกับทหารยูเครน และใช้โดรนของอิหร่านในการโจมตีเมืองของยูเครน

ขณะเดียวกันอาวุธของรัสเซียก็ใช้อุปกรณ์บางส่วนจากจีน พร้อมกันนี้รัสเซียก็ขายน้ำมันราคาถูกให้จีน…

ภาพการเชื่อมต่อทางยุทธศาสตร์ของฝ่ายตะวันออกทั้ง 4 ประเทศ จึงท้าทายอย่างมากว่า ผู้นำสหรัฐจะกำหนดนโยบายต่อภูมิทัศน์ใหม่นี้อย่างไร

นอกจากนี้ ความแตกต่างที่สำคัญระหว่างชัยชนะของเดโมแครตกับรีพับลิกัน คือเป็นที่รับทราบกันอยู่ว่า การดำเนินนโยบายของประธานาธิบดีทรัมป์นั้นเป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ อีกทั้งคาดการณ์ไม่ได้ว่า นโยบายอเมริกันต่อชาติพันธมิตรที่สำคัญ

เช่น ต่อพันธมิตรนาโตนั้น จะเป็นไปในลักษณะใด อีกทั้งทรัมป์จะมีนโยบายต่อปัญหาสงครามยูเครนไปในทิศทางใด ในทางกลับกัน หากพรรคเดโมแครตชนะการเลือกตั้ง ก็พอคาดเดาได้ว่านโยบายด้านความมั่นคงระหว่างประเทศของแฮร์ริสจะเป็นไปในทิศทางใด และอาจจะไม่แตกต่างจากนโยบายยุคไบเดนมากนัก

อย่างไรก็ตาม จุดสำคัญของนโยบายทางยุทธศาสตร์ของอเมริกาวางอยู่บนรากฐานที่สำคัญของการสร้างระบบพันธมิตรระหว่างประเทศ ซึ่งอาจกล่าวได้ว่าหนึ่งในปัจจัยแห่งชัยชนะของสหรัฐในยุคสงครามเย็นคือ การมีระบบพันธมิตรที่เข้มแข็ง ซึ่งหากผู้นำใหม่ของสหรัฐละเลยความสำคัญของปัจจัยเช่นนี้ด้วยการดำเนินนโยบายแบบ “โดดเดี่ยวนิยม” (Isolationism) แล้ว ภูมิทัศน์ความมั่นคงโลกจะเปลี่ยนไปจากเดิมอย่างแน่นอน

และจะกระทบต่อการจัดวางสถานะของฝ่ายตะวันตกในเวทีโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

เนื่องจากหากย้อนกลับไปสู่การดำรงสถานะของโลกตะวันตกในบริบทของสงครามแล้ว จะเห็นถึงบทบาทในการเป็น “แกนกลาง” ในการต่อสู้กับมหาอำนาจฝ่ายตรงข้ามมาโดยตลอด ไม่ว่าจะเป็นในสงครามโลกครั้งที่ 1 ครั้งที่ 2 และสงครามเย็น

ทิศทางการต่อสู้

หากพิจารณาจากคู่ขัดแย้งของสหรัฐในเวทีโลกแล้ว จะเห็นถึงบทบาทของประเทศทั้ง 4 ที่มีการเชื่อมต่อทางยุทธศาสตร์ จนถือเป็น 4 เป้าหมายหลักทางยุทธศาสตร์ ที่ผู้นำสหรัฐจะต้องกำหนดทิศทางในการต่อสู้

– รัสเซีย : ปฏิเสธไม่ได้เลยว่ารัสเซียมีสถานะเป็น “ภัยคุกคามหลัก” สำหรับสหรัฐและยุโรป ในความหมายของสหภาพยุโรปและนาโต แต่คาดการณ์กันว่า ทรัมป์จะดำเนิน “การทูตแบบส่วนตัว” ในความสัมพันธ์ที่สนิทเป็นการส่วนตัวกับประธานาธิบดีปูติน ซึ่งในมุมหนึ่งการทูตแบบนี้เป็นสิ่งที่ประธานาธิบดีไบเดนไม่มี อันทำให้การสื่อสารระหว่างผู้นำทั้ง 2 ประเทศมีข้อจำกัด

