โสเภณีไทย-โสเภณีจีน (1)

แม้ยังไม่มีหลักฐานยืนยันว่า ‘โสเภณีในเมืองไทย’ เริ่มมีตั้งแต่เมื่อใด แต่ใน “กฎหมายตราสามดวง” สมัยอยุธยา ชำระใหม่สมัยรัตนโกสินทร์ บันทึกเกี่ยวกับ ‘โสเภณี’ หรือ ‘หญิงนครโสเภณี’ เอาไว้หลายที่ ระบุว่า ถึงจะเป็นหญิงโสเภณีก็มีชายนำไปเลี้ยงดูอยู่กินเป็นเมีย เช่น ‘พระไอยการลักษณผัวเมีย’ มีข้อความว่า

“๏ มาตราหนึ่งชายใดสู่ขอเอาหญิงคนขับคนรำเทียวขอทานเลี้ยงชิวิตรแลหญิงนคระโสเพนีมาเลี้ยงเปนเมีย” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

ในส่วนที่เป็น ‘พระราชบัญญัติ’ ก็เช่นเดียวกัน

“แลพันไกรมือเพชเอาอีมีคนนครโสเภนีเปนภรรยา” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

‘โสเภณี’ ไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมไทย หนังสือ “ประวัติศาสตร์แห่งพระราชอาณาจักรสยาม” ซึ่งเป็นเรื่องราวของประเทศไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา รวบรวมโดยนายฟรังซัวส์ อังรี ตุรแปง นายปอล ซาเวียร์ เป็นผู้แปล (กรมศิลปากร จัดพิมพ์ พ.ศ.2530) มีข้อความตอนหนึ่งว่า

“ในประเทศสยาม สถานที่มั่วสุมสาธารณะถูกห้ามไม่ให้มีอย่างเคร่งครัด กฎหมายสั่งให้ทำลายบ้านโสเภณี ในประเทศสยามไม่มีหญิงไร้ยางอายที่ทำการค้าเสน่ห์ และอยู่ในที่สาธารณะเพื่อเย้ายวนเยาวชนหัวเบา หรือคนชราที่ช่ำชองในเรื่องสำมะเลเทเมา ถ้าพิสูจน์ได้ว่าหญิงเสเพลคนใดคนหนึ่งประพฤติเป็นโสเภณี ก็จะถูกพาตระเวนไปทั่วเมือง ร่างกายล่อนจ้อน และถูกแต้มเป็นจุดขาวๆ ทั่วตัว มีคนเดินสั่นกระดิ่งไปข้างหน้าเธอเพื่อเตือนคนทั้งหลายให้รู้ถึงความเหลวแหลกในชีวิตของเธอ และเพื่อก่อให้เกิดความสยดสยองแก่บรรดาหญิงที่มีความโน้มเอียงไปในทางจะเอาอย่างเธอ”

 

น่าสังเกตว่านอกจากตัวโสเภณีเองจะไม่เป็นที่ยอมรับในสังคมไทยแล้ว เชื้อสายของโสเภณีและหญิงที่มีอะไรๆ ลึกซึ้งกับทาสชายยังเป็นที่รังเกียจเดียดฉันท์ของผู้คน มีคำเรียกขานเฉพาะว่า ‘คนอนาจาร’ ทำงานใช้แรงงานเป็นหลัก ดังตอนหนึ่งจากวรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์เรื่อง “นางนพมาศ”*

“อันว่าฝ่ายสัตรีภาพนั้น แม้เปนคนบริบูรณ์ด้วยทรัพย์ ผู้ใดน้ำจิตรโลเลลุอำนาจแก่กามคุณ ไปร่วมสังวาศด้วยบุรุษสินจ้างสินถ่าย ซึ่งใช้สอยการงานในบ้านเรือนก็ดี แลเปนหญิงงามเมืองก็ดี อันบุตรธิดาของหญิงสองจำพวกนี้ มหาชนมีความรังเกียจนัก เรียกว่าคนอนาจาร ย่อมจ้างถ่ายไปใช้เปนคนเลี้ยงช้างม้าโคกระบือ ซักตากผ้าผ่อนเก่าเสียโดยมาก” (อักขรวิธีตามต้นฉบับ)

