15 ปม ท้าทายโลกปี 2568 (1)

ทวีศักดิ์ บุตรตัน

เอิร์ธ (earth.Org) องค์กรไม่แสวงหาผลกำไร มุ่งเน้นการเผยแพร่ข่าวความรู้เรื่องสิ่งแวดล้อมระบบนิเวศน์ เชื่อว่าโลกใบนี้คนเป็นสิ่งมีชีวิตเพียงหนึ่งเดียวเท่านั้นที่วิวัฒนาการจนเกิดสติปัญญาคิดเป็นทำเป็น แตกต่างจากสัตว์โลกชนิดอื่นๆ

“เอิร์ธ” จึงได้ตั้งความหวังให้ผู้คนอยู่อย่างมีความสุขความรุ่งเรือง พัฒนาสังคมโลกและสิ่งแวดล้อมให้เกิดความสมดุลนำไปสู่ความเท่าเทียมยั่งยืนในที่สุด

“เอิร์ธ” จัดเรียง 15 ปมปัญหาสิ่งแวดล้อมที่ชาวโลกเผชิญตลอดทั้งปี 2567 และจะเผชิญต่อไปตราบเท่าที่ยังไม่มีบทสรุปกำจัดปมนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพโดยเร็ว

 

“โลกเดือด” (Global Warming) เป็นปมปัญหาอันดับแรกสุดที่ชาวโลกร่วมกันเผาเชื้อเพลิงซากฟอสซิล อาทิ ถ่านหิน น้ำมันและก๊าซ ควันพิษจากปลายปล่องโรงงานอุตสาหกรรม โรงไฟฟ้า บ้านเรือนหรือท่อรถยนต์ เมื่อลอยสู่ชั้นบรรยากาศโลกทำให้เกิดปฏิกิริยาทางเคมีและความแปรปรวน

นักวิทยาศาสตร์วัดปริมาณความเข้มข้นของก๊าซพิษคาร์บอนไดออกไซด์ (CO2) ในชั้นบรรยากาศปัจจุบันสูงมากอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อนในรอบ 6,000 ปีหลังอารยธรรมเกิดขึ้นบนโลก

เมื่อ 6,000 ปี CO2 ในชั้นบรรยากาศโลกมีอยู่ประมาณ 280 ส่วนต่อล้านส่วน (ppm : part per million) ปัจจุบันระดับความเข้มข้นของ CO2 อยู่ที่ 420 ppm. เพิ่มมากเป็น 2 เท่า (ดูในภาพประกอบ)

ความเข้มข้นของ CO2 นั้นมาจากชาวโลกนำพลังงานใหม่ๆ มาใช้กับสิ่งประดิษฐ์เครื่องจักรเครื่องยนต์ในการผลิตอาหารสินค้าและอำนวยความสะดวกกับชีวิตประจำวัน สังคมจึงเปลี่ยนจากเกษตรกรรมแบบดิบๆ ดั้งเดิมไปสู่สังคมอุตสาหกรรมในศตวรรษที่ 19

สำนักงานบริหารบรรยากาศและมหาสมุทรแห่งชาติ หรือ National Oceanic and Atmospheric Administration (NOAA) ซึ่งเป็นหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐอเมริกาจึงระบุชัดว่าเหตุที่ชั้นบรรยากาศโลกมี CO2 เข้มข้นมากเป็น 2 เท่าเพราะฝีมือคนล้วนๆ ทั้งเผาเชื้อเพลิงฟอสซิล ทำลายป่าไม้ ขุดเหมือง ขยายเมือง

เพราะฉะนั้น จึงไม่ต้องสงสัยอีกต่อไปว่าก๊าซพิษในชั้นบรรยากาศที่คลุมโลกทั้งใบแล้วห่อหุ้มความร้อนจากพระอาทิตย์จนทำให้โลกเดือด อุณหภูมิผิวโลกเพิ่มสูงขึ้นแล้วก็แปรเปลี่ยนเป็นภาวะวิกฤต ทั้งพายุพัดกระหน่ำแรงจัด ฝนที่ตกหนักอย่างไม่ลืมหูลืมตา เกิดภาวะแห้งแล้งยาวนานคือปมปัญหาใหญ่ที่สุดในห้วงชีวิตของเราวันนี้

 

สภาพภูมิอากาศแปรผันรุนแรงนำไปสู่การเปลี่ยนแปลงของสรรพสิ่งในธรรมชาติ อย่างเช่น การระบาดของตั๊กแตนทะเลทราย (Desert Locust) เมื่อปีที่แล้วสร้างความเสียหายมากที่สุดในรอบ 25 ปีของทวีปแอฟริกาและตะวันออกกลาง

