ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ธันวาคม 2567 - 2 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | ภาพยนตร์ |
ผู้เขียน | นพมาส แววหงส์ |
เผยแพร่ |
สัญภาพของศาลสถิตยุติธรรมที่เราเห็นกันบ่อยๆ เป็นสตรีในเครื่องแต่งกายโรมันโบราณถือคันชั่งและดาบในมือ พร้อมมีผ้าปิดตา
เธอมีชื่อเรียกว่า เลดี้จัสติซ หรือแม่นางผู้ทรงความยุติธรรม
จัสติซในที่นี้เป็นคุณสมบัติที่อุปมาให้มีตัวตนด้วยรูปนามของบุคคล
ซึ่งภาษาวรรณกรรมเรียกว่า บุคลาธิษฐาน หรือบุคคลวัต (personification)
ครูภาษาไทยสมัยก่อนสอนกันว่า คำแรกใช้สำหรับเรื่องทางศาสนา ส่วนคำหลังใช้สำหรับเรื่องทั่วไป แต่สงสัยว่าสมัยนี้คงใช้กันปนเปไปหมดแล้ว และคำแรกอาจเป็นที่คุ้นหูมากกว่าและใช้สำหรับการแปลงคุณสมบัติให้เป็นบุคคลในทุกเรื่องแล้วกระมัง
เลดี้จัสติซมีต้นตอจากเทพกัญญาในปกรณัมปรัมปราของโรมัน นามกร จัสติเชีย (Justitia) หรือ ยัสติเชีย (Iustitia)
จัสติเชียเป็นสัญลักษณ์ของตาชั่งที่เที่ยงตรง แต่ไม่ได้ตาบอด ภาพลักษณ์ของสตรีที่มีผ้าปิดตาเพิ่งแถมเพิ่มให้นางในสมัยหลังเมื่อคริสต์ศตวรรษที่ 16 นี้เอง
เลดี้จัสติซถือคันชั่งเพื่อเป็นตัวแทนของความเที่ยงตรงและยุติธรรม ถือดาบเพื่อเป็นตัวแทนของอำนาจและความฉับไวในการพิพากษาลงโทษ นางมีผ้าคาดปิดตาเพื่อเป็นตัวแทนของความไม่ลำเอียง หรืออคติต่อผู้เกี่ยวข้องในคดี ไม่ว่าจะเป็นฐานะ ทรัพย์สินหรืออิทธิพลใดๆ
เทพีแห่งความยุติธรรมผู้ตาบอด เป็นแนวคิดใหญ่ที่ครอบคลุมความหมายทั้งหมดของหนังเรื่องนี้ จากฝีมือของคุณปู่คลินต์ อีสต์วู้ด ผู้คร่ำหวอดยืนยงคงกะพันในวงการฮอลลีวู้ดมากว่าครึ่งศตวรรษ ในวัย 94 ปี
ว่ากันว่านี่อาจเป็นหนังเรื่องสุดท้ายจากฝีมือเขาก็ได้
ภาพเปิดเรื่องที่โคลสอัพของเลดี้จัสติซ สัญลักษณ์ของศาลสถิตยุติธรรม แล้วก็ตามมาด้วยสตรีมีครรภ์มีผ้าคาดตากำลังถูกจูงไปยังห้องเด็กที่เพิ่งตกแต่งใหม่เพื่อเตรียมการมาถึงของสมาชิกใหม่ในครอบครัว
จัสติน เคมพ์ (นิโคลัส ฮอลต์) กำลังเป็นคุณพ่อที่ภาคภูมิใจกับลูกที่กำลังจะคลอดจากท้องของภรรยาสาวสวย แอลลิสัน (โซอี ดอยช์) ออกมาดูโลกในอีกไม่กี่วันข้างหน้า
จัสตินกำลังได้รับหมายเรียกตัวไปทำหน้าที่พลเมืองดีโดยเป็นคณะลูกขุนพิพากษาคดีดังในเมืองซาวันนาห์ รัฐจอร์เจีย
