ประชาธิปไตย กับสวัสดิการประชาชน

ศิโรตม์ คล้ามไพบูลย์www.facebook.com/sirote.klampaiboon

ชีวิตที่ดีเป็นเป้าหมายที่มนุษย์ล้วนไขว่คว้าในทุกสังคม และชนชั้นปกครองในแทบทุกสังคมก็มักอ้างว่าตัวเองมีอำนาจเพื่อให้ประชาชนมีชีวิตที่ดีด้วย ถึงแม้ปัจเจกบุคคลในหลายสังคมจะได้มาซึ่งชีวิตที่ดีด้วยการกระทำของตัวเองมากกว่าด้วยน้ำมือของรัฐและชนชั้นปกครองก็ตาม

เราอาจเถียงกันว่ารัฐบาลที่ดีคืออะไรได้หลายแง่มุม แต่ผมคิดว่านิยามรัฐบาลที่ดีคือชีวิตประชาชนต้องดีขึ้นจากการกระทำของรัฐบาล

รัฐบาลที่ดีไม่ได้หมายความแค่นายกฯ พูดรู้เรื่อง พ่อนายกฯ มีผลงาน ประชาชนมีส่วนเลือกรัฐบาลบ้าง แต่หมายถึงประชาชนต้องมีชีวิตดีขึ้นจริงๆ

ผู้นำเผด็จการมักอ้างว่ารัฐบาลที่บ้าอำนาจสามารถทำให้ประชาชนมีชีวิตที่ดี, สังคมโบราณก็อ้างว่าผู้ปกครองที่มีคุณธรรมจะทำให้ประชาชนชีวิตดีได้ และแม้แต่รัฐบาลในระบบที่มีเลือกตั้งแต่ไม่ค่อยเป็นประชาธิปไตย (Illiberal Democracy) ก็มักอ้างว่าทำให้ประชาชนชีวิตดีขึ้นได้เช่นกัน

อย่างไรก็ดี ประสบการณ์และความรู้บอกผมว่าคำพูดนี้โกหกทั้งเพ เพราะไม่ว่าสังคมไทยหรือสังคมโลก รัฐบาลประชาธิปไตยเท่านั้นที่สร้างชีวิตที่ดีให้ประชาชนได้มากกว่าระบอบอื่น ส่วนระบอบอื่นอาจทำให้ประชาชนชีวิตดีขึ้นบ้างเพื่อปะผุหรือโฆษณาชวนเชื่อเท่านั้นเอง

 

ผมมีโอกาสลงพื้นที่กับคณะกรรมการบอร์ดประกันสังคมที่มาจากการเลือกตั้งในช่วงกลางเดือนธันวาคมที่ผ่านมา เราตั้งใจเลือกจังหวัดอุดรธานีเพราะเห็นว่าเป็นพื้นที่ซึ่งน่าสนใจกว่าจังหวัดอื่นๆ ในแง่มีชาวบ้านจ่ายเงินซื้อประกันสังคมให้ตัวเองสูงเกินครึ่ง และผลการลงพื้นที่ก็ทำให้พบหลายเรื่องที่น่าสนใจเหลือเกิน

จุดเด่นของประกันสังคมคือเป็นกองทุนเดียวที่ประชาชนมีสิทธิเลือกตั้งผู้บริหารกองทุน

ยิ่งกว่านั้นคือเมื่อเทียบกับบัตรทองที่ดูแลแค่เรื่องป่วยไข้ ประกันสังคมคือกองทุนที่ให้ค่าชดเชยขาดงาน, ชดเชยสูญเสียอวัยวะ, สงเคราะห์บุตร, ค่าทำศพ 5 หมื่นบาท, บำนาญเกษียณอายุ ฯลฯ ซึ่งกองทุนอื่นไม่มีเลย

