5,000 ปี ‘ฮวงจุ้ย’ กับหลักสถาปัตยกรรม

ดร.จักรกฤษณ์ สิริริน

บทความพิเศษ | จักรกฤษณ์ สิริริน

 

5,000 ปี ‘ฮวงจุ้ย’

กับหลักสถาปัตยกรรม

 

“จีน” พิเคราะห์ว่า “มนุษย์” กับ “ธรรมชาติ” ล้วนเชื่อมโยง-สัมพันธ์กัน ไม่สามารถแยกออกจากกันได้

เพราะ “มนุษย์” ได้รับ “พลัง” จาก “ธรรมชาติ” ตลอดเวลา “จีน” เรียก “พลังธรรมชาติ” ดังกล่าวว่า “ชี่”

“ชี่” เกิดจากความสัมพันธ์ระหว่างแรงโน้มถ่วงโลก กับแรงเหวี่ยงหนีศูนย์ จากการโคจรของดวงดาวต่างๆ ในระบบสุริยะ เช่นเดียวกับ “พลังสนามแม่เหล็กโลก”

“พลังสนามแม่เหล็กโลก” คือธาตุเหล็กใต้โลก สร้างสนามพลังกับแรงโคจร ทำให้ “ชี่” มีอยู่ในทุกสรรพสิ่ง ทั้งมีชีวิต และไม่มีชีวิต โดยส่งผ่านให้แก่กันได้

ไม่ว่าจะเป็น ความร้อน แสงแดด ความเย็น ลม คลื่นเสียง คลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า รังสีต่างๆ โดยทั้งหมดสามารถถ่ายเท และส่งทอดเป็นกระแสต่อกัน

“ชี่” แบ่งออกเป็น 5 ด้าน คือ 1.ไฟ 2.ไม้ 3.น้ำ 4.ทอง และ 5.ดิน รวมเรียกว่า “ธาตุทั้ง 5” แต่ละธาตุถูกกำกับไว้ด้วย “พลังหยิน-หยาง”

ซึ่งเปรียบเสมือน “ขั้วบวก” และ “ขั้วลบ” ที่มีคุณสมบัติตรงข้ามกัน

มีการกำหนด “ธาตุทั้ง 5” และ “พลังหยิน-หยาง” ให้เป็น “ตัวแปรกลาง” เพื่อใช้ในการคำนวณ และใช้อธิบายสรรพสิ่งในโลก

ไล่ตั้งแต่ ฤดูกาล กลางวัน กลางคืน ภัยธรรมชาติ ปรากฏการณ์ธรรมชาติ โรคภัยไข้เจ็บ รสชาติอาหาร เพศสภาพ และความตาย

โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การกำเนิดพืชนานาพรรณ และสัตว์นานาชนิด หยาดฝน หยดน้ำค้าง หิมะ

ขณะเดียวกัน ยังถูกนำมาเชื่อมโยงกับรูปลักษณ์ของสรรพสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นสีแดง และสามเหลี่ยม หมายถึง ธาตุไฟ สีเขียว หมายถึง ธาตุไม้ ทรงกลม หมายถึง ธาตุทอง

โดยแต่ละสี และรูปทรง ล้วนมีย่านความถี่แตกต่างกัน ซึ่งแต่ละย่านความถี่ จะส่งผลกระทบต่อมนุษย์แตกต่างกัน

แม้ว่า “ชี่” จะไหลเวียนอยู่รอบกาย และพุ่งเข้าหามนุษย์ตลอดเวลา ทว่า ผลกระทบที่เกิดกับแต่ละคนนั้น แตกต่างกันอย่างแน่นอน

นี่คือที่มาของ “ฮวงจุ้ย” ที่ระบุว่า ผลจากการรับ “ชี่” ที่แตกต่างกันในมนุษย์ ขึ้นอยู่กับปัจจัย 3 ประการ ได้แก่ 1.ชะตาฟ้า 2.ชะตามนุษย์ และ 3.ชะตาดิน

 

“ฮวงจุ้ย” เป็นศาสตร์โบราณ ที่ผ่านการค้นคว้า ศึกษา เก็บสถิติ เพื่อเปิดให้ผู้ที่ “ชะตาฟ้า” “ชะตาดิน” ไม่อำนวย สามารถปรับแก้ไขให้กลับมาดีได้

“ชะตาฟ้า” หรือ ดวงชะตาของมนุษย์ เมื่อแรกเกิด เรามีพลังงานชุดใดประจุในร่างกาย และจะส่งผลอย่างไรในแต่ละช่วงอายุ

“ชะตามนุษย์” คือสิ่งที่เราสร้างขึ้นเอง ประกอบด้วยหลายปัจจัย เช่น วิชาความรู้ ทักษะความสามารถ ประสบการณ์ และความมุ่งมั่นต่างๆ