แม้ว่าเขาจะอิดออดและขอผ่อนผันจากผู้พิพากษาว่าไม่พร้อมสำหรับหน้าที่ลูกขุน เนื่องจากภรรยากำลังจะคลอดลูกอยู่ในอีกไม่กี่วันข้างหน้า แต่ผู้พิพากษาก็บอกว่าเรื่องนั้นไม่เป็นปัญหาเลย เพราะคดีนี้จะสรุปได้ในเร็ววัน
จัสติน เคมพ์ ได้รับเลือกให้เห็น “ลูกขุนหมายเลขสอง” ในคดีนี้
ฝ่ายอัยการตั้งข้อหาฆาตกรรมแก่เจมส์ ไมเคิล ไซธ์ (เกเบรียล บัสโซ) โดยเหยื่อฆาตกรรมอันรุนแรงคือ เคนดัลล์ คาร์เตอร์ (ฟรานเชสกา อีสต์วู้ด ลูกสาวของคลินต์เอง) แฟนของเขา ผู้กำลังมีปากมีเสียงถึงขั้นตบตีกันก่อนหน้าเกิดเหตุ
มีพยานหลายคนรู้เห็นเหตุการณ์ทะเลาะกันรุนแรงครั้งนั้น
มีคนพบร่างผู้ตายอยู่ใต้สะพานข้างถนน เจ้าหน้าที่พิสูจน์หลักฐานให้ความเห็นว่ามีบาดแผลจากการใช้ความรุนแรงก่อนจะโยนศพลงทิ้งข้างทาง
มีคนให้การว่าเห็นผู้ชายหน้าตาเหมือนผู้ต้องหายืนอยู่ข้างทางใกล้เวลาเกิดเหตุ
เมื่อฝ่ายอัยการสืบความไปถึงบาร์ข้างทางที่มีคนเห็นผู้ตายเดินออกไป และผู้ต้องหาเดินตามไปที่ลานจอดรถ ภาพในความทรงจำก็กลับมาในหัวของจัสติน
เขาจำบาร์นั้น เขาเคยไปที่นั่นเพราะนึกอยากดื่ม เขาเลิกเหล้ามาพักใหญ่แล้ว และต้องทุกข์ทรมานใจจากความอ่อนแอของตัวเอง
เมื่อเขาขับรถจากมาในความมืดและสายฝน รถของเขาไปเฉี่ยวชนอะไรสักอย่างกระเด็นไป เขาคิดว่าเป็นกวาง เพราะตรงนั้นมีป้ายว่าเป็นทางข้ามของกวาง
จัสตินเพิ่งเกิดความตระหนักโดยเกือบเป็นความแน่ใจว่าตัวเขาเองเป็นต้นเหตุให้เหยื่อฆาตกรรมในคดีเสียชีวิต
และผู้ต้องหาเป็นผู้บริสุทธิ์จากข้อกล่าวหาในกรณีนี้
นี่คือแกนกลางของเรื่อง “ลูกขุนหมายเลขสอง” จะทำอย่างไรในเรื่องนี้ ปล่อยเลยตามเลยหรือแก้ไขให้ถูกต้อง ช่วยให้ผู้ต้องหาพ้นผิดจากหลักฐานแวดล้อมที่ดูเผินๆ จะปรักปรำผู้ต้องหา
เนื่องจากข้อมูลตรงนี้ถูกนำเสนอตั้งแต่ตอนต้นๆ เรื่อง และประเด็นสำคัญไม่ได้อยู่ที่จุดนี้มากไปกว่าเรื่องที่ว่าลูกขุนหมายเลขสองจะจัดการแก้ไขหรือรับมือกับสภาพการณ์ตรงหน้าอย่างไร ผู้เขียนคอลัมน์นี้ก็เลยไม่คิดว่าจำเป็นจะต้องเก็บงำไว้เพราะกลัวเป็นสปอยเลอร์
ข้อใหญ่ใจความอยู่ที่การกระทำของจัสตินต่อจากนั้นต่างหาก
เขาได้รับคำแนะนำจากสปอนเซอร์ในโครงการเลิกเหล้า (คีเฟอร์ ซัตเธอแลนด์) ซึ่งเป็นทนายความด้วยว่า ถ้าคดีนี้กลายเป็นการพิจารณาคดีผิดพลาด ก็จะไม่ส่งผลดีใดๆ เพราะอัยการน่าจะส่งเรื่องฟ้องใหม่
