เมื่อชีวิตและความตาย ถูกตีราคาด้วยระบบประกัน บทเรียนการค้ากำไร ในระบบประกันสุขภาพในสหรัฐอเมริกา

ษัษฐรัมย์ ธรรมบุษดี
(Photo by NYPD / AFP) / RESTRICTED TO EDITORIAL USE - MANDATORY CREDIT "AFP PHOTO / NYPD " - NO MARKETING - NO ADVERTISING CAMPAIGNS - DISTRIBUTED AS A SERVICE TO CLIENTS

สหรัฐอเมริกาคือประเทศที่มั่งคั่งที่สุดในโลก มีกองทัพและเทคโนโลยีมากมายมหาศาล เป็นที่ตั้งของโรงเรียนแพทย์ที่มีชื่อเสียง บริษัทยามูลค่าสูง มีมหาเศรษฐีมากมาย

แต่น่าเศร้าที่ประชาชนยังโกรธแค้นจากความเจ็บป่วย ความยากจนแร้นแค้นที่อยู่ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์

“ยิงกลางหลัง” – เสียงปืนที่ดังขึ้นหน้าโรงแรมหรูกลางแมนฮัตตัน ไม่ใช่แค่การสังหารซีอีโอบริษัทประกันยักษ์ใหญ่

แต่มันคือเสียงสะท้อนของระบบสาธารณสุขอเมริกันที่มีปัญหาอย่างหนัก

แมงจิโอเน่โดยพื้นหลังแตกต่างดูไม่ใช่อาชญากรโหดเหี้ยม

เขาเป็นเด็กหนุ่มหัวดี จบไอวี่ลีก เคยทำงานเป็นวิศวกรข้อมูล

การกระทำของเขาได้ตีแผ่ปีศาจร้ายที่ชื่อว่า “ระบบประกันสุขภาพอเมริกา”

 

“Three Ds” – “ปฏิเสธ” (deny), “ป้องกัน” (defend) และ “ปลด” (depose) คำสามคำที่ถูกเขียนบนปลอกกระสุน สะท้อนความเจ็บปวดของผู้ป่วยนับล้านที่ต้องเผชิญกับกลยุทธ์สามประสานของบริษัทประกัน วนเวียนอยู่ในวังวนของเอกสาร การต่อสู้ทางกฎหมาย และการพิสูจน์ความเจ็บป่วยของตัวเอง

“พวกปรสิตพวกนี้สมควรแล้ว” – ประโยคในจดหมายของแมงจิโอเน่ สะท้อนความแค้นที่สั่งสมมาจากระบบที่มองมนุษย์เป็นแค่ตัวเลขในสมการกำไร-ขาดทุน ที่ซ่อนตัวอยู่ภายใต้คำว่า “complicated healthcare system”

ระบบที่ซับซ้อนเกินกว่าคนธรรมดาจะเข้าใจ แต่ง่ายพอที่บริษัทประกันจะหาช่องทางปฏิเสธการจ่ายเงิน

เราอาจประณามการฆาตกรรม แต่เราไม่อาจปฏิเสธว่าระบบประกันสุขภาพอเมริกาคือโศกนาฏกรรมที่กำลังดำเนินอยู่ทุกวัน

ที่ซึ่งคนป่วยต้องเลือกระหว่างการรักษาชีวิตกับการล้มละลาย

ที่ซึ่งหมอต้องคำนวณว่าการรักษาแบบไหนที่ประกันจะจ่าย

แทนที่จะคิดว่าการรักษาแบบไหนที่ดีที่สุดสำหรับคนไข้

แมงจิโอเน่อาจถูกจับได้ แต่ปีศาจตัวจริงยังลอยนวลอยู่ในตึกสูงระฟ้า

ในห้องประชุมที่คุยกันแต่เรื่องผลประกอบการและราคาหุ้น ในระบบที่แปรเปลี่ยนความเจ็บป่วยให้เป็นโอกาสทางธุรกิจ

 

ระบบประกันสุขภาพเอกชนในสหรัฐอเมริกาได้สร้างวิกฤตความเหลื่อมล้ำทางสุขภาพที่รุนแรงและซับซ้อน ส่งผลกระทบต่อชีวิตของประชาชนในวงกว้าง จากรายงานของศูนย์วิจัยทางการแพทย์แห่งชาติสหรัฐอเมริกา พบว่าผู้ป่วยมะเร็งจำนวนมากถูกปฏิเสธการรักษาในระยะแรก ด้วยข้ออ้างเรื่อง “pre-existing conditions” หรือ “โรคที่เป็นอยู่ก่อน” การทำประกัน ส่งผลให้หลายรายต้องรอจนโรคลุกลามถึงขั้นรุนแรงก่อนจะได้รับการรักษา