การทูตแบบส่วนตัวเช่นนี้ปรากฏเป็นข่าวว่า หลังจากการเลือกตั้งสหรัฐสิ้นสุดลงแล้ว ทรัมป์ได้สนทนากับปูตินทางโทรศัพท์ ซึ่งมีรายงานข่าวว่าทรัมป์ขอให้ผู้นำรัสเซียไม่ยกระดับสงครามในยูเครน ทั้งยืนยันถึงสถานะของสหรัฐว่ายังคงมีกำลังรบที่ใหญ่ที่สุดอยู่ในยุโรป อย่างไรก็ตาม ในการสนทนาครั้งนี้ ทรัมป์ให้ความสนใจถึงการแสวงหาข้อยุติในปัญหาสงครามยูเครน (ทางการรัสเซียปฏิเสธถึงข่าวการสนทนานี้)

กระนั้น ก็ขึ้นอยู่อย่างมากว่ารัฐบาลอเมริกันในยุค “ทรัมป์ 2” จะดำเนินการในปัญหานี้อย่างไรในอนาคต เนื่องจากมีการคาดเดาว่านโยบายอเมริกันอาจจะเป็นในแบบของการที่วอชิงตันตัดสินใจลดความช่วยเหลือของสหรัฐต่อยูเครนลงอย่างมาก หรืออาจจะทำมากกว่าที่คาดคะเนไว้ แต่อย่างน้อยคงต้องยอมรับว่า ปัญหาสงครามยูเครนนั้นคงต้องถือเป็น “โจทย์ความมั่นคงเฉพาะหน้าที่สำคัญที่สุด” ของสหรัฐ ผลของการแก้ปัญหานี้จะมีนัยอย่างมากกับบทบาทของสหรัฐ ทั้งในเวทีโลกและเวทียุโรป

ผลสำคัญในอีกด้านคือ หากนโยบายของทรัมป์ประสบความล้มเหลวในการจัดการปัญหายูเครนแล้ว สิ่งที่จะเกิดเป็นผลสืบเนื่องคือ รัสเซียอาจจะขยายอำนาจและอิทธิพลในยุโรปมากขึ้น หรือประธานาธิบดีปูตินอาจจะขยายบทบาทของรัสเซียมากขึ้น และถ้ามีความล้มเหลวเช่นนี้เกิดจริงแล้ว อาจทำให้ผู้นำจีนมองเห็นเป็นโอกาสสำหรับการโจมตีไต้หวันในอนาคต

 

– จีน : ในกรณีของจีนนั้น ทรัมป์ดูจะให้ความสนใจกับมิติทางเศรษฐกิจเป็นหลัก โดยเฉพาะการใช้นโยบายกำแพงภาษีสำหรับสินค้าที่นำเข้าจากจีน ซึ่งอาจจะสูงถึงร้อยละ 60 ดังนั้น แนวโน้มของสงครามการค้าระหว่างสหรัฐกับจีน น่าจะเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

สำหรับสงครามการทหารนั้น ประเด็นสำคัญคงอยู่กับปัญหาไต้หวัน แม้ทรัมป์จะไม่ยอมกล่าวอย่างตรงๆ ว่า รัฐบาลอเมริกันในยุคของเขาจะปกป้องไต้หวันจากการบุกของจีนหรือไม่ แต่เขากลับตอบสื่อว่า สถานการณ์เช่นนั้นอาจจะไม่เกิดขึ้น เพราะทรัมป์เชื่อว่าผู้นำจีนจะกล้าไม่เสี่ยง เพราะรู้จักบุคลิกของเขาดี จึงไม่ต้องการเสี่ยงในการทำสงครามกับไต้หวัน เสมือนหนึ่งบุคลิกของผู้นำอเมริกันเป็นดังการ “ป้องปราม” ต่อปัญหาไต้หวัน

อย่างไรก็ตาม จีนที่ทรัมป์ต้องเผชิญหลังจากรับตำแหน่งอย่างเป็นทางการนั้น จะเป็นจีนที่อ่อนแอในทางเศรษฐกิจ ต่างจากในเทอมแรกของเขา (2017-2020)