“ชะตาดิน” หรือ “ฮวงจุ้ย” คือพลังงานของสภาพแวดล้อมที่ส่งผลต่อมนุษย์

รวมเรียกว่า “ฮวงจุ้ย” 風水 “ฟ้า คน ดิน”

“ชะตาฟ้า” “ชะตามนุษย์” และ “ชะตาดิน” หากเปรียบกับวิทยาศาสตร์ “ชะตาฟ้า” คือรูปแบบความสัมพันธ์ของกาลเวลา หรือ Time และ “ชะตาดิน” คือรูปแบบความสัมพันธ์ของสถานที่ หรือ Space

อย่างไรก็ดี “ฮวงจุ้ย” มี “ชะตามนุษย์” หรือ People แทรกอยู่ตรงกลางระหว่าง “ชะตาฟ้า” และ “ชะตาดิน”

“ฮวงจุ้ย” จึงประดุจดั่งสูตรคำนวณเพื่อค้นหาตำแหน่งที่ “ถูกกาลเวลา” และ “ถูกสถานที่” ของ “มนุษย์”

แปลไทยเป็นไทยก็คือ เมื่อ “เวลา” และ “สถานที่” เหมาะสม “มนุษย์” จะพบกับ “ชี่” ที่เหมาะสมนั่นเอง

 

อุปมาอุปไมย “ฮวงจุ้ย” กับแก้วใส่น้ำ ที่วางอยู่กลางห้องในฤดูร้อน อุณหภูมิที่ร้อน ทำให้น้ำในแก้วร้อนตาม แต่เมื่อแก้วใส่น้ำ วางอยู่กลางห้องในฤดูหนาว อุณหภูมิที่เย็นทำให้น้ำในแก้วเย็นตาม

ในมุม “ฮวงจุ้ย” Time คือฤดูกาล น้ำขึ้น น้ำลง ผลจากการโคจรของดวงจันทร์ โลกที่หมุนรอบตัวเอง และโลกหมุนรอบดวงอาทิตย์ รวมถึงการโคจรของดาวเคราะห์ทั้งหมดในระบบสุริยะ ก่อให้เกิดสนามแม่เหล็ก และปรากฏการณ์ต่างๆ ทางธรรมชาติ

“จีน” แบ่ง Time เป็น 12 นักษัตร และแบ่ง 1 ปีเป็น 12 เดือน หรือ 4 ฤดูกาล และในหนึ่งวันแบ่งเป็น 12 ยาม ห้วงเวลาที่ต่างกัน เช่น น้ำขึ้น น้ำลง ทำให้ต้นกำเนิด “ชี่” มีความต่างกัน

เช่น ปีชวด เป็นชี่ธาตุน้ำ ฤดูใบไม้ผลิ เป็นชี่ธาตุไม้ ฤดูร้อน เป็นชี่ธาตุไฟ หรือเวลา 3 ทุ่มถึงเที่ยงคืน เป็นชี่ธาตุน้ำ เป็นต้น

จะเห็นได้ว่า Time คือเวลาของธรรมชาติ ที่ดำเนินมาอย่างสม่ำเสมอ นับเนื่องกันมาเป็นวัฏจักร ซึ่งอยู่เหนือการควบคุมของมนุษย์ทั้งมวล

ในมุม “ฮวงจุ้ย” Space คือทิศทั้ง 8 ที่ให้กำเนิด “ชี่” ที่ต่างกัน ประกอบด้วย ทิศเหนือ “ธาตุน้ำ” ทิศตะวันออกเฉียงเหนือ “ธาตุดิน” ทิศตะวันออก “ธาตุไม้” ทิศตะวันออกเฉียงใต้ “ธาตุไม้”

ทิศใต้ “ธาตุไฟ” ทิศตะวันตกเฉียงใต้ “ธาตุดิน” ทิศตะวันตก “ธาตุทอง” ทิศตะวันตกเฉียงเหนือ “ธาตุทอง”

“กระแสชี่” ที่ไหลมาตามทิศทางลม ตามแสงสว่าง หรือละอองน้ำ สามารถควบคุมได้ โดยออกแบบชัยภูมิ และรูปทรงอาคาร ให้รับ “ชี่” ตามความเหมาะสมกับผู้อยู่อาศัย

 

ในมุม “ฮวงจุ้ย” People คือ “ดวง” เนื่องจาก “จีน” วิเคราะห์ว่า “ชะตามนุษย์” เกิดจากผลกระทบของดวงดาวที่แตกต่างกันในแต่ละบุคคล