(*เรื่อง “นางนพมาศ” แต่เดิมเชื่อกันว่าเป็นวรรณคดีสมัยสุโขทัย ปัจจุบันนักวิชาการเห็นพ้องกับพระดำริของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพว่าเป็นวรรณคดีสมัยรัตนโกสินทร์ เนื่องจากถ้อยคำสำนวนภาษาที่ใช้ใหม่เกินกว่าสมัยสุโขทัยและอยุธยา อีกทั้งเนื้อหาไม่ตรงกับข้อเท็จจริง เช่น กล่าวถึงเรื่องปืนใหญ่ และชนชาติต่างๆ ที่เข้ามาในประเทศไทย เรื่องเหล่านี้ยังไม่เกิดขึ้นในสมัยสุโขทัย)

 

อย่างไรก็ดี ในสมัยกรุงศรีอยุธยา รัชกาลสมเด็จพระนารายณ์มหาราช “จดหมายเหตุ ลาลูแบร์ พระราชอาณาจักรสยาม” (ฉบับ สันต์ ท. โกมลบุตร แปล) ถึงกับระบุว่า ชายเจ้าของเงินมีเป้าหมายที่จะให้ลูกสาวขุนนางที่ตนซื้อมาจากผู้เป็นบิดาไปค้าประเวณีตามที่ตนต้องการ (รายละเอียดมีในเรื่อง ‘โสเภณี’ ตอนที่แล้ว) ทั้งยังสามารถนำหญิงและเด็กเหล่านั้นมาฝึกฝนเรียนรู้วิธีการเป็นโสเภณีก่อนปฏิบัติจริง แม้ชายผู้นี้จะมีพฤติกรรมต่ำทรามเพียงใดก็ตาม แต่มียศถาบรรดาศักดิ์พอตัว

ดังที่ มองซิเออร์ เดอ ลาลูแบร์ กล่าวถึงด้วยถ้อยคำแสดงความชิงชังอย่างแรงกล้า

“ขอให้สำเหนียกไว้อย่างหนึ่งด้วยว่า บรรดาผู้ที่มีบรรดาศักดิ์สูงนั้นหาใช่เจ้าใหญ่นายโตเสมอไปไม่ เช่น เจ้ามนุษย์อัปรีย์ที่ซื้อผู้หญิงและเด็กสาวมาฝึกให้เป็นหญิงนครโสเภณีคนนั้น ก็ได้รับบรรดาศักดิ์เป็น ออกญา เรียกกันว่า ออกญามีน (Oc – ya – Meen) เป็นบุคคลที่ได้รับการดูถูกดูแคลนมากที่สุด มีแต่พวกหนุ่มลามก**เท่านั้นที่ไปติดต่อด้วย”

(**คำว่า ‘ลามก’ มีความหมายรุนแรงมาก หมายถึง หยาบช้า หยาบโลน, อันเป็นที่น่ารังเกียจของคนดีมีศีลธรรม)

 

ไม่เพียงแต่สมัยอยุธยาจะมี ‘โรงรับจ้างทำชำเราแก่บุรุษ’ ที่ตลาดบ้านจีนถึง 4 โรง

สมัยรัตนโกสินทร์ก็มี ใช้ชื่อว่า ‘โรงคนชั่ว’ ดังจะเห็นได้จาก “ประชุมประกาศรัชกาลที่ 4” 278 ประกาศพิกัดภาษีเรือตึกแพโรงร้าน ณ วันอาทิตย์ เดือน 6 ขึ้น 1 ค่ำ ปีขาลอัฐศก บันทึกว่าพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงเห็นใจราษฎรที่ต้องเสียภาษีซ้ำซ้อน จึงทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้ยกเว้น เช่น เมื่อราษฎรนำเรือบรรทุกสินค้ามาไว้ขายที่โรงร้านตึกแพ และเสียภาษีเช่าที่แล้ว ก็ไม่จำเป็นต้องเสียภาษีเรือเร่จรอีก แต่สำหรับโรงตึกแพที่ให้เช่าประกอบการต่อไปนี้ ให้เก็บภาษีตามอัตราที่กำหนดไว้

