ที่มา | มติชนสุดสัปดาห์ ฉบับวันที่ 20 - 26 ธันวาคม 2567 |
---|---|
คอลัมน์ | สิ่งแวดล้อม |
เผยแพร่ |
คุณราเชน ศิลปะรายะ รองอธิบดีกรมฝนหลวงและการบินเกษตร ให้สัมภาษณ์ผ่านหนังสือพิมพ์มติชน เมื่อวันที่ 11 ธันวาคมที่ผ่านมา ถึงแผนปฏิบัติการสนับสนุนลดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 พบค่าฝุ่นลดลงทุกวันหลังปฏิบัติการ ถือเป็นแนวโน้มที่ดี
คุณราเชนอธิบายเทคนิกการปฏิบัติการฝนหลวง มีอยู่ 3 วิธี
1. การก่อเมฆ ใช้สารฝนหลวงสูตร 1 ที่มีโซเดียมคลอไรด์ บริเวณต้นลมเพื่อก่อเมฆและดูดซับฝุ่นในอากาศ
2. การลดอุณหภูมิชั้นบรรยากาศผกผันใช้สเปรย์น้ำเย็นหรือน้ำแข็งแห้งเพื่อเปิดช่องระบายฝุ่น
3. การทำฝนหลวงเพื่อให้เกิดฝนชะล้างฝุ่นในอากาศ
หน่วยปฏิบัติการฝนหลวงใช้เทคนิคโปรยละอองน้ำตามสภาพเมฆเหนือฐานเมฆในจังหวัดกาญจนบุรี ระยอง ชลบุรีและเพชรบุรี พบว่าค่าดัชนีคุณภาพอากาศ หรือ AQI (Air Quality Index) ลดลงอย่างมีนัยยะสำคัญ จากค่า AQI 84 ก่อนปฏิบัติการ ลดเหลือ 53 หลังปฏิบัติการ
“ผลจากปฏิบัติการครั้งนี้ทำให้พื้นที่เป้าหมายได้แก่กรุงเทพมหานครและเขตปริมณฑลมีคุณภาพอากาศดีขึ้น กรุงเทพมหานครขยับอันดับคุณภาพอากาศจากอันดับที่ 34 ของเมืองมีมลพิษมากที่สุดในโลก มาอยู่ที่อันดับ 70 สะท้อนถึงคุณภาพที่ดีขึ้นอย่างชัดเจน” รองอธิบดีกรมฝนหลวงฯ บอกกับ “มติชน”
คุณราเชนชี้ว่า ฝุ่นพีเอ็ม 2.5 มีผลกระทบต่อสุขภาพและเศรษฐกิจ โดยเฉพาะพื้นที่ภาคเหนือที่เป็นฤดูท่องเที่ยว หากลดปัญหาฝุ่นลงได้จะส่งผลดีต่อการดึงดูดนักท่องเที่ยวและฟื้นฟูเศรษฐกิจในพื้นที่อย่างยั่งยืน
คําให้สัมภาษณ์ของรองอธิบดีกรมฝนหลวงฯ ทำให้คนไทยเริ่มมีความหวังกับรัฐบาล “แพทองธาร ชินวัตร” ถ้าปฏิบัติการลดฝุ่นพีเอ็ม 2.5 สำเร็จ ค่า AQI ลดลง คุณภาพอากาศดีขึ้นจะเป็นผลงานชิ้นโบแดงของรัฐบาลชุดนี้
ปัญหาฝุ่นพิษ “พีเอ็ม 2.5” ถือเป็นปัญหาเรื้อรังของประเทศไทยในช่วงไม่น้อยกว่า 20 ปีที่ผ่านมา ยังไม่มีรัฐบาลชุดไหนแก้สำเร็จ แม้กระทั่งรัฐบาล “ประยุทธ์ จันทร์โอชา” ซึ่งถือเป็นรัฐบาลที่มีอำนาจเบ็ดเสร็จเด็ดขาด
ช่วงปี 2562 สมัยรัฐบาลประยุทธ์ มีผลการศึกษาฝุ่นพิษพีเอ็ม 2.5 ก่อให้เกิดความเสียหายทางเศรษฐกิจไทยราว 2.173 ล้านล้านบาท พื้นที่ที่ได้รับความเสียหายมากที่สุดคือกรุงเทพมหานคร มูลค่ากว่า 4 แสนล้านบาทต่อปี รองลงมาได้แก่ ชลบุรี นครราชสีมา เชียงใหม่และขอนแก่น
สาเหตุที่ กทม.เสียหายหนักเพราะมีประชากรราว 3 ล้านครัวเรือน เมื่อเอาครัวเรือนในภาคเหนือรวมกัน 9 จังหวัดก็ยังไม่เท่ากับ กทม.