ตั๊กแตนทะเลทรายระบาดเพราะสภาพภูมิอากาศแปรเปลี่ยนในทวีปแอฟริกาฝั่งตะวันออกมีฝนตกหนักมากตลอดช่วง 6 เดือนทำให้เกิดน้ำท่วมใหญ่ ปริมาณน้ำฝนมากกว่าปกติถึง 400 เปอร์เซ็นต์

สภาพภูมิอากาศ พื้นที่ในแอฟริกามีความชื้นสูงและพื้นที่เป็นที่โล่ง ดินร่วนปนทรายเป็นปัจจัยสำคัญต่อการผสมพันธุ์วางไข่ของตั๊กแตนทะเลทราย เกิดการระบาดอย่างรวดเร็วมากกว่าปกติถึง 500 เท่า แผ่ขยายครอบคลุมพื้นที่ 1,200 ตารางกิโลเมตร หรือเกือบเท่าๆ กับกรุงเทพมหานคร

ฝูงตั๊กแตนทะเลทรายแต่ละฝูงมีจำนวนไม่น้อยกว่า 40-80 ล้านตัวต่อพื้นที่ 1 ตารางกิโลเมตร และภายใน 1 วันกินอาหารเทียบเท่าจำนวน 40 ล้านคน

การระบาดของฝูงตั๊กแตนทะเลทราย สร้างความเสียหายต่อพืชผลการเกษตรแทบทุกชนิดของประเทศเคนยา เอธิโอเปีย โซมาเลีย เพราะฝูงตั๊กแตนรุมขย้ำกินอย่างไม่ยั้งจนเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร กระทบต่อกับประชากรที่อดอยากอยู่แล้วอดอยากซ้ำอีก

ฝูงตั๊กแตนรุมขย้ำกินพืชผลมาจากการปรับตัวเพื่อความอยู่รอด เพราะหากอากาศไม่เป็นใจก็ขยายพันธุ์มากไม่ได้ เมื่อขยายพันธุ์มากไปไม่มีอาหารให้กินเพียงพอ ฝูงตั๊กแตกลดปริมาณขยายพันธุ์ลง

ชาวเคนยารับรู้ว่าสภาพภูมิอากาศที่เปลี่ยนอย่างรุนแรงเป็นเพราะการปล่อยก๊าซพิษขึ้นสู่ชั้นบรรยากาศ

แต่ข้องใจทำไมจึงได้รับผลกรรมอันหนักหน่วงทั้งที่ชาวเคนยาทั้งประเทศปล่อย CO2 แค่ 0.13 เปอร์เซ็นต์ของปริมาณ CO2 ที่ปล่อยจากทั่วโลก

 

ภาวะโลกเดือดยังทำให้เกิดคลื่นความร้อนในทวีปแอนตาร์กติก เป็นครั้งแรกที่อุณหภูมิบริเวณขั้วโลกเหนือเพิ่มขึ้นเกิน 20 องศาเซลเซียส นักวิทยาศาสตร์ประเมินว่าถ้าอุณหภูมิยังเพิ่มสูงเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จะเกิดผลร้ายตามมาอย่างแน่นอน ไม่ว่าพื้นน้ำแข็งปกคลุมขั้วโลกเหนือละลาย น้ำทะเลเพิ่มสูง

ฤดูไฟป่าที่เกิดขึ้นในทวีปออสเตรเลียยกระดับความรุนแรงมากขึ้น ดังเช่นในปี 2562 อากาศร้อนและแห้งมากที่สุดเท่าที่บันทึกในประวัติศาสตร์ของออสเตรเลียส่งผลให้เกิดไฟป่าลุกลามกินพื้นที่กว้าง อากาศแห้ง กระแสลมแรงยังทำให้ไฟลามอย่างรุนแรง

อุณหภูมิในออสเตรเลียเมื่อปีดังกล่าว เพิ่มขึ้น 1.52 องศาเซลเซียส สูงกว่าค่าเฉลี่ยปกติ อากาศจึงร้อนที่สุดในรอบ 114 ปี เดือนมกราคม 2562 กลายเป็นเดือนที่ร้อนที่สุดและมีปริมาณน้ำฝนต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 40% นับตั้งแต่ปี 2443

นี่เป็นเพียง 2 ตัวอย่างที่เป็นผลกระทบจากภาวะโลกเดือด ยังไม่รวมภัยพิบัติจากน้ำท่วม ภัยแล้ง พายุไต้ฝุ่นพายุเฮอร์ริเคนที่มีเกิดมากขึ้นถี่บ่อยและรุนแรงกว่าในอดีต