“แลโรงร้านตึกแพที่ไว้สินค้าให้เช่าตั้งบ่อนเล่นเบี้ยเขียนหวยแลโรงคนชั่ว ให้ทำกำหนดตามพิกัดภาษีตีพิมพ์…ฯลฯ…ตึกโรงร้านแลที่ให้เช่าไว้สินค้าตั้งบ่อนเล่นเบี้ยเขียนหวยแลคนเช่าอยู่ แลโรงคนชั่วในท้องที่ลาดตระเวนให้เรียกภาษีค่าเช่า ๑๒ ชักหนึ่งกึ่ง คือ ๑๒ ตำลึง ชัก ๖ บาท”

สถานที่เหล่านี้ยืนยันว่า ‘โสเภณี’ และ ‘โรงโสเภณี’ หรือ ‘ซ่องโสเภณี’ มีอยู่จริงในสังคมไทยมานานหลายร้อยปี เป็นกิจการที่มีเจ้าของและผู้ให้บริการในสังกัด หญิงที่ขายบริการทางเพศเป็นอิสระส่วนตัวก็คงมี

ดังกรณีของ ‘อีมี’ ที่ ‘รับว่าเปนคนนครโสเภนีต้นสาเก’ (กฎหมายตราสามดวง ฉบับราชบัณฑิตยสถาน เล่ม 1)

 

‘สําเพ็ง’ กับ ‘โสเภณี’ เกี่ยวพันกันมาตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 1 (รายละเอียดมีในเรื่อง ‘โสเภณี’ ตอนที่แล้ว)

หนังสือ “อักขราภิธานศรับท์” ของหมอบรัดเลย์ สมัยรัชกาลที่ 5 อธิบายคำว่า ‘สำเพ็ง’ ไว้ ดังนี้

“, เปนชื่อตำบลหนึ่งอยู่ใต้กรุงเทพฯ ประมาณสิบเส้นเปนตลาดมีพวกจีนอยู่มากนั้น.”

ที่นี่จอแจขนาดไหน “นิราศชมตลาดสำเพ็ง” ของ นายบุษย์ แต่งสมัยรัชกาลที่ 6 (อักขรวิธีตามต้นฉบับ) ช่วยให้มองเห็นภาพการค้าย่านนี้ได้ถนัดชัดเจน

“มีร้านรายขายสินค้าสาระพัด ออกเยียดยัดครื้นคฤกล้วนตึกเก๋ง

พวกแม่ค้าพูดมากฝีปากเร็ง ออกแซ่เซ็งร้องขานประสานกัน

ร้านจีนแสขายยาพ่อค้าใหญ่ ยาจีนไทยสารพัดที่จัดสรร”

ฯ ล ฯ

“…………………………………….. ชมตลาดแถวทางที่วางขาย

ทั้งเครื่องแก้วเครื่องขวัญพรรณราย ดูเหลือหลายที่จะจำทำสารา

คนควักไขว่ไปมาเที่ยวหาของ บ้างขึ้นล่องอึงอื้อเที่ยวซื้อหา

ที่ต่อตกยกให้ได้ราคา สาวแม่ค้านวลนางสำอางกาย”

ถึงสำเพ็งจะเป็นย่านค้าขายของคนจีน แต่คนไทยเป็นลูกค้าที่ต่อให้ถนนแคบแค่ไหนก็ไปถึง ตอนนี้ยิ่งแยกจีนไทยไม่ออกเพราะทรงผมเป็นเหตุ

“ท้องสำเพ็งเก๋งตั้งออกนั่งร้าน ข้ามสพานเจ๊กผ่อนั้นต่อไป

ถนนเล็กเจ๊กไทยออกไขว้เขว เดินปนเปหลีกกระทบหลบไม่ไหว

สุดสังเกตเหตุผลเจ๊กปนไทย ใครเปนใครมิได้แน่ด้วยแปรปรวน

ไสมยใหม่ไขว้เขวทำเลเสีย จีนตัดเปียเปนไทยเหลือไต่สวน

มาเกิดมีวิปริตผิดกระบวน กลับผันผวนผิดชาติ์ประหลาดใจ”

ฉบับนี้แค่ ‘เฉียด’ สำเพ็ง ฉบับหน้า ‘ถึง’ สำเพ็งแน่ •

 

จ๋าจ๊ะ วรรณคดี | ญาดา อารัมภีร