ในช่วงนั้นรัฐบาลประยุทธ์มองปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 เป็นเรื่องร้ายแรงถึงขั้นประกาศให้เป็นวาระแห่งชาติ และมีการระดมสรรพกำลังทุกหน่วยงานปฏิบัติการขับเคลื่อนเป็นกรณีเร่งด่วนพิเศษ ชาวบ้านก็พากันดีอกดีใจว่า รัฐบาลประยุทธ์จะแก้ปัญหาฝุ่นพิษได้สำเร็จ
ปรากฏว่า 4 ปีผ่านไป ฝุ่นพิษไม่ได้ลดลง มิหนำซ้ำในหลายจังหวัดทางภาคเหนือมีค่าฝุ่นพิษเกินมาตรฐานมาก
ชาวเชียงใหม่รวมตัวกันยื่นฟ้องต่อศาลปกครองกล่าวหาว่า รัฐบาลประยุทธ์และคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติปล่อยปละละเลยไม่ใส่ใจในการแก้ปัญหาฝุ่นพีเอ็ม 2.5 ทำให้ชาวบ้านเจ็บป่วยได้รับความเดือดร้อน
ต้นเดือนมกราคม 2567 ศาลปกครองมีคำพิพากษาให้รัฐบาลและคณะกรรมการส่งเสริมสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ แก้ปัญหาฝุ่นพิษตามหลักการป้องกันล่วงหน้า (preventive principle) และเร่งทำแผนฉุกเฉินให้แล้วเสร็จภายใน 90 วัน
คำพิพากษาของศาลปกครองมีขึ้นหลังรัฐบาลประยุทธ์สิ้นสภาพไปแล้ว
ในคำพิพากษาแจกแจงข้อมูลคุณภาพอากาศในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่ไว้อย่างน่าสนใจ
ปี 2561 พบว่า พีเอ็ม 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 7-108 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (ลบ.ม.) ค่าเฉลี่ยเท่ากับ 44 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. มีค่าเกินมาตรฐานของประเทศไทยประมาณ 2 เท่า (ค่ามาตรฐาน พีเอ็ม 2.5 ในบรรยากาศเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม.) และสูงกว่าเกณฑ์แนะนําขององค์การอนามัยโลก 4 เท่า (ค่าเกณฑ์แนะนําขององค์การอนามัยโลก ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง เท่ากับ 25 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม.)
ปี 2562 พบว่า พีเอ็ม 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 8-241 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 54 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. มีค่าเกินมาตรฐานของประเทศไทย 5 เท่า และเกณฑ์แนะนําขององค์การอนามัยโลก 10 เท่า
ปี 2563 พบว่า พีเอ็ม 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 5-360 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 53 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. มีค่าเกินมาตรฐานของประเทศไทยที่ประมาณ 7 เท่า และเกณฑ์แนะนําขององค์การอนามัยโลก 14 เท่า
ในปี 2564 พบว่า พีเอ็ม 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 5-169 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 44 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. จากข้อมูลจะเห็นได้ว่ามีค่าเกินมาตรฐานของประเทศไทยที่ประมาณ 3 เท่า และเกณฑ์แนะนําขององค์การอนามัยโลก 6 เท่า
ในปี 2565 พบว่า พีเอ็ม 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 5-117 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 29 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. มีค่าเกินมาตรฐานของประเทศไทยประมาณ 2 เท่า และเกณฑ์แนะนําขององค์การอนามัยโลก 8 เท่า (เกณฑ์แนะนําขององค์การอนามัยโลก ค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง เท่ากับ 15 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม.)
ปี 2566 (ข้อมูลระหว่างวันที่ 9 มกราคม-20 พฤษภาคม 2566) พบว่า พีเอ็ม 2.5 เฉลี่ย 24 ชั่วโมง มีค่าระหว่าง 4-363 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. มีค่าเฉลี่ยเท่ากับ 70 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. มีค่าเกินมาตรฐานของประเทศไทยประมาณ 7 เท่า และเกณฑ์แนะนําขององค์การอนามัยโลก ประมาณ 24 เท่า
เมื่อพิจารณาประกอบกันแล้วจะเห็นได้ว่า มาตรฐานฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ในบรรยากาศโดยทั่วไป ตั้งแต่ปี 2561 ถึงปี 2566 มีค่าเกินมาตรฐานของประเทศไทย กําหนดค่ามาตรฐาน พีเอ็ม 2.5 ในบรรยากาศเฉลี่ย 24 ชั่วโมง ไม่เกิน 50 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม.
