ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 ธันวาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | On History |
ผู้เขียน | ศิริพจน์ เหล่ามานะเจริญ |
เผยแพร่ |
ในสังคมกรีกโบราณ การที่ชายคนใดจะมีอะไรที่เรียกว่า “องคชาต” ขนาดบิ๊กเบิ้มเป็นของตนเองนั้น เป็นเรื่องที่ไม่ดีนะครับ
เพราะในวัฒนธรรมกรีกเห็นว่า การที่ชายใดมีเครื่องเพศใหญ่นั้นแสดงให้เห็นถึงความเร่อร่าหยาบคาย
องคชาตขนาดกะทัดรัดต่างหาก ที่จะทำให้คุณเป็นผู้ดีมีระดับในโลกของชาวกรีกยุคคลาสสิค
ข้อความตอนหนึ่งในบทละครเรื่องดังของพวกกรีกยุคคลาสสิคอย่าง “The Clouds” ที่ถูกเขียนขึ้นโดยนักเขียนบทละคร ระดับที่ถูกสถาปนาให้เป็น “บิดาแห่งละครสุขนาฏกรรม” (Comedy, ซึ่งในที่นี้ไม่ได้แปลว่า ตลก) หรือ “เจ้าชายแห่งละครสุขนาฏกรรมในโลกโบราณ” (ชื่อหลังนี่ถึงจะฟังดูยี่เกอยู่สักหน่อย แต่เขาก็ได้สมญานามอย่างนี้จริงๆ) อย่าง “อริสโตเฟเนส” (Aristophanes) ที่มีชีวิตอยู่เมื่อราว 446-386 ปีก่อนพระคริสต์ (คือหลังพระพุทธเจ้าปรินิพพานนิดหน่อย) ได้พูดถึงค่านิยมที่มีต่อขนาดขององคชาตสำหรับชาวกรีกเอาไว้ว่า
“ถ้าเจ้าทำสิ่งเหล่านี้ที่ข้าบอก และยืดหยุ่นความพยายามต่อพวกเขาบ้าง เจ้าจะมีหน้าอกที่ผึ่งผาย ผิวพรรณที่กระจ่างสดใส บ่าที่กว้าง ลิ้นที่เรียวเล็ก สะโพกผาย และองคชาตที่เล็ก แต่ถ้าเจ้าทำตามกิจวัตรแบบวันนี้ เจ้าจะมีผิวที่ซีด บ่ากับหน้าอกห่อๆ ลิ้นใหญ่ สะโพกเล็ก องคชาตใหญ่ และ (ต้องทำตาม) คำสั่งที่น่าเบื่อหน่ายอย่างยืดเยื้อ” (แปลจาก The Clouds โศลกที่ 1010-1019)
ดังนั้น จึงไม่ต้องแปลกใจอะไรเลย ที่ประติมากรรมรูปเทพเจ้าต่างๆ ของพวกกรีกนั้น ก็มักจะสลักรูปเทพเจ้าที่ทรงไว้ด้วยเครื่องเพศที่มีขนาดกระจุ๋มกระจิ๋มสิ้นดี โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับมาตรฐานของยูโรเปียนชนโดยทั่วไป เพราะรูปเหมือนของเทพเจ้าก็ย่อมจะต้องทรงไว้ด้วยสิ่งที่ดีที่สุดอยู่เสมอนั่นเอง
ความนิยมในเครื่องเพศชายขนาดกระจิริดของกรีกนี้ มักจะถูกโยงเข้ากับระบบความสัมพันธ์ระหว่างชายกับชายของกรีกโบราณ ที่เรียกว่า “เปเดรัสตี” (Pederasty) โดยคำนี้แปลตรงตัวตามภาษากรีกว่า “ผู้รักเด็กชาย”
ในระบบความสัมพันธ์แบบเปเดรัสตี ชายที่เป็นผู้ใหญ่อายุระหว่าง 20-40 ปี จะจับคู่กับเด็กชายวัยรุ่นอายุ 12-18 ปี จากนั้นชายผู้นั้นจะเป็นผู้ดูแลเด็กชายในลักษณะของที่ปรึกษา ในการสอนเรื่องต่างๆ ให้แก่หนุ่มเหน้าซึ่งเป็นคู่ของตนเอง ทั้งการดำเนินชีวิต สังคม วิชาการ และเรื่องอื่นๆ
ในระบบความสัมพันธ์เปเดรัสตีนั้น มีคำศัพท์เฉพาะที่ใช้สำหรับเรียกฝ่ายที่เป็นผู้ใหญ่ว่า “อีราสเตส” (Erastes) และเรียกชายหนุ่มที่รับการดูแลว่า “อีโรเมนอส” (Eromenos)