“เอิร์ธ” บอกว่า การเปลี่ยนแนวคิดพลิกวิถีชาวโลกให้ไปใช้พลังงานหมุนเวียน ลดเชื้อเพลิงฟอสซิล ต้องทำกันตั้งแต่วันนี้ แต่ถึงแม้ว่าการปล่อยก๊าซพิษในชั้นบรรยากาศโลกลดลง ก็ใช่ว่าภาวะโลกเดือดจะจบไปด้วยเพราะอุณหภูมิโลกยังสูงอยู่

ห้องปฏิบัติการเมานาโลอา รัฐฮาวาย สหรัฐอเมริกา พล็อตกราฟแสดงความเข้มข้นของคาร์บอนไดออกไซด์เป็นก๊าซพิษในชั้นบรรยากาศโลกที่เพิ่มสูงขึ้นตลอด 60 กว่าปีมีผลกระทบต่อสภาพภูมิอากาศนำไปสู่ภาวะโลกเดือดในวันนี้

ปมที่ 2 “เอิร์ธ” ระบุไว้คือธรรมาภิบาลยอดแย่ (Poor Governance) หมายถึงการบริหารจัดการของภาครัฐทั่วโลกที่ไร้นโยบายสิ่งแวดล้อม ขาดการบังคับใช้กฎหมายกับผู้ที่ละเมิดการปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศ ไม่มีการวางกฎเกณฑ์เก็บภาษีการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ (carbon tax) ขาดการกระตุ้นให้มีนวัตกรรมใหม่ๆ ด้านเทคโนโลยีควบคุมการปล่อยก๊าซพิษ หรือสนับสนุนจัดตั้งกองทุนสีเขียว

ปัจจุบันมีเพียง 27ประเทศที่กำหนดนโยบายว่าด้วยภาษีคาร์บอน ประกอบด้วยประเทศในกลุ่มสหภาพยุโรป แคนาดา สิงคโปร์ ญี่ปุ่น ยูเครน และอาร์เจนตินา

ประเทศสวีเดนใช้กฎหมายว่าด้วยภาษีคาร์บอน ตั้งแต่ปี 2538 ระบุผู้ใดปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ต้องเสียภาษีตันละ 127 เหรียญสหรัฐ หรือ 4,500บาท กฎหมายดังกล่าวช่วยสวีเดนลดการปล่อยก๊าซพิษลง 25%

“เอิร์ธ” ยังเหน็บองค์กรระดับโลกอย่าง “สหประชาชาติ” หรือยูเอ็นที่ไร้ประสิทธิภาพ ไม่สามารถจัดการกับวิกฤตโลกเดือดได้ตามเป้าหมาย ทั้งที่ทุกประเทศทั่วโลกต่างลงนามในข้อตกลงปารีส เมื่อปี 2558 กำหนดให้นานาชาติร่วมกันควบคุมการปล่อยก๊าซพิษเพื่อไม่ให้โลกร้อนเกิน 1.5 องศาเซลเซียส หรือต่ำกว่า 2 องศาเซลเซียส ภายในปี 2643

เวลาผ่านมา 9 ปี ยูเอ็นไม่สามารถคุมเกมให้นานาชาติทำตามข้อตกลงปารีสได้เลย มิหนำซ้ำ หลายประเทศยังกลับปล่อยก๊าซพิษมากขึ้นกว่าเดิม

 

3. ขยะอาหาร (Food Waste) เป็นปมปัญหาของโลกในเวลานี้ เพราะเหตุว่าในแต่ละปีอาหารที่ผู้คนทั้งโลกกินทิ้งกินขว้างจนกลายเป็นขยะมีมากถึง 1,300 ล้านตัน หรือ 1 ใน 3 ของปริมาณอาหารทั้งหมด

อาหารที่เหลือถ้าเอาไปเลี้ยงผู้คนที่อดอยากยากไร้จะช่วยให้คนเหล่านี้ได้มากถึง 3,000 ล้านคน

ขยะอาหารนั้นยังเป็นส่วนหนึ่งการทำลายชั้นบรรยากาศโลก เพราะถ้าลดปริมาณอาหารลง กินแต่พอดีไม่กินทิ้งกินขว้าง จะช่วยลดการปล่อยก๊าซพิษสู่ชั้นบรรยากาศโลกได้อย่างน้อย 1 ใน 4

ปริมาณการปล่อยก๊าซพิษที่เป็นผลจากการทำอาหาร การขนส่งอาหาร และผลิตวัตถุดิบเพื่อใช้ปรุงอาหารสูงมากเป็นอันดับ 3 เมื่อเทียบกับประเทศที่ปล่อยก๊าซพิษมากที่สุดของโลกได้แก่จีนและสหรัฐ