องค์การอนามัยโลกกําหนดเกณฑ์แนะนําขององค์การอนามัยโลกค่าเฉลี่ย 24 ชั่วโมง เท่ากับ 15 ไมโครกรัมต่อ ลบ.ม. ที่อยู่ในระดับเริ่มมีผลกระทบต่อสุขภาพและระดับมีผลต่อสุขภาพในปริมาณที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทุกๆ ปี
ปัญหาควันหรือฝุ่นละอองขนาดไม่เกิน 2.5 ไมครอน ในเขตจังหวัดเชียงใหม่ ก็ยังคงเกิดขึ้นเป็นประจําในช่วงเดือนธันวาคม-พฤษภาคมในช่วงปีที่ผ่านมาอย่างต่อเนื่องเกินกว่าเกณฑ์มาตรฐานที่กําหนดไว้ และส่งผลกระทบอย่างมีนัยสําคัญต่อสุขภาพของประชาชนในพื้นที่จังหวัดเชียงใหม่
คําพิพากษาของศาลปกครองเชียงใหม่ประมวลข้อมูลให้เห็นว่า การแก้ปัญหาฝุ่นพิษพีเอ็ม 2.5 ของรัฐบาลประยุทธ์ล้มเหลวอย่างสิ้นเชิง
ส่วนคณะกรรมการสิ่งแวดล้อมแห่งชาติที่ศาลปกครองสั่งให้ใช้อำนาจตามกฎหมายส่งเสริมและรักษาคุณภาพสิ่งแวดล้อมแห่งชาติ พ.ศ.2535 กำหนดมาตรการ จัดทำแผนฉุกเฉินที่มีประสิทธิภาพให้ทันท่วงทีนั้นก็ล้มเหลวเช่นกัน ถึงเวลานี้ น่าจะแสดงสปิริตลาออกทั้งชุด ให้คนที่มีความสามารถเข้ามาทำงานแทน
เมื่อรัฐบาล “เศรษฐา ทวีสิน” เข้ามาบริหารแทนรัฐบาลประยุทธ์ก็ไม่สามารถแก้ปัญหานี้ได้สำเร็จ แม้คุณเศรษฐาทำทุกวิถีทาง รวมไปถึงลุยไปบัญชาการล้างฝุ่นที่เชียงใหม่ด้วยตัวเอง ค่าฝุ่นพิษยังเกินมาตรฐานโลก
วันนี้ถึงคิวรัฐบาลแพทองธารแสดงฝีมือ ถ้ากรมฝนหลวงฯ กระทรวงเกษตรและสหกรณ์ทำสำเร็จอย่างที่คุยไว้ สามารถเจาะชั้นบรรยากาศเป่าฝุ่นพิษออกไปจะช่วยลดผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม และหากคุมพื้นที่เกษตรลดการเผาซังข้าวโพด อ้อย ไม่ให้เกิดควันไฟฟุ้งกระจายอย่างมีประสิทธิผลก็ยิ่งช่วยลดปัญหาฝุ่นพิษพีเอ็ม 2.5 ได้มาก
ถ้ากระทรวงทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมสามารถคุมไฟป่าและพื้นที่เผาไหม้ได้อย่างเข้มข้น รวมไปถึงรัฐบาลไทยเจรจาขอความร่วมมือกับประเทศเพื่อนบ้านควบคุมการเผาป่าในพื้นที่ติดกับชายแดนไทยในช่วงฤดูหนาวถึงฤดูร้อนได้สำเร็จ
ทั้งหมดนี้คือหมุดหมายสำคัญในความสำเร็จ ซึ่งแน่นอนว่าจะเป็นการยกระดับความเชื่อถือศรัทธาที่มีต่อรัฐบาล “อุ๊งอิ๊ง” และลบคำสบประมาทที่ว่า “ฝุ่นพิษพีเอ็ม 2.5” เป็นปัญหา “อจินไตย” ของประเทศไทยที่แก้ไม่ได้ชั่วนิรันดร์ •
สิ่งแวดล้อม | ทวีศักดิ์ บุตรตัน
สะดวก ฉับไว คุ้มค่า สมัครสมาชิกนิตยสารมติชนสุดสัปดาห์ได้ที่นี่https://t.co/KYFMEpsHWj
— MatichonWeekly มติชนสุดสัปดาห์ (@matichonweekly) July 27, 2022