โดยนอกจากอีราสเตสมีหน้าที่ดูแลอีโรเมนอสแล้ว ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขายังมีความพิเศษที่มักทำให้ผู้คนโดยทั่วไปเข้าใจผิดว่าพวกเขาจะร่วมรักกันโดยการสอดใส่ทางทวารหนักคือ อีราเตสจะแสดงความรักที่มีต่ออีโรเมนอสด้วยการมีสัมพันธ์ทางเพศ โดยฝ่ายอีราสเตสเป็นฝ่ายรุกคืบ ส่วนอีโรเมนอสเป็นฝ่ายสนองตอบ
แต่ในความเป็นจริงแล้ว กิจกรรมทางเพศในระบบความสัมพันธ์แบบเปเดรัสตีนั้น จะไม่มีการล่วงล้ำเข้าไปภายในร่างกายของกันและกัน (อย่างน้อยก็ในเชิงอุดมคติ) ทั้งนี้ก็เพื่อจะรักษาศักดิ์ศรีความเป็นชายของอีโรเมนอส
พูดง่ายๆ ว่า ตามอุดมคติแล้ว เป็นเพศสัมพันธ์ที่ทำเพียงแค่ถูไถเบียดเสียดกันอยู่ที่ภายนอก แต่ไม่ได้สอดใส่เข้าไปในรูทวารนั่นแหละครับ (แน่นอนด้วยที่ไม่มีหลักฐานยืนยันได้เลยสักนิดว่า ในความสัมพันธ์แบบเปเดรัสตีแต่ละคู่นั้น จะรักษาอุดมการณ์ดังกล่าวอย่างเคร่งครัดจริงจังหรือไม่?)
อันที่จริงแล้ว ก็มีหลักฐานอยู่ด้วยว่า ตามธรรมเนียมกรีกนั้นถือว่าการมีเพศสัมพันธ์กันทางทวารหนักเป็นสิ่งที่น่าอับอาย ดังปรากฏมีร่องรอยอยู่ในนิทานอีสป (Aesop หรือ Aisopos นักเล่านิทานชาวกรีกซึ่งเชื่อกันว่าชีวิตอยู่ในช่วงร่วมสมัยกับพุทธกาล) ที่ชื่อ “ซุสกับความอับอาย” (Zeus and Shame)
อีสปเริ่มต้นนิทานเรื่องนี้ว่า ในขณะที่ราชาแห่งทวยเทพตามปรัมปราคติของกรีกอย่างซุส (Zeus) ได้สร้างมนุษย์ขึ้นมานั้น เทวราชองค์นี้ได้ใส่บุคลิกลักษณะนิสัยทุกอย่างเท่าที่มนุษย์ควรจะมีได้ทั้งหมดลงไป
เพียงแต่ว่าพระองค์ลืมใส่เอา “ความละอาย” (shame) ลงไปด้วย และเมื่อนึกขึ้นได้แล้ว ซุสก็จึงพยายามยัดเอาความละอายใส่เข้าไปในร่างของมนุษย์ผ่านทางรูทวารหนัก
แต่ความละอายกลับไม่ยอมจะเข้าไปทางนั้นตามคำสั่งของซุส ด้วยว่าเป็นการดูหมิ่นเกียรติยศของเธอ (ใช่ครับ ในที่นี้ความละอายเป็นเพศหญิง)
แต่ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม ซุสก็ยังคงยืนกรานคำเดิมอย่างหนักแน่น ความละอายจึงกล่าวว่า
“ตกลง ฉันจะยอมเข้าไปในนั้น แต่ฉันมีเงื่อนไขว่า ถ้ามีอะไรเข้ามาในนี้หลังจากที่ฉันอยู่แล้ว ฉันก็จะหนีออกไปจากที่นั่นในทันที”
แน่นอนว่าเทวราชซุสทรงยอมรับในเงื่อนไขดังกล่าว และก็ทำให้หลังจากนั้นเป็นต้นมา ผู้ที่ร่วมประเวณีกันทางทวารหนักก็จะกลายเป็นผู้ปราศจากความละอาย
นิทานของอีสปเรื่องนี้อาจจะจบลงอย่างที่ชวนให้ใครหลายคนในปัจจุบันที่เห็นพ้องกับเสรีภาพของความหลากหลายทางเพศ และรสนิยมทางเพศ จะไม่ถูกใจนัก แต่ก็สะท้อนให้เห็นถึงอุดมการณ์เกี่ยวกับการร่วมรักในวัฒนธรรมกรีกยุคคลาสสิคได้เป็นอย่างดีเลยทีเดียว
แต่ก็อย่างที่ผมได้บอกไปแล้วนั่นแหละว่า อุดมการณ์ก็ส่วนอุดมการณ์ ในทางปฏิบัติจะเป็นอย่างไรก็อีกเรื่องหนึ่ง ดังนั้นจึงมักจะมีการตั้งคำถามจากผู้คนในยุคหลังอยู่เสมอว่า ความนิยมในเครื่องเพศชายที่มีขนาดเล็กของพวกกรีกนี้ มีที่มาจากความห่วงใย ที่ไม่ต้องการให้พวกชายหนุ่มที่เป็นศิษย์ที่เรียกว่า อีเรมีนอส นั้นเจ็บปวดจนเกินไปหรือไม่? (ส่วนจะเจ็บอะไรนั้น ผมคงไม่ต้องบอกนะครับ?)

