ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 27 ธันวาคม 2567 - 2 มกราคม 2568 |
---|---|
คอลัมน์ | จ๋าจ๊ะ วรรณคดี |
ผู้เขียน | ญาดา อารัมภีร |
เผยแพร่ |
ที่บ้านผู้เขียนมีหนังสือพ็อกเก็ตบุ๊กบางๆ เก่าคร่ำคร่าเล่มหนึ่ง มีภาพถ่ายขาวดำประกอบเป็นระยะๆ ชื่อเรื่องชวนติดตามไม่น้อย ” ผู้หญิง, ความรัก และเซ็กส์ในอดีต” ของคุณเทพชู ทับทอง (สำนักพิมพ์ประมวลสาส์น ราคา 15 บาท) เล่าถึงโสเภณีไว้ในเรื่อง ‘ยายแฟงผู้อื้อฉาว’ ว่า
“เมื่อสมัย 100 ปีมาแล้ว ใครไม่รู้จักยายแฟงก็เชยสิ้นดี เพราะยายแฟงแกเป็นแม่เล้าใหญ่ในย่านตรอกเต๊า ถนนเจริญกรุงและสำเพ็ง กรุงเทพฯ
ความจริงที่ตรอกนี้มีโรงหญิงโสเภณีหลายโรง อาทิ โรงของยายแฟง โรงของยายกลีบ และโรงของยายเต๊า เป็นต้น
สำหรับโรงยายแฟง เป็นโรงที่มีชื่อเสียงมาตั้งแต่ปลายรัชกาลที่ 4 แล้ว เพราะที่โรงของแกมีสาวๆ อายุ 15 หยกๆ 16 หย่อนๆ มากมาย
—————————————- ฯลฯ —————————————
เนื่องจากสำเพ็งเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของคนจีนมาตั้งแต่กรุงรัตนโกสินทร์ ดังนั้น ผู้หญิงหากินส่วนใหญ่จึงมักเป็นคนจีน แต่สำหรับโรงของยายแฟงและโรงของยายกลีบ มีแต่คนไทยเท่านั้น จึงทำให้โรงของแกมีทั้งคนจีนและคนไทยมาอุดหนุนมากมาย
ต่อมาเมื่อยายกลีบและยายเต๊าตาย ตรอกเต๊าก็เลยเป็นซ่องโสเภณีคนจีนเต็มไปทั้งตรอก
ในระยะหลังๆ นอกจากที่ตรอกเต๊าแล้ว ที่ตรอกสัวเนียม ตรอกโรงโคม และตรอกเว็จขี้ หรือตรอกอาจม ก็เต็มไปด้วยซ่องเช่นเดียวกัน
โดยเฉพาะที่ตรอกเว็จขี้ ซึ่งเป็นตรอกที่สกปรกที่สุดสมชื่อ คือเป็นตรอกที่มีแต่เว็จขี้เรียงรายอยู่สองข้างทาง บางแห่งเว็จขี้ไม่มี มีแต่ขี้กองเป็นภูเขาเลากา ส่งกลิ่นเหม็นหึ่งก็ยังอุตส่าห์มีซ่อง โดยอยู่กันเป็นห้องแถวเล็กๆ ซ่องพวกนี้เป็นซ่องชั้นต่ำ พวกกุลีจีนเท่านั้นที่เที่ยวกัน”
ถึงตรงนี้ผู้เขียนก็ถึงบางอ้อว่า มิน่าใน “นิราศชมตลาดสำเพ็ง” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ) เมื่อนายบุษย์เดินชมตลาดมาถึง ‘ตรอกอาจม’ หรือ ‘ตรอกเว็จขี้’ ที่เปรียบตรอกนี้กับหญิงโสเภณี น่าจะเป็นเพราะสภาพสกปรกโสโครก และการมีโสเภณีในตรอกดังกล่าว
“ถึงปากตรอกอาจมอารมณ์เบื่อ ให้สุดเหลือระอาเมินหน้าหนี
เหมือนรูปงามนามเหม็นเช่นสัตรี โสเพณีรวยรื่นที่ชื่นชู”
นอกจากนี้ ยังเปรียบสาวใจแตกประพฤติตัวเหลวแหลกสมัยรัชกาลที่ 6 กับ ‘นางโคมเขียว’ หรือโสเภณีไว้ด้วยว่า
“หญิงทุกวันฉันระอาด้วยมาแขก ใจมันแตกเสียเช่นเที่ยวเล่นหาง
ออกเจนจัดบัดสีไม่มียาง ชนิดนางโคมเขียวเที่ยวกลางคืน
ไว้ผมโป่งโปร่งปลอดตลอดไส้ แต่เข้าใกล้จึ่งเหนว่าเหม็นหืน
ผิดนิไสยไม่จิรังที่ยั่งยืน ใครหลงชื่นเชยชมต้องตรมตรอง”
ความหมายของ ‘มาแขก’ คือแปลก, แปลกประหลาด, จรมา, มาสู่ (พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน)
ตัวอย่างข้างต้นสะท้อนภาพผ่านสายตาของนายบุษย์ว่าสตรีดังกล่าวมีท่าทีผิดแผกกว่าสตรีทั่วไป คือ เจ้าชู้ ตาหูแพรวพราย หว่านเสน่ห์โจ่งแจ้งปราศจากความละอายราวกับโสเภณีอย่างไรอย่างนั้น