และสิ่งที่แตกต่างไปจากเก่า คือจีนในปัจจุบันสหรัฐพยายามพึ่งพาน้อยลง การนำเข้าจากสหรัฐเหลือเพียงร้อยละ 13 (ในขณะที่ 6 ปีก่อน การนำเข้าอยู่ที่ร้อยละ 20)

ในอีกด้าน ผลจากปัญหาเศรษฐกิจภายในของจีนทำให้จีนต้องพึ่งพาการส่งออกอย่างมาก ภาวะเช่นนี้คือการที่จีนต้องพึ่งตลาดภายนอก อันอาจกลายเป็นจุดเปราะบางทางเศรษฐกิจของจีนเอง ถ้าการส่งออกเกิดปัญหา

หลายฝ่ายเชื่อว่านโยบายของทรัมป์ต่อจีนที่เน้นในเรื่องของเศรษฐกิจชาตินิยม ด้วยการสร้างกำแพงภาษีและการกีดกันทางการค้านั้น จะมีผลกระทบกับเศรษฐกิจโลกอย่างมาก และอาจส่งผลให้เศรษฐกิจโลกในยุคของทรัมป์มีความผันผวนด้วย

 

– อิหร่าน : คาดได้ไม่ยากว่านโยบายของยุคทรัมป์ต่ออิหร่านจะ “แข็งขึ้น” มาก เมื่อเปรียบเทียบกับยุคไบเดน หรืออาจเห็นถึง “แรงกดดันสูงสุด” ที่สหรัฐเคยใช้มาแล้วในทรัมป์ยุคแรก เช่น การแซงก์ชั่น และมาตรการอื่นๆ หรืออาจเห็นถึงความสุดโต่ง

เช่น การที่เขาสนับสนุนอิสราเอลให้โจมตีโรงงานนิวเคลียร์ของอิหร่าน

และทรัมป์อาจใช้กระทรวงยุติธรรมและสำนักสืบสวนกลาง (FBI) ในกรณีมีข่าวแผนการสังหารทรัมป์ ที่มีความเกี่ยวโยงกับอิหร่าน และอาจรวมถึงการกดดันมากขึ้นต่อปัญหาการพัฒนาด้านนิวเคลียร์ของอิหร่าน ซึ่งเป็นปัญหาที่ค้างคามานานในเวทีระหว่างประเทศ

ในทางกลับกัน ทรัมป์มีท่าทีสนับสนุนอิสราเอลอย่างมาก ดังปรากฏให้เห็นจากยุคแรกของเขา เช่น การสนับสนุนการย้ายเมืองหลวงของอิสราเอล และยังแถลงอย่างชัดเจนด้วยการประกาศในช่วงการหาเสียงว่า เขาเป็น “ผู้ปกป้องอิสราเอล”

ซึ่งทำให้หลายฝ่ายมองว่า การเข้าสู่อำนาจอีกครั้งของทรัมป์ จึงอาจเป็นปัจจัยที่ช่วยสนับสนุนต่อปฏิบัติการทางทหารของอิสราเอลทั้งในกาซา และในเลบานอนภาคใต้

 

– เกาหลีเหนือ : น่าสนใจว่า ทรัมป์จะกำหนดท่าทีต่อผู้นำเกาหลีเหนืออย่างไร

เพราะจากทรัมป์ยุคแรกนั้น เขาอาจมีท่าทีเป็นศัตรูอย่างมากต่อผู้นำเกาหลีเหนือ แต่ในที่สุด เมื่อเกิดการประชุมสุดยอด ที่ประธานาธิบดีทรัมป์และประธานาธิบดีคิมจองอึนได้พบกันถึง 3 ครั้ง (สิงคโปร์ ฮานอย และเขตปลอดทหาร) สำหรับยุคปัจจุบันนั้น เห็นได้ชัดว่าขีดความสามารถของขีปนาวุธและอาวุธนิวเคลียร์ของเกาหลีเหนือได้รับการพัฒนาอย่างมาก

ปัญหาเหล่านี้คือความท้าทายที่สำคัญสำหรับผู้นำของสหรัฐในทางภูมิรัฐศาสตร์โลก

ฉะนั้น จึงน่าสนใจว่า ประธานาธิบดีทรัมป์จะดำเนินการกับปัญหาภูมิรัฐศาสตร์เหล่านี้อย่างไรในปี 2025!