ไม่ว่าความจริงจะเป็นอย่างไรก็ตาม สำหรับชาวกรีกนั้น การเป็นชายที่มีองคชาตใหญ่ก็ดูจะช่างเป็นเรื่องที่น่ารังเกียจเสียจริงๆ ตัวอย่างที่สำคัญอีกเรื่องอยู่ในเทพปกรณ์ของชาวกรีกอีกเรื่องอย่างเรื่องของเทพเจ้าที่มีชื่อว่า “ปริอาปุส” (Priapus)
เรื่องของเรื่องก็คือ เทพปริอาปุสองค์นี้ ถูกราชินีแห่งสวรรค์อย่างเทพีเฮร่า (Hera, ชายาขี้หึง หวง และอภิมหาเหวี่ยงวีน ของมหาเทพซุส) สาปให้มีองคชาตขนาดใหญ่โตมโหฬารจนน่าเกลียดน่ากลัว
และที่สำคัญก็คือ องคชาตต้องสาปของเทพปริอาปุสนี้จะลุกตั้งชูชันอยู่เสมอด้วยอีกต่างหาก
น่าตลกดีที่องค์ประกอบอย่างที่เทพีเฮร่าสาปใส่องคชาตของเทพปริอาปุส ราวกับเป็นสิ่งที่ชั่วช้าแสนสาหัสนั้น กับเป็นคุณลักษณะเฉพาะที่วิเศษของมหาเทพในอีกวัฒนธรรมหนึ่งอย่าง “พระอิศวร” (องค์เดียวกับพระศิวะ) ผู้เป็นเจ้าของเครื่องเพศศักดิ์สิทธิ์ ที่ศาสนิกชนในศาสนาพราหมณ์-ฮินดู เรียกเป็นการเฉพาะว่า “ศิวลึงค์” นั่นเอง
คุณลักษณะเฉพาะที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของพระศิวะก็คือ การมี “อูรธวลึงค์” คือองคชาตที่ตั้งตรงอยู่เสมอ ซึ่งอันที่จริงแล้วนี่เป็นภาษาสัญลักษณ์ ซึ่งหมายถึงว่า พระองค์ทรงเป็นผู้สร้าง และประทานความอุดมสมบูรณ์ให้แก่โลก
ดังนั้น เครื่องเพศของพระอิศวรจึงต้องตั้งตรงพร้อมรบอยู่เสมอ เพราะเครื่องเพศเหี่ยวๆ นั้นไม่สามารถก่อให้เกิดชีวิตใหม่ หรือผลิตผลใดๆ ได้ และการสร้างเทพปกรณ์ของพระอิศวรให้เกี่ยวข้องกับเครื่องเพศ
เทพปกรณัมที่ถือเป็นตัวอย่างสำคัญตัวอย่างหนึ่งเกี่ยวกับเรื่องนี้คือเรื่อง “ลึงโคทภวมูรติ” ที่เล่าถึงการกำเนิดของโลกว่า ในครั้งนั้นพระพรหมกำเนิดขึ้นด้วยตัวเอง หันซ้ายแลขวาพบว่าไม่มีใคร ก็นึกกระหยิ่มใจว่าตนเองเป็นผู้สร้างโลกนี้ขึ้น
พระนารายณ์ก็เช่นกัน พระองค์กำเนิดขึ้นเองเหลียวหน้าแลหลังไม่พบใครก็ไพล่คิดไปเองว่าเป็นผู้ให้กำเนิดโลก ทั้งสองต่างท่องออกไปในโลกนั้นตามลำพังจนปะหน้ากันเองก็ประหลาดใจว่าอีกฝ่ายเป็นใคร ตนเองไม่ได้สร้างขึ้นมาเสียหน่อยจึงถกเถียงกันเสียยกใหญ่
ทันใดนั้นก็มีเสาไฟใหญ่ยักษ์ปรากฏขึ้น เทพเจ้าทั้งสองจึงตกลงกันว่าฝ่ายไหนค้นพบส่วนยอด หรือส่วนโคนของเสาต้นนี้ก่อน ถือว่าเป็นผู้ชนะ อีกฝ่ายหนึ่งต้องยอมรับว่าเป็นผู้สร้างโลกใบนี้ขึ้นมา
พระนารายณ์จึงจำแลงร่างเป็นหมูป่าแล้วขุดลึกลงไปในดินเพื่อหาโคนเสา ส่วนพระพรหมก็เสกหงส์ขึ้นมาตัวหนึ่งแล้วเหาะบินขึ้นไปดูยอดของเสานั้น