ทันทีที่ได้คุยกับชาวบ้านที่ อ.สร้างคอม ว่าอยากให้ประกันสังคมปรับปรุงอะไร หนึ่งในเรื่องที่ถูกพูดมากที่สุดคืออยากให้ประกันสังคมเพิ่มเงินชดเชยการขาดงานจากวันละ 250 เป็น 400-500 บาท ซึ่งเป็นตัวเลขที่ต่ำกว่าสเต๊กดีๆ ที่รัฐบาลกินด้วยซ้ำ แต่สำหรับคนที่จนที่สุดในสังคม เงินก้อนนี้กลับถือว่ามากเหลือเกิน

การลงพื้นที่ทุกครั้งทำให้ผม “ตาสว่าง” จากการฟังความทุกข์ของประชาชน

บทเรียนจากชาวบ้านอุดรฯ ที่จ่ายเงินทำประกันสังคมตัวเองตาม ม.40 บอกผมคือความเหลื่อมล้ำในสังคมไทยยังรุนแรงจนเหลือเชื่อ ชาวบ้านพร้อมจ่ายหากจ่ายแล้วชีวิตตัวเองจะดีขึ้นบ้าง

แต่คำถามคือ แล้วรัฐบาลมีไว้ทำไม?

 

รัฐบาลประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นรัฐบาลรัฐประหารที่พยายามอ้างว่าตัวเองก็ทำให้ชีวิตประชาชนดีได้ไม่ต่างจากรัฐบาลประชาธิปไตย แต่เมื่อใดที่รัฐบาลพูดถึง “ชีวิตที่ดี” เมื่อนั้นสิ่งที่รัฐบาลทำจริงๆ ก็คือการแจกเงินเล็กๆ น้อยๆ หรือทำโครงการคนละครึ่งที่ภาพใหญ่ของประเทศไม่เปลี่ยนแปลง

รัฐบาลฝ่ายคุณทักษิณ ชินวัตร มีอำนาจตั้งแต่ปี 2566 ด้วยการโหวตของ ส.ว.จากการรัฐประหารจนพูดยากว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย เมื่อใดที่รัฐบาลฝ่ายคุณทักษิณไม่ว่าจะเป็น “เศรษฐา ทวีสิน” หรือ “แพทองธาร ชินวัตร” พูด “ชีวิตที่ดี” เมื่อนั้นก็หมายถึงการทำอะไรเล็กๆ น้อยๆ ที่ไม่เปลี่ยนภาพใหญ่เช่นกัน

เพื่อให้ความเป็นธรรมกับรัฐบาลประยุทธ์และรัฐบาลฝ่ายคุณทักษิณทั้งยุค “เศรษฐา” และ “แพทองธาร” ผมควรระบุด้วยว่าทั้งสองรัฐบาลล้วนทำอะไรที่อ้างว่าจะเปลี่ยนภาพใหญ่ของประเทศทั้งสิ้น เพียงแต่สูตรแต่ละรัฐบาลต่างกัน และภาพใหญ่ของประเทศแทบไม่เปลี่ยนแปลง

คุณประยุทธ์เชื่อแบบคุณทักษิณว่าคนไทยจะรวยเมื่อประเทศมี GDP เพิ่มจากภาคอุตสาหกรรมและท่องเที่ยวที่เติบโต

เพียงแต่คุณประยุทธ์มุ่ง “อัพเกรด” ภาคอุตสาหกรรมโดย “อัพเกรด” โครงสร้างพื้นฐานภาคตะวันออก

ส่วนคุณทักษิณเน้นดึงเงินนักลงทุนรายใหญ่เข้าไทยโดยตรง

คงต้องใช้เวลาพิสูจน์อีกนานว่าใครจะทำให้ประเทศรวยก่อนกันระหว่างคุณประยุทธ์กับคุณทักษิณ

แต่ที่ไม่ต้องพิสูจน์เลยก็คือ “ประเทศรวย” เป็นคนละเรื่องกับ “ประชาชนรวย” และรัฐบาลทั้งคู่ล้วนมุ่งให้เงินในกระเป๋าคนรวยใหญ่ขึ้นแล้วหวังว่าเงินจะไหลไปสู่คนจนๆ