โดยวินาทีที่ชีวิตถือกำเนิดขึ้น จะมีการประจุ “ชี่แต่ละธาตุ” เข้าไปในร่างกาย พร้อมกับส่วนผสมทางพันธุกรรม

โดยมีปัจจัยภายนอกคือการเลี้ยงดู การอบรมบ่มนิสัย ฝึกฝนทักษะ ความรู้ ความสามารถ ประสบการณ์ ดังนั้น มนุษย์แต่ละคนจึงมี “ชี่” และปฏิกิริยาการตอบสนองต่อ “ชี่” ที่แตกต่างกัน

“ฮวงจุ้ย” กับ “สถาปัตยกรรมศาสตร์” มีรากเหง้ามาจากองค์ความรู้ด้านการออกแบบ และการบริหารจัดการสถานที่ โดยคำนึงถึงปัจจัยแวดล้อมที่ส่งผลกระทบต่อสถาปัตยกรรม

“สถาปนิก” ออกแบบอาคารเพื่อตอบสนองความเหมาะสมของการอยู่อาศัยในเชิงกายภาพ ผ่านการวิเคราะห์หลายปัจจัย ไล่ตั้งแต่ ช่องลม ช่องแสง ไปจนถึงสภาพพื้นที่ ก่อนออกแบบอาคารให้ได้ทั้งอรรถประโยชน์ และสุนทรียศาสตร์

อาคารเสมือนกล่องว่างเปล่าที่สร้างออกซิเจนเองไม่ได้ อาคารต้องอาศัย “ลม” พาออกซิเจนเข้ามา ดังนั้น สภาพแวดล้อมภายนอกคือปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่ออาคาร

แต่ “ฮวงจุ้ย” ไม่เพียงแค่ศึกษาทิศทางลม ทิศทางแสง แต่ยังศึกษาลึกลงไปถึง “ชะตามนุษย์” ที่แตกต่างกัน แล้วนำมาปรับให้เข้ากับ “ชะตาฟ้า” และ “ชะตาดิน”

 

หลักของ “ฮวงจุ้ย” คือหลักการทางวิทยาศาสตร์ที่มีเหตุและผลรองรับ นั่นคือ การคำนวณทิศทางลม ทิศทางแสง และการบริหารจัดการ “พลังธรรมชาติ” ให้เข้ามาส่งเสริมมนุษย์

เพราะเมื่อมนุษย์ได้รับ “พลังธรรมชาติ” ที่ดีตลอดเวลา ก็ย่อมจะแข็งแรง มีสุขภาพดี ร่าเริง แจ่มใส การเรียนรู้ คิดอ่าน และตัดสินใจในเรื่องต่างๆ จะเป็นไปในทิศทางที่ถูกต้อง ตามจังหวะชีวิต และโอกาสที่เข้ามา ส่งผลให้ชีวิตมีความเจริญรุ่งเรือง

“ฮวงจุ้ย” และ “สถาปัตยกรรมศาสตร์” มีเป้าหมายเดียวกัน คือออกแบบอาคารให้ผู้อยู่อาศัยมีความสุข และประสบพบเจอแต่สิ่งดีๆ

เพียงแต่เมื่อก่อกำเนิด “ฮวงจุ้ย” องค์ความรู้ต่างๆ ยังไม่ได้ถูกแยกแตกแขนงวิชาออกมาดังเช่นในปัจจุบัน

ยุคโบราณไม่มี “สถาปนิก” ไม่มี “ซินแส” มีแต่ “ผู้เชี่ยวชาญสรรพศาสตร์” ซึ่งรอบรู้ทั้งเรื่องการวางผังเมือง การออกแบบอาคาร การพิชัยสงคราม การเมืองการปกครอง การบริหารทรัพยากร ไปจนถึงการปรุงอาหาร และการรักษาโรค

ดังนั้น “ฮวงจุ้ย” ที่ถูกต้อง จึงไม่ใช่เรื่อง “เปลือก” เช่น การติดเสือคาบดาบ หรือติดยันต์ 8 ทิศ การตั้งปี่เซียะ รูปปั้นเทพเจ้าฮกลกซิ่ว หรือการเอารูปนักกษัตรปีเกิดมาตั้งบนโต๊ะทำงาน

เพราะสิ่งเหล่านี้ “พลังธรรมชาติมองไม่เข้าใจ”

“พลังธรรมชาติ” จะมอง และอ่านออกเพียงแค่ว่า ถ้า “เสือคาบดาบ” ทำจาก “โลหะ” ก็จะแสดงผลที่เป็น “ธาตุทอง” ออกมา

แต่ถ้า “เสือคาบดาบ” ทำจาก “พลาสติกสีแดง” ก็จะแสดงผลที่เป็น “ธาตุไฟ” ออกมานั่นเอง