และปัญหาคอขาดบาดตายอีกเรื่องของจัสติน ถ้าสารภาพผิดเสียเอง ก็คือ จะไม่มีใครเชื่อว่าเหตุการณ์นั้นเป็นอุบัติเหตุ เพราะเขามีประวัติการดื่มอยู่แล้ว
เรื่องราวของหนังกลายเป็น courtroom drama ที่เข้มข้น ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจากหนังคลาสสิคอมตนิรันดร์กาลเรื่อง 12 Angry Men (1957) ฝีมือกำกับฯ ของซิดนีย์ ลูเม็ต นำแสดงโดยเฮนรี ฟอนดา ผู้เป็นหนึ่งในลูกขุน 12 คนผู้ใช้เหตุผลพลิกคำตัดสินของลูกขุนให้เป็นเอกฉันท์ได้
Juror #2 ดูเหมือนจะเดินตามพล็อตหลักของ 12 Angry Men (ซึ่งดัดแปลงมาจากละครเวที) ในห้องลูกขุนทุกประการ เพียงแต่เพิ่มแรงจูงใจส่วนตัว ความรู้สึกผิดชอบชั่วดี สำนึกเชิงคุณธรรมและจริยธรรม รวมทั้งส่วนได้ส่วนเสียจากคดีและจากการตัดสินคดี เข้าไปให้มีบทบาทแก่การกระทำของตัวละครหลักผู้อยู่ในคณะลูกขุนทั้งสิบสองนั้น
นี่เป็นหนังที่มีเนื้อหาสาระชวนให้ขบคิดต่อและตัดสินยาก และชวนให้ย้อนมาทบทวนคุณธรรมและความรับผิดชอบของตัวเองในสังคม ผู้ชมแต่ละคนต่างก็อาจมีความเห็นไปคนละทางสองทาง ดังนั้น ผู้กำกับฯ ซึ่งคงต้องการให้คนดูคิดต่อไปเองอีก จึงจบลง ณ จุดที่ยังค้างคาใจ และไม่คลี่คลายปมออกจนหมดจด
ความหมายที่สองของข้อความว่า “ความยุติธรรมตาบอด” จึงผุดขึ้นมา
นอกเหนือไปจากความหมายแรกที่ว่า ความยุติธรรมตาบอดเพราะปราศจากอคติ
ความยุติธรรมดูเหมือนจะตาบอดเพราะมองไม่เห็นความจริงแท้ ไม่ได้พาเราไปสู่ความจริงแท้ แต่มองข้ามช็อตไปสู่ประเด็นอื่นโดยสิ้นเชิง จึงอาจพูดได้ว่าระบบยุติธรรมที่เป็นอยู่นั้นเลือกที่รักมักที่ชัง ลำเอียง หรือมีอคติต่อคนบางพวก แม้ว่าคนพวกนั้นจะเปลี่ยนไปแล้วก็ตาม
ขอปรบมือให้คุณปู่คลินต์อีกทีค่ะ สำหรับหนังที่มีเนื้อหาสาระกระตุ้นหรือชักชวนให้สังคมหันมาขบคิดพิจารณาประเด็นที่เป็นเข็มทิศทางศีลธรรม (moral compass) ของเรา…
จะได้ใช้สมองขบคิดเนื้อหาสาระ และทำให้ไม่เข้าข่ายหรือถูกจัดอยู่ในคำยอดนิยมของปี 2024
คือ สมองเน่า หรือ brain rot เพราะเสพแต่ข้อมูลไร้ประโยชน์ล่ะค่ะ •
JUROR # 2
กำกับการแสดง
Clint Eastwood
นำแสดง
Nicholas Hoult
Toni Collette
J.K. Simmons
Chris Messina
Zoey Deutch
Kiefer Sutherland
ภาพยนตร์ | นพมาส แววหงส์
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022