 

ตัวอย่างง่ายๆ การอัพเกรดโครงสร้างพื้นฐานของภาคตะวันออกจะทำให้ “ประชาชนรวย” ก็ต่อเมื่อมีการจ้างงานเพิ่มจนนำไปสู่การยกระดับค่าแรง แต่ปัญหาคืออุตสาหกรรมใหม่ที่จะเกิดในภาคตะวันออกมีแนวโน้มเป็น Robotics จนไม่มีความชัดเจนเรื่องจ้างงานและยกระดับค่าแรงเลย

การดึงเงินจากนักลงทุนต่างชาติด้วยบ่อน, แลนด์บริดจ์ หรือบริษัทคลาวด์ต่างๆ ในยุครัฐบาลฝ่ายคุณทักษิณก็มีปัญหาคล้ายคลึงกันว่าเงินทุนไหลเข้าประเทศแน่ๆ

แต่หลังจากนั้นเงินจะกระจุกที่เจ้าสัวที่เตรียมแบ่งใบอนุญาตทำบ่อน, กว้านซื้อที่ และหลานนายใหญ่ที่เป็นคนปิดดีล

ความเชื่อของคุณทักษิณตั้งแต่ไทยรักไทยคือเปลี่ยนคนไทยเป็น “ผู้ประกอบการ” แต่ประเด็นคือไม่ใช่เกษตรกรและลูกจ้างทุกคนจะเป็น “ผู้ประกอบการ” ได้ ต่อให้รัฐบาลจะคุยเรื่องซอฟต์เพาเวอร์ หรือยกระดับทักษะแค่ไหน

และในที่สุดคนเหล่านี้เสี่ยงจะไม่มีที่ทางในสังคมไทย

 

ด้วยความที่พรรคประชาชนและผู้สนับสนุนชอบพูดเรื่อง “เปลี่ยนโครงสร้าง” หรือ “ภาพใหญ่” ของประเทศ คนของเพื่อไทยจึงรังเกียจทุกคนที่พูดเรื่อง “เปลี่ยนโครงสร้าง” หรือ “ภาพใหญ่” ของประเทศ จนต้องระวังไม่ให้รัฐบาลไปไกลถึงจุดที่ไม่สนใจเรื่องนี้เลย

ตรงข้ามกับความเชื่อแบบคุณประยุทธ์และคุณทักษิณว่าทำให้เจ้าสัวรวยแล้วคนไทยจะรวยตามไปด้วย วิธีที่จะทำให้คนจนลืมตาอ้าปากคือการทำนโยบายสวัสดิการที่จะช่วยคนจนให้มากขึ้นจนรายจ่ายของคนจนลดลง และนั่นเท่ากับว่ารายได้โดยเปรียบเทียบของคนจนจะเพิ่มขึ้นทันที

เมื่อเทียบกับคุณประยุทธ์และคุณทักษิณที่ชีวิตคนจนเหมือนแทงหวยว่าจะรวยตามความร่ำรวยของนักลงทุน นโยบายสวัสดิการจะทำให้คนจนมีทุนเหลือซึ่งเท่ากับมีแต้มต่อในการดำรงชีวิตเพิ่มจนลดความจำเป็นในการขึ้นต่อรัฐบาล, เครือข่ายเจ้าพ่อ หรือความเมตตาของระบบราชการ

ยิ่งสังคมไหนประชาธิปไตยแข็งแกร่งจนเสียงประชาชนมีความหมายจริงๆ สังคมนั้นยิ่งมีโอกาสเกิดนโยบายสวัสดิการต่างๆ มากขึ้นจนนโยบายสวัสดิการเป็นมาตรวัดสำคัญถึงความเป็นประชาธิปไตยของรัฐบาล เพราะทำให้รัฐมี Job Description ที่ชัดเจนขึ้นถึงการดูแลประชาชน