ตอนกลางคืนแทนที่จะอยู่บ้านช่อง กลับเที่ยวกลางคืน ทำ ‘ผมโป่ง’ หรือทรงผมที่มีเอกลักษณ์โดดเด่นเห็นชัด ‘ผมโป่ง’ ต่างกับ ‘ผมมวย’ ผมโป่งมีช้อง ผมมวยไม่มี อยากจะทำผมมวยก็ไว้ผมยาวแล้วใช้ผมยาวนั่นแหละเกล้าเป็นมวยได้เลย ถ้าเป็นผมโป่ง ต้องเอา ‘ช้อง’ หรือผมสำหรับเสริมทรงผมให้ใหญ่หรือยาวหนุนเข้าไปให้ผมโป่งนูนขึ้นแล้วค่อยเกล้าเป็นมวย
ผมโป่งที่นายบุษย์เห็น ดูไกลๆ ก็พอไหว แต่พอเข้าไปใกล้จะได้กลิ่นเหม็นหืนเหม็นอับสาบๆ อย่างน้ำมันที่ทอดอาหารและทิ้งไว้นานๆ โชยออกมา ทำให้รู้สึกคลื่นเหียน
เรื่องของ ‘โคมเขียว’ นี้ กาญจนาคพันธุ์ เล่าไว้ค่อนข้างละเอียดในหนังสือเรื่อง “กรุงเทพฯ เมื่อวานนี้” (หนังสือชุด 100 ปี ขุนวิจิตรมาตรา) ว่ามีโคมเขียวที่ตรอกเต๊า
“ในตรอกเต๊านี้เป็นห้องแถวยาวติดต่อกันไปเกือบตลอดตรอก ทุกห้องแขวนโคมเขียวไว้หน้าห้องเป็นแถว และเวลาจวนค่ำจะเห็นพวกโสเภณีเขาจุดธูปราวกำมือหนึ่ง (ราวสัก 20 ดอก) มาลนที่ใต้โคมเขียวหน้าห้อง ข้าพเจ้าเคยถามเขาว่าลนทำไม เขาบอกว่าลนให้มีแขกเข้ามากๆ พวกนี้ราคาอยู่ใน 6 สลึง หรือ 2 บาท ส่วนที่ตึกใหญ่ตรงกันข้ามกับตรอกนี้ก็มีอาชีพเช่นเดียวกัน แต่เขาแขวนโคมเขียวไว้ให้ลับเข้าไปมองไม่เห็น นอกจากคนเคยแล้วก็รู้จัก มีนามว่า ‘ยี่สุ่นเหลือง’ เป็นชั้นสูงหน่อย ไม่จุ้นจ้านเหมือนพวกตรอกเต๊า ราคาราว 3 ถึง 5 บาท ข้าพเจ้าเคยเข้าไปหลายครั้ง ออกจะสุภาพเรียบร้อยดี ห้องแต่ละห้องในตึกก็ตกแต่งดี แปลว่ารับแขกชั้นสูง ไม่สัพเพเหระเหมือนตรอกเต๊า”
โคมเขียวนี้น่าจะเกิดขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 5 หลังจากรัฐบาลออกพระราชบัญญัติสัญจรโรค ร.ศ.127 (พ.ศ.2451) เพื่อควบคุมโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์อันเนื่องจากมีผู้นิยมใช้บริการมาก จึงกำหนดให้โรงโสเภณีแต่ละแห่งขึ้นทะเบียนโสเภณีในสังกัด ไม่เพียงเพื่อตรวจและป้องกันโรคอย่างว่าเท่านั้น ยังเพื่อเก็บภาษีโดยตรง
หนึ่งในข้อกำหนด คือ หมวดที่ 3 ว่าด้วยนายโรง มาตรา 12 ข้อ 3
“ต้องมีโคมแขวนไว้หน้าโรงเปนเครื่องหมายด้วย”
นอกจากนี้ ยังมีหมวดที่ 2 คำอธิบาย มาตรา 4
“คำว่า หญิงนครโสเภณี หมายความว่า หญิงที่รับจ้างทำชำเราสำส่อนโดยได้รับเงินผลประโยชน์เปนค่าจ้าง”
“นิราศชมตลาดสำเพ็ง” ของนายบุษย์ พาพวกเราคนรุ่นหลังย้อนเวลาผ่านอดีตไปยังโรงโสเภณีตรอกอาเนี่ยเก็ง ที่ลูกค้าคนไทยหมดสิทธิ์ รับเฉพาะคนจีนเท่านั้น
“ถึงตรอกอาเนี่ยเก็งยืนเพ่งพิศ ล้วนชนิดนางจีนถิ่นอาไศรย
แต่งแต่ตัวยั่วยวนเปนนวลใย ให้จีนใหม่ชอบพอได้ฬ่อตา
คอยสำหรับรับเจ๊กทั้งเล็กใหญ่ ไม่คบไทยผิดอย่างต่างภาษา
ช่างไว้ตัวกลัวไทยกระไรนา ไม่นำพาเหนผิดชนิดกัน”
การเลือกปฏิบัติเช่นนี้ทำเอานายบุษย์ชักหงุดหงิด ออกอาการองุ่นเปรี้ยวจนสังเกตได้จากคำวิจารณ์เสียๆ หายๆ ว่า สาวจีนสู้สาวไทยไม่ได้หรอก
“อยากจะลองเพลงจีนให้สิ้นท่า คิดไม่น่าจะชมเสียคมสัน
ด้วยนางจีนสิ้นดีเหม็นขี้ฟัน ไม่เหมือนขวัญเนตรพี่ที่ยียวน
รูปก็งามนามก็เพราะปากก็หอม ควรถนอมนุชน้องครองสงวน
โฉมเฉลาเสาวะภางค์สำอางนวล ไม่แปรปรวนเที่ยงธรรม์ใจมั่นคง”
โสเภณีจีนเป็นอย่างไร ฉบับหน้าอย่าพลาด •
จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022