สถิติปี 2022 ชี้ให้เห็นว่า สัดส่วนการล้มละลายส่วนบุคคลในสหรัฐมีสาเหตุมาจากหนี้ค่ารักษาพยาบาลในอัตราที่สูง

แม้ผู้ป่วยจะมีประกันสุขภาพ แต่ค่าใช้จ่ายส่วนที่ต้องร่วมจ่าย (co-pay) และค่ารับผิดส่วนแรก (deductible) มักสูงเกินกำลังของครอบครัวทั่วไป จนหลายครอบครัวต้องสูญเสียบ้านและทรัพย์สินเพื่อรักษาชีวิตของคนที่รัก การปฏิเสธการรักษาที่จำเป็นเป็นปัญหาสำคัญอีกประการหนึ่ง

มีรายงานจำนวนมากเกี่ยวกับการที่บริษัทประกันปฏิเสธการผ่าตัดหรือการรักษาที่แพทย์ระบุว่าจำเป็น โดยมักอ้างว่าเป็น “ไม่มีความจำเป็นทางการแพทย์”

สะท้อนให้เห็นว่าการตัดสินใจทางการแพทย์ถูกแทรกแซงด้วยผลประโยชน์ทางธุรกิจ

 

ความซับซ้อนของระบบยังก่อให้เกิดความไม่เป็นธรรม โรงพยาบาลหลายแห่งมีอัตราค่ารักษาที่แตกต่างกันอย่างมากสำหรับการรักษาเดียวกัน ขึ้นอยู่กับประกันที่ผู้ป่วยใช้

นอกจากนี้ ยังมีการเลือกปฏิบัติโดยปฏิเสธการทำประกันสำหรับผู้ที่มีประวัติการรักษาทางจิตเวช แม้จะไม่มีอาการมาเป็นเวลานาน

ปัญหา “out-of-network” หรือการรักษานอกเครือข่ายยังสร้างภาระหนี้มหาศาลให้กับผู้ป่วย

โดยเฉพาะในกรณีฉุกเฉินที่ผู้ป่วยไม่มีทางเลือกในการเลือกโรงพยาบาล ค่ารักษาในกรณีเช่นนี้อาจสูงถึงหลายหมื่นดอลลาร์

อาวุธที่ร้ายกาจที่สุดของบริษัทประกันคือ “กรมธรรม์” และ “เงื่อนไข” ที่ซ่อนอยู่ในตัวหนังสือเล็กๆ ในสัญญาหนาเป็นร้อยหน้า ที่ไม่มีใครอ่านจนจบ แต่ทุกคนต้องเซ็นชื่อยอมรับ

ความโกรธของแมงจิโอเน่อาจผิดทาง แต่มันสะท้อนความสิ้นหวังของผู้คนที่ถูกบดขยี้ด้วยระบบที่ไร้หัวใจ

ระบบที่ทำให้การเจ็บป่วยกลายเป็นการต่อสู้สองด้าน ทั้งกับโรคและกับบริษัทประกัน

เสียงปืนที่ดังขึ้นอาจเงียบลงแล้ว แต่เสียงร้องของผู้ป่วยที่ถูกปฏิเสธการรักษา เสียงสะอื้นของครอบครัวที่ต้องขายทุกอย่างเพื่อประคองชีวิตคนที่รัก ยังคงดังก้องอยู่ทั่วอเมริกา

 

นี่คือโศกนาฏกรรมที่ไม่มีวันจบ

ตราบใดที่ระบบยังมองว่าสุขภาพคือสินค้า

และชีวิตคือตัวเลขในงบดุล

ตราบใดที่คำว่า “การรักษา” ยังต้องมาพร้อมกับคำว่า “ผลกำไร” ระบบสาธารณสุขที่เป็นธรรม ก็คงไม่เกิดในสหรัฐอเมริกา ประเทศศูนย์กลางของระบบทุนนิยมโลก

และหวังว่าไทยสามารถเรียนรู้ได้ถึงปัญหาระบบการบริการสาธารณสุขจากสหรัฐอเมริการในครั้งนี้