แต่เทพปกรณ์นี้คงเป็นที่นิยมในอินเดียอยู่มากจึงมีอยู่หลากหลายสำนวนและมีรายละเอียดแตกต่างกันไป
ผมขออนุญาตสรุปตอนจบของเรื่องอย่างกระชับไว้ ณ ที่นี้ว่า ทั้งสองฝ่ายต่างหาไม่พบ พระอิศวรจึงปรากฏพระองค์ออกมาจากเสาไฟต้นนั้นแล้วกล่าวว่า พระองค์ต่างหากที่เป็นผู้สร้างโลก
อย่างที่กล่าวไว้แล้วว่า ปกรณ์เรื่องนี้มีหลากหลายสำนวน อยู่ในปุราณะ หลากหลายฉบับ ที่เรียกว่า “ลึงโคทภวมูรติ” ไม่ใช่ชื่อเรื่องของปกรณ์ แต่เป็นชื่อเรียกภาพสลักหรือภาพเขียนที่เล่าถึงเรื่องราวในตอนนี้ซึ่งมักสลักเป็นภาพเสาขนาดใหญ่ มีพระอิศวรปรากฏพระองค์อยู่ภายในเสา มีพระพรหมทรงหงส์อยู่ด้านบนของเสา และรูปหมูป่าจำแลงคือพระนารายณ์อยู่ทางด้านล่าง
ที่สำคัญคือเสาต้นที่ว่าหลายครั้งจะสลักเป็นรูปทรงของเครื่องเพศชาย
ก็ “ศิวลึงค์” นั่นแหละครับ
หลากหลายวัฒนธรรมในโลกโบราณนั้นเครื่องเพศชายขนาดบิ๊กเบิ้มเป็นสัญลักษณ์ของการสร้างสรรค์ความอุดมสมบูรณ์ และหลายทีก็คือการสร้างโลกด้วย
และถ้าจะว่ากันโดยในนัยยะนี้แล้ว เทพปริอาปุสก็จึงไม่ต่างไปจากพระอิศวร
เพราะอันที่จริงแล้ว เทพเจ้ากรีกองค์นี้เป็นเทพแห่งความอุดมสมบูรณ์ ซึ่งองคชาตที่มีขนาดย่อมเยาดูจะไม่ตอบโจทย์กับหน้าที่การงานของพระองค์เท่าไหร่นัก (ในกรณีของพระอิศวรก็ใหญ่ระดับที่พระนารายณ์กับพระพรหมช่วยการหายอด และโคนไม่เจอเลยทีเดียว) เรื่องการถูกเทพีเฮร่าสาปจึงเป็นเพียง “นิทาน” หรือเทพปกรณ์ปรัมปราคติที่ถูกแต่งเติมขึ้นภายหลัง ในยุคที่สังคมกรีกนิยมในเครื่องเพศชายขนาดเล็ก ด้วยเหตุผลบางประการแล้วต่างหาก
เอาเข้าจริงแล้ว เมื่อคำนึงถึงธรรมชาติในระบบสัญลักษณ์โบราณแล้ว มันจึงเป็นเรื่องที่แปลกสิ้นดีที่ชนชาวกรีกจะนิยมในเครื่องเพศชายขนาดกระจ้อยร่อย เพราะในเชิงสัญลักษณ์ก็ย่อมจะหมายถึงผลิตผล หรือความอุดมสมบูรณ์ที่หดหายลงไปด้วย
ซึ่งนั่นก็ย่อมหมายความว่า เทวรูปของเทพเจ้าที่มีเพศชายซึ่งมีองคชาตที่ไม่ใหญ่โตนั้น ก็ให้ความอุดมที่ไม่ค่อยจะสมบูรณ์เท่าไหร่นักตามไปเหมือนกันนั่นเอง (แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องในเชิงสัญลักษณ์โบราณเท่านั้น ไม่เกี่ยวกับข้อเท็จจริงตามธรรมชาติ หรือค่านิยมในทางวัฒนธรรมแต่อย่างใด)
การที่วัฒนธรรมกรีกให้คุณค่ากับเครื่องเพศชายที่มีขนาดเล็กจึงเป็นสิ่งที่แปลกพอดูสำหรับวัฒนธรรมในโลกโบราณ และผมก็นึกไม่ออกจริงๆ ว่า ถ้าไม่ใช่เพราะประสบการณ์ที่สั่งสมอยู่ในสังคมวัฒนธรรมกรีกเองแล้ว อะไรจะทำชนชาวกรีกเกิดค่านิยมอย่างนี้? •
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022