เมื่อแยกย่อยกลุ่มประเทศที่มีขยะอาหารมากสุดเป็นกลุ่มประเทศพัฒนาแล้ว มีขยะอาหารมากถึง 40% เป็นขยะอาหารที่เกิดขึ้นจากการขายไม่หมดและกินเหลือ

ส่วนประเทศกำลังพัฒนามีเศษอาหารที่เกิดขึ้นระหว่างเก็บเกี่ยวและกระบวนการผลิตอาหาร 40% เรียกง่ายๆ ว่ามีเทคโนโลยีด้านการผลิตอาหารไร้ประสิทธิภาพ

ที่น่าประหลาดใจมากไปกว่านั้นคือ แนวคิดของคนอเมริกันที่เห็นว่า อาหารที่เหลือค้างสต๊อกต้องโยนทิ้งอย่างเดียว เพราะถ้าเอาไปขายต่ออีกถือว่าน่าขยะแขยง ไม่สมควรอย่างยิ่ง ร้านขายผลไม้และผักในสหรัฐจึงมีสต๊อกค้างต้องทิ้งมากถึง 60 ล้านตัน

 

4. สูญเสียความหลากหลายทางชีวภาพ (Biodiversity Loss) ปมปัญหานี้มีสาเหตุมาจากการขยายตัวของประชากรโลกรวดเร็วตลอด 50 กว่าปีที่ผ่านมา คนมากขึ้นก็แย่งกันกินแย่งกันอยู่ เมืองขยายออกไป ขยายการค้า นำไปสู่การบุกรุกป่าทำลายทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม

กองทุนสัตว์ป่ารายงานเมื่อปี 2563 ว่าในห้วงเวลาระหว่างปี 2513-2559 จำนวนประชากรสัตว์ป่า ปลา นก สัตว์เลื้อยคลานลดลง 68%

ความหลากหลายทางชีวภาพที่หมายรวมถึงสรรพสิ่งที่มีชีวิตในโลกใบนี้ทั้งสัตว์ ป่าไม้พืชพันธุ์นานาชนิด ทุ่งหญ้า ป่าชายเลน ทะเลสาบ ลำธาร บึงหนองน้ำ ปะการัง ชายหาดแนวทะเล ที่สูญเสียเป็นเพราะชาวโลกบุกทำลายผืนป่าแปลงเป็นเมือง เป็นที่ดินทำกิน ถมป่าชายเลนแปลงเป็นรีสอร์ต นากุ้ง ท่าเรือ โรงงานอุตสาหกรรม

ผู้เชี่ยวชาญด้านสิ่งแวดล้อมประเมินว่า สัตว์ป่ามากกว่า 500 ชนิดจะสูญพันธุ์ภายใน 20 ปีข้างหน้า

บริเวณขั้วโลกเหนือซึ่งเป็นถิ่นอาศัยของฝูงนกเพนกวิน จะเผชิญวิกฤตสูญพันธุ์เนื่องจากโลกเดือด น้ำแข็งละลายภายในปี 2643

 

5. มลพิษพลาสติก (Plastic Pollution) เป็น 1 ใน 15 ปมท้าทายของชาวโลก เพราะปริมาณพลาสติกล้นเหลือ จากเดิมเมื่อปี 2493 ผลิตเพียงปีละ 2 ล้านตัน เวลานี้ผลิตมากถึงปีละ 450 ล้านตัน พลาสติกจึงเป็นขยะพิษทำลายสิ่งแวดล้อมและระบบนิเวศน์ของโลก

แต่ละปีมีขยะพลาสติกใต้ท้องทะเลทั่วโลกมากถึง 14 ล้านตัน มีผลกระทบต่อสัตว์น้ำรุนแรง ในการศึกษาพบว่า สัตว์ใต้ทะเล 1,557 ชนิดตกอยู่ในภาวะอันตรายเสี่ยงต่อการสูญพันธุ์เนื่องจากกลืนกินเศษพลาสติกเข้าไปทำให้ระบบย่อยอาหารบกพร่องและเสียชีวิตในที่สุด

ขยะพลาสติกทั่วโลกมากว่า 91% ไม่ได้นำไปแปรรูปกลับไปใช้ใหม่ ขยะเหล่านี้จึงเป็นปมปัญหาใหญ่ของทุกประเทศ เพราะกว่าจะย่อยสลายต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 400 ปี

คราวหน้ามาว่ากันต่อ ปมว่าด้วยการทำลายผืนป่าโลก •

ตอนที่ 2