แม้นโยบายสวัสดิการในสังคมไทยจะลุ่มๆ ดอนๆ แต่นโยบายแบบนี้ล้วนเกิดเมื่อมีรัฐบาลจากการเลือกตั้งต่อเนื่อง ตัวอย่างเช่น นโยบายอาหารกลางวันเด็กและสิทธิลาคลอด 60 วันยุครัฐบาลชวน หลีกภัย, นโยบายประกันสังคมยุคชาติไทย หรือนโยบาย 30 บาทยุคไทยรักไทย

น่าสังเกตด้วยว่าพรรคที่ชนะอันดับ 1 ในการเลือกตั้งปี 2566 คือพรรคก้าวไกลซึ่งพูดนโยบายสวัสดิการต่อคนกลุ่มต่างๆ เช่น เด็กเล็ก, คนชรา, หญิงตั้งครรภ์ ฯลฯ มากกว่าพรรคอื่น จึงเป็นไปได้เช่นกันว่าคนไทยต้องการนโยบายนี้จนเป็นเหตุผลหนึ่งที่ไปเทคะแนนเลือกพรรคก้าวไกล

น่าคิดเหมือนกันว่าถ้าคุณพิธา ลิ้มเจริญรัตน์ ได้เป็นนายกฯ และพรรคก้าวไกลได้เป็นแกนนำจัดตั้งรัฐบาลตามที่ประชาชนเลือก ประเทศไทยวันนี้จะมีความคืบหน้าของนโยบายสวัสดิการด้านต่างๆ อย่างไร เมื่อเทียบกับรัฐบาลนี้ที่ยังไม่มีอะไรชัดเจนเลย แม้แต่การขึ้นค่าแรงขั้นต่ำก็ยังไม่มีวี่แวว

 

ข้อคัดค้านของฝ่ายต่อต้านนโยบายสวัสดิการคือคนไทยเสียภาษีน้อยจนรัฐไม่มีเงินทำสวัสดิการ แต่ผมเชื่อว่าคนไทยไม่ต่างจากคนประเทศอื่นที่พร้อมจ่ายภาษีมาก หากรัฐตอบแทนประชาชนด้วยสวัสดิการที่ดีขึ้น และหากรัฐบาลลดรายจ่ายที่ไม่จำเป็นหรือลดนโยบายช่วยคนมีเงินลง

ในกรณีของประเทศไทย สิ่งที่ทำให้คนไม่อยากเสียภาษีคือความเชื่อว่าจ่ายแล้วก็ไม่ได้สวัสดิการอะไรจากรัฐบาล รวมทั้งความระแวงว่ารัฐบาลจะเอาภาษีไปใช้เรื่องที่ไม่เกิดประโยชน์

แต่ถ้ารัฐบาลบอกได้ว่าจะทำสวัสดิการอะไรให้ประชาชนได้กำไรจากการจ่ายภาษีเพิ่มขึ้น ผมเชื่อว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหาแน่นอน

ผมชื่นชมที่รัฐมนตรีคลังพูดเรื่องการขึ้นภาษีเพื่อเอาเงินไปทำสวัสดิการประชาชน และขณะเดียวกันก็ชื่นชมคุณศิริกัญญา ตันสกุล, คุณพิธา และพรรคประชาชนที่ปกป้องนโยบายนี้จนไม่ฉวยโอกาสใช้เรื่องนี้โจมตีรัฐบาลด้วย แต่น่าเสียดายที่คุณแพทองธารและรัฐบาลถอยแนวคิดนี้ทันทีที่นโยบายนี้ถูกวิจารณ์ถล่มทลาย

รัฐบาลควรเดินหน้านโยบายสวัสดิการและผลักดันร่วมกับพรรคฝ่ายค้านเพื่อเปลี่ยนประเทศให้เป็นของประชาชนจริงๆ ไม่ใช่เป็นแต่ในนามตอนเลือกตั้งผู